Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Monday, July 20, 2015

Chapter 10: น้ำตา หัวใจ และชีวิต (End)



วันเปิดเทอมฤดูหนาวของฮอกวอตส์เริ่มขึ้น
 พร้อมกับเสียงโอดครวญของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นปี 6 บ้านกริฟฟินดอร์ ในเมื่อคาบแรกที่ต้องผจญ คือ วิชาปรุงยา...

“น้ำยาสรรพรสใกล้จะได้ที่แล้ว เดี๋ยวทุกคนเคี่ยวอีก 1 ชั่วโมง แล้วตักน้ำยาใส่ขวดแก้ว เอามาส่งฉัน”
 สเนปประกาศเสียงเย็น “แล้วเราจะมาดูกัน ว่าจะให้ใครดี ที่จะเป็นคนทดลองน้ำยาสรรพรส”

“ฉันแน่ๆ ฉันแน่ๆเลยเฮอร์ไมโอนี่” เนวิลล์ครางเสียงอ่อย

“ใจเย็นๆเนวิลล์ บางทีอาจจะไม่ใช่เธอก็ได้” เฮอร์ไมโอนี่ก้มลงใกล้ๆเนวิลล์ แล้วกระซิบเสียงแผ่ว
 เพื่อไม่ให้สเนปได้ยิน แต่ก็ต้องยืดตัวขึ้นทันที เมื่อเห็นสายตาของมัลฟอยที่มองมาที่เนวิลล์อย่างอาฆาตแค้น

แต่เมื่อ 1 ชั่วโมงผ่านไป เนวิลล์คือผู้ที่ถูกเลือกจริงๆ ถึงแม้สเนปจะสับสนขั้นรุนแรง ว่าจะเลือกใครดี
ระหว่างเนวิลล์ หรือแฮร์รี่ดี...

“เอาล่ะ ลองบัตท่อม เรามาลองน้ำยาสรรพรสของเธอกันดีกว่า” สเนปพูด น้ำเสียงสะใจถึงที่สุด
 “ใส่เส้นผมของ มิสเตอร์กอยล์ลงไปในน้ำยาสิ”

“อาจารย์จะทำอย่างนี้ไม่ได้” แฮร์รี่ร้องอย่างตกใจ โดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันรู้ตัว
“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ แค่ลองยา” สเนปยิ้มมุมปาก ทว่า ดวงตากลับเยียบเย็น

“ก็ถ้าน้ำยาเกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะคะ” เฮอร์ไมโอนี่เถียงบ้าง ดวงตาจับจ้องไปที่น้ำยาสีม่วงแปร๊ดในมือของเนวิลล์
 ทั้งที่จริง มันควรจะออกมาเป็นสีเทาเข้ม

“นั่นมันก็เป็นความผิดของลองบัตท่อม”
“แต่อาจารย์ฮะ... “ รอนกัดฟัน

“หักกริฟฟินดอร์ 20 แต้ม ขืนยังไม่หยุดอีก อาจจะเพิ่มเป็น 50 พร้อมกักบริเวณ” สเนปประกาศก้อง
 จึงไม่ทันเห็นว่าเส้นผมถูกใส่ลงในน้ำยาสรรพรสของเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งเนวิลล์รีบกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว...

ทั้งห้องดูเหมือนจะกลั้นหายใจคอย ขณะมองดูเนวิลล์กรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป เป็น...
...ชายร่างยักษ์ ท่าทางโง่เง่า ใช่แล้ว! นั่นคือ...กอยล์!

กริฟฟินดอร์โห่ร้องอย่างดีใจ โดยเฉพาะแฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ที่ดีใจกันอย่างออกนอกหน้า...

“เงียบ!” สเนปตะวาดลั่น “เกรนเจอร์ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามช่วยลองบัตท่อม”
 (ผู้เป็นอาจารย์ปราดสายตามองเด็กสาวผมหยิกเป็นลอนอย่างโกรธแค้น) “
กักบริเวณเกรนเจอร์ เย็นนี้มาหาฉันที่ห้องทำงานด้วย”

“แต่!” แฮร์รี่ร้อง

“กักบริเวณพอตเตอร์อีกคน และหักกริฟฟินดอร์ 50 แต้ม” สเนปประกาศ หากเสียงระฆังหมดคาบไม่ดังขึ้นก่อน
 เด็กกริฟฟินดอร์ที่พยายามขัดเขา คงได้ถูกกักบริเวณด้วย

“กักบริเวณกับสเนป!” แฮร์รี่โอดครวญ เมื่อทั้งเขา รอน และเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องเรียน
ที่เปรียบเสมือนนรกของสเนป

“ขอโทษนะแฮร์รี่ เพราะฉันแท้ๆ” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ
“ไม่หรอก ดีแล้วล่ะ ที่เธอช่วยเนวิลล์ได้ ไม่งั้นเขาอาจจะ... “

“อาจจะเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ หรืออย่างดีที่สุด อาจจะเป็นตัวเยติ ซึ่งก็คล้ายกอยล์ที่สุดแล้ว”
 เนวิลล์ในร่างกอยล์บอก ดูเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ฉันต้องขอบใจเธอด้วยเฮอร์ไมโอนี่”

“ไม่เป็นไร”

“พวกเธอต้องเดือดร้อน เพราะฉันแท้ๆ” กอยล์ก้มหน้างุด

“ลืมมันเสียเถอะเพื่อน” รอนบอก “แล้วนายก็เลิกทำหน้าอย่างนั้นเสียที มันทำให้ฉันคิดว่านายเป็นกอยล์ตัวจริงน่ะ”

****************************************

เมื่อตะวันลาลับไป ทิ้งเมฆหมอกไว้กับความมืด และหิมะที่โปรยปรายลงมา...

เย็นนี้ ทุกคนทานอาหารเย็นในห้องโถงใหญ่เหมือนปกติ เฮอร์ไมโอนี่เหลือบมองไปทางโต๊ะสลิธีรินเหมือนปกติ
แต่สิ่งที่ไม่ปกติ คือ... เขาไม่อยู่ ทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้...

“แฮร์รี่!” เด็กสาวร้อง พลางพุดลุกขึ้น

“อะไร”

“เฮอร์ไมโอนี่ เธอจะเรียกแฮร์รี่คนเดียว หรือคนทั้งห้องโถงกันแน่” รอนบอกด้วยท่าทีตำหนิ
ซึ่งเด็กสาวไม่มีท่าทีว่าจะสนใจแม้แต่น้อย
“เธอนี่! ลืมแล้วเหรอไง เย็นนี้เราต้องถูกกักบริเวณกับสเนป”

เด็กชายเบิกตากว้าง ก่อนจะรีบลุกตามเฮอร์ไมโอนี่ไปอย่างรนราน
“ให้ตาย ฉันลืมไปได้ไงนะ” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ

“ก็มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำไงล่ะ เฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่บอกอย่างอารมณ์ดี ที่ได้อยู่ตามลำพังกับเธอ
“นั่งลง” สเนปสั่งเสียงเย็นเยียบ เมื่อทั้งแฮร์รี่ และเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาในคุกใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องทำงานของเขา
 ทั้งสองทำตามอย่างว่าง่าย

“กักบริเวณ” เขากระซิบ รอยยิ้มน่าเกลียดพุดขึ้นที่ริมฝีปาก
 “คงเป็นสิ่งวิเศษสำหรับพวกเธอนัก เพราะดูเหมือนว่า พวกเธอจะชอบการกักบริเวณกับฉันเสียเหลือเกิน”
“ถ้าไม่จำเป็น พวกผมก็ไม่อยากถูกกักบริเวณหรอก... ฮะ”

“หักกริฟฟินดอร์ 5 แต้ม” สเนปบิดยิ้ม “ฉันจะกักบริเวณพวกเธอกับ... เขา” สเนปบอก
 พลางมองตรงไปยังด้านหลังพวกเขา
“มัลฟอย!”
“อย่ามองฉันอย่างนั้นพอตเตอร์ ฉันไม่ใช่ตัวทาก” มัลฟอยคว้ารอยยิ้มเยาะขึ้นมาแปะบนริมฝีปาก
“มิสเตอร์มัลฟอยทำของสำคัญของเขาหายไป พวกเธอต้องช่วยเขาหา... ” สเนปแสยะยิ้มอีกครั้ง
“ ...จนกว่าจะเจอ หลังอาหารเย็นทุกวัน พวกเธอสองคนต้องไปช่วยเขาหาของ... ทั้งโรงเรียน”

“ทั้งโรงเรียน!” แฮร์รี่ร้องเสียงหลง “ทุกวัน!”
“มีปัญหาอะไรพอตเตอร์”

“ม... ไม่มีค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบแทน พลางเหยียบเท้าเขา
“ตกลงตามนี้ เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย”
“งั้นพวกเราขอตัว... ฮะ”
สเนปหันหลังให้ แทนคำตอบ เด็กๆรีบรุดออกจากห้องอย่างรวดเร็ว...
“นายทำอะไรหายเหรอมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นในที่สุด ขณะที่ทั้งสามเดินอยู่ตามทางเดิน

“หัวใจ” เด็กชายตอบพลางเลิกคิ้วขึ้น ทำให้ใบหน้าเด็กสาวร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่ได้...
“อย่าลืมว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคนนะ” แฮร์รี่กัดฟัน

“เอ้อ... โทษที ลืมไปซะแล้วล่ะ” มัลฟอฟอยบอกอย่างกวนอารมณ์
“แก!”
“มัลฟอย นายตอบมาจริงๆสิ ทำอะไรหาย” เฮอร์ไมโอนี่แทรกระหว่างกลางสนามรบ
“หัวใจ” (แฮร์รี่แกล้งไอถี่ๆ ทำให้ฟังคล้ายๆว่า ‘จะอ้วก’) “จี้สร้อยคอ รูปหัวใจน่ะ”
“รสนิยมนายนี่ แปลกนะ” แฮร์รี่เสียดสี แต่มัลฟอยกลับหน้าเป็นสีจัด

“ไม่ใช่ของฉัน” (แฮร์รี่เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อ) “เออใช่... มันเป็นของฉัน แต่ฉันไม่ได้เอาไปใส่นี่!”
 (อีกครั้งที่แฮร์รี่มีสีหน้าไม่เชื่อคำพูดของเด็กชายผมบรอนด์) “แต่ฉันจะเอาไปให้คนอื่น”

“ใคร”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย” ความรุนแรงแห่งความอาย เริ่มรามไปถึงใบหู
“แล้วนายทำหล่นที่ไหนกันล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามค่อยๆ ความพยายามยุติสงคราม ยังคงไม่สิ้นสุด

“ไม่รู้... ฉันจำไม่ได้”
“ให้ตายสิ!” เด็กสาวร้อง “มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยนะ”

“เราไม่ได้งมเข็มเสียหน่อย” เด็กชายบอกอย่างไม่เข้าใจ
“มันคือจี้สร้อยคอ รูปหัวใจ แล้วมันก็หายที่ฮอกวอตส์นี่ ไม่ใช่ในมหาสมุทร”

“สงสัยจะติดเชื้อความโง่มาจากแครบกับกอยล์แฮะ” แฮร์รี่พึมพำ
เวลาผ่านไปสักครู่ ก็ยังไม่มีท่าทีว่าที่ระเบียงทางเดินจะมีสิ่งที่หากันอยู่แม้แต่น้อย

“ฉันว่าที่นี่คงไม่มีหรอก”
“อืม...”

“งั้นคืนนี้ฉันไปก่อนล่ะ” แฮร์รี่บอก พลางโอบไหล่เด็กสาวไว้ “แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ว่าแล้ว
 เขาก็เดินจากไป พร้อมกับเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งหันมาขยับปากเป็นคำว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ ก่อนจะปล่อย
ให้แฮร์รี่ลากกลับหอกริฟฟินดอร์

“ฉันเกลียดแก พอตเตอร์” มัลฟอยกัดฟัน ก่อนจะเดินกลับหอสลิธีริน...

****************************************

หลายคืนผ่านไป ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอจี้สร้อยคอของมัลฟอยเสียที...
หลังจากจบการตามหาจี้อีกคืน เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยก็คุยกัน...

...ผ่านสมุด
‘มัลฟอย จี้รูปหัวใจอันนั้นสำคัญกับนายมากเลยเหรอ’
‘ใช่สิ มันเป็นสิ่งล้ำค่าของฉัน’
‘ยังไงล่ะ’

‘บอกไม่ได้ รอไว้วันหนึ่ง ฉันจะบอกเธอ’
‘งั้น... นายจะเอาไปให้ใครเหรอ’
‘คนสำคัญของฉัน’

‘ใครล่ะ’
‘แล้วเธอก็จะรู้เอง’
เด็กสาวจุ๊ปากเบาๆอย่างไม่พอใจ

‘พรุ่งนี้เช้า เธอมาพบฉันที่ทะเลสาบได้มั้ย’
‘ได้สิ’ เด็กสาวตอบอย่างแปลกใจ ‘ทำไมเหรอ’
‘ฉัน... เดี๋ยวเธอก็รู้’

‘นายนี่ ไม่คิดจะบอกอะไรฉันเลยหรือไงนะ’
‘บอกสิ แต่ยังไม่ถึงเวลา’ เด็กชายตอบอย่างเป็นต่อ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง...

‘เกรนเจอร์! เดี๋ยวฉันต้องไปแล้วนะ รู้สึกว่าแครบกับกอยล์มันจะมากันแล้วล่ะ’ มัลฟอยบอก
‘ฉันก็รู้ว่ามันโง่ แต่กันไว้ก่อนดีกว่า’
‘อืม งั้น... พรุ่งนี้เจอกัน’
‘อย่าเพิ่ง! ฉันจะบอกเธอไว้อย่างนะ’
‘อะไร’

‘อย่าใกล้ชิดกับพอตเตอร์มากนัก ฉันไม่ชอบ’ แถบสีจัดปรากฏวาบขึ้นบนแก้มของทั้งสองฝ่าย
‘แต่เขาเป็นเพื่อนฉัน’
‘แต่มันไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อน’
‘ก็ใช่’ เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับ ‘แต่ทำไมนายต้องห้ามฉันล่ะ’
‘ช่างฉันเถอะน่า ราตรีสวัสดิ์’ เด็กชายรวบรัด

“ชิ... “ เด็กสาวหมั่นไส้น้อยๆ

‘ราตรีสวัสดิ์... ย่ะ’

****************************************


 รุ่งเช้ามาถึง เป็นเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยนัดกันไว้ เด็กสาวจึงไปยังจุดนัดหมาย...

“เป็นคนนัดแท้ๆ ยังมาช้าอีก” เด็กสาวพึมพำ ขณะรอมาได้ 10 นาที

“ยัยหัวฟูท่าจะบ้าไปแล้ว ยืนพูดคนเดียวก็เป็น” เสียงยานคางดังขึ้นด้านหลัง

“ฉันพูดกับตัวเองต่างหากล่ะ แล้วอีกอย่าง... ” เด็กสาวจ้องมัลฟอย ราวกับเธอเป็นร่างที่ 2
ของมักกอนนากัล เธอจับปลายผมสีน้ำตาลอย่างไม่แน่ใจ “...ผมฉันก็ไม่ได้ฟูแล้วด้วย”

เด็กชายยิ้มมุมปาก

“ถ้านายเรียกฉันมาหาเรื่องล่ะก็ ฉันไปล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่สบัดหน้าใส่ แต่ก่อนจะก้าวเดิน มัลฟอยก็คว้าข้อมือเธอไว้ก่อน

“อะไรอีกล่ะ” เด็กสาวสบัดมือออก ด้วยใบหน้าที่เป็นสีจัด

“ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเธอจริงๆ” เด็กชายมีท่าทีจริงจัง อย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน...

“อ... อะไรเหรอ”

เด็กชายชั่งใจเล็กน้อย... เมื่อคืนเขาคิดอยู่ทั้งคืน ว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับเธอดีหรือเปล่า...

“นั่งก่อนสิ” มัลฟอยบอก พลางดึงเด็กสาวลงมานั่งกับพื้นหญ้าเขียวชอุ่มด้วย

“มีอะไรเหรอ...”

ทั้งสองตกอยู่ท่ามกลางความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด มัลฟอยก็เป็นผู้ทำลายความเงียบ...

“จอมมาร” เด็กชายพึมพำเสียงแผ่ว

“จอมมาร! เขาทำอะไร มัลฟอย!”

“เขาให้ฉันเอาตัวพอตเตอร์ไปให้...” เด็กชายพูด ราวกับวิญญาณของเขา ได้ล่องลอยออกจากร่างไปแล้ว
 “... ก่อนปิดเทอม หากไม่สำเร็จ...”

“มัลฟอย...”

“เขาจะฆ่าพ่อของฉัน”

เด็กสาวกระตุกมือขวาตนเองขึ้นมาปิดปากแน่น พยายามไม่แสดงอาการตกใจออกมาให้มากนัก
แต่ก็ควบคุมได้ยากเต็มที...

“เราต้องบอกดัมเบิลดอร์!” เฮอร์ไมโอนี่ร้อง ขณะนี้... ดูเหมือนเธอเป็นคนไข้โรคประสาทไปเสียแล้ว
“แล้วให้จอมมารฆ่าพ่อของฉันงั้นเหรอ!” มัลฟอยกระชากดวงวิญญาณกลับเข้าร่าง

“ต... แต่พ่อของนาย...”
“...เป็นคนเลว ใช่! ฉันรู้” เด็กชายระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างสุดกั้น
 “แต่ถึงอย่างไร เขาก็เป็นพ่อของฉัน เกรนเจอร์! เธอเข้าใจมั้ย!”

“มัลฟอย... “ เฮอร์ไมโอนี่คราง พลางลูบแขนเขาเป็นเชิงปลอบ เด็กชายนั่งกอดเข่า
ใบหน้าจมหายไปในท่านั้น บางที อาจเพื่อปิดกั้นน้ำตาก็เป็นได้...

เสียงระฆังตีบอกเวลาคาบแรก ได้เริ่มขึ้น แต่เฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งเป็นเด็กคงแก่เรียน
กลับไม่ขยับไปไหน
 เธอพร้อมจะอยู่ข้างกายเขา... ข้างมัลฟอย... เมื่อยามที่เขาต้องการใครสักคน อย่างเช่น... เวลานี้...

“เธอไม่ไปเรียนล่ะ เกรนเจอร์” เด็กชายพูดอู้อี้ ผ่านเข่าออกมา

“ไม่ล่ะ... ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนาย... อย่างนี้... ตรงนี้... จนกว่านายจะไล่ฉันไป... “

ในนาทีนั้นเอง มัลฟอยโอบกอดเธอไว้ กอดอย่างอ่อนโยน เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก...

“งั้นเธอก็คงต้องอยู่อย่างนี้อีกนาน เพราะฉันจะไม่มีวันไล่เธอไป” ดูเหมือนในที่สุด
มัลฟอยจะสงบสติอารมณ์ของเขาได้แล้ว เด็กชายค่อยๆคลายอ้อมกอดออก...

มัลฟอยสบตาคู่สีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่ ขอบตาของเขามีสีแดงแตะแต้มอยู่ แต่กลับปราศจากน้ำตา...

“ฉันควรจะทำยังไงดี เกรนเจอร์...” เด็กชายถามอย่างสิ้นหนทาง มือขวาประคองใบหน้าอันบอบบาง
 ซึ่งบัดนี้มีริ้วสีอมชมพูน้อยๆ ของเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยน

“ไม่ว่ายังไง นายก็ห้ามส่งตัวแฮร์รี่ให้โวลเดอร์มอร์เด็ดขาด” (มัลฟอยสะดุ้งน้อยๆ)
“แล้วฉันจะช่วยนายคิดเอง ว่าควรทำยังไงดี... แต่ต้องขอเวลาหน่อย”
“อืม” เด็กชายรับคำ ก่อนจะยันตัวยืนขึ้น

“เราไปเรียนเถอะ มีเรื่องให้กลุ้มมากพออยู่แล้ว” มัลฟอยบอก พลางดึงเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นยืนด้วยอีกคน
 เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนจะตรงกลับเข้าปราสาทพร้อมกัน...

****************************************

ความมืดแห่งรัตติกาลมาเยือนปราสาทฮอกวอตส์ดังเช่นทุกคืน แต่ไม่มีผู้ใดเล
ย ที่จะสังเกตถึงสัญญาณอันตราย ที่กำลังคืบคลานเข้ามา...

“เมื่อไหร่เราจะหาจี้ของนายเจอเนี่ย!” แฮร์รี่บ่นอิดออด อย่างที่ไม่ใช่นิสัยของเขา
 เฮอร์ไมโอนี่จะไม่แปลกใจเลย หากถ้อยคำบ่นเหล่านี้จะออกมาจากปากของรอน

“พอตเตอร์ ฉันว่าพอนายแก่ตัวไป... “ เด็กชายผมบรอนด์พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเยาะ
“...นายต้องเป็นตาเฒ่าขี้บ่นแน่ๆเลย”

“หุบปากของนายซะมัลฟอย ก่อนที่ฉันจะช่วย... “ แฮร์รี่บอกอย่างเหยียดหยาม
 มือขวาจับด้ามไม้กายสิทธิ์ไว้อย่างมั่นคงในเสื้อคลุม “ด้วยไม่กายสิทธิ์ของฉัน”

ดูเหมือนมัลฟอยจะไม่ลังแลเลย ที่จะปฏิบัติตาม...

เวลาผ่านไปพักใหญ่ ก็ยังไม่มีวี่แววของจี้ที่มัลฟอยว่าเลย... จนกระทั่งพวกเขามาถึงห้องสมุด...

“ไปที่อื่นเถอะ ที่นี่เราหากันแล้วนะ” เฮอร์ไมโอนี่บอกเสียงแผ่ว
 ห้องสมุดในยามค่ำคืนทำให้ผู้พบเห็นขนตั้งชันอย่างน่าประหลาด

“ไปสิ” เด็กชายทั้งสองรับคำ

และแล้วแฮร์รี่ก็สังเกตเห็นบางอย่าง สิ่งที่เขาเห็นนั้นส่องประกายล้อแสงจากปลายไม้กายสิทธิ์...

“ไอ้หัวทอง จี้ที่นายว่าเป็นรูปหัวใจใช่มั้ย”

“เออ” เด็กชายตอบห้วนๆอย่างไร้มารยาท อันที่จริงก็โทษเขาไม่ได้หรอก
 ไม่ว่าจะใครหากถูกเรียกอย่างนั้นก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน

“นี่เห็นว่าเกรนเจอร์อยู่ด้วยหรอกนะ ถึงไม่อยากมีเรื่อง” มัลฟอยพึมพำอย่างไม่พอใจ

“นายว่าอะไรนะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถาม ซึ่งคำตอบที่ได้คือการเมินหน้าไปทางอื่นของเด็กชาย

“เป็นสีเงินใช่มั้ย” แฮร์รี่ถาม อันที่จริงดูเหมือนพึมพำกับตนเองเสียมากกว่า

โดยไม่รอคำตอบ แฮร์รี่โน้มตัวลงไปเพื่อจะหยิบจี้รูปหัวใจ... ทว่า... วินาทีที่เขาคว้าจี้
สร้อยคอได้ ความรู้สึกกระตุกที่ช่องท้องก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน สีสันรอบตัวแฮร์รี่หมุนคว้างไปหมด
 และแล้วสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับวูบลง...

“แฮร์รี่/พอตเตอร์!” เฮอร์ไมโอนี่/มัลฟอยร้อง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อแฮร์รี่หายไปต่อหน้าต่อตา

“แฮร์รี่!”
“หายไปแล้ว”
“แฮร์รี่! อย่าล้อเล่นนะ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“จี้ของฉันก็หายไปด้วย”
“หรือว่าจี้สร้อยคอของนายจะเป็น... ” เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากค้าง สมองทำงานอย่างหนัก จนทำให้ปวดหัว “เป็น... “

“กุญแจนำทาง!” ทั้งสองร้องพร้อมกัน
เด็กสาวเข่าอ่อน ล้มลงคุกเข่ากับพื้นปราสาทแข็งๆ พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ให้เอ่อท้นออกมา...
“เกรนเจอร์” มัลฟอยเรียกเสียงอ่อย
“แฮร์รี่...” เฮอร์ไมโอนี่สะอื้นค่อยๆ ก่อนจะโผเข้ากอดมัลฟอยอย่างห้ามไม่ได้
เด็กชายลูบผมเธอเบาๆเป็นเชิงปลอบ

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กว่าเด็กสาวจะคลายอ้อมกอด มัลฟอยปาดน้ำตาให้เธอเบาๆ
 สีหน้าของเขาดูเย็นชาอย่างน่าประหลาด เด็กชายลุกขึ้น หันด้านหลังให้เฮอร์ไมโอนี่

“เป็นเพราะฉันเองเกรนเจอร์... ฉันเอง... เพราะฉันพอตเตอร์จึงถูกพาตัวไปให้จอมมาร”
เด็กชายพูด ทั้งที่ยังคงหันหลังให้เธอ
“มัลฟอย! นายพูดอะไรน่ะ”

“ฉันเป็นคนส่งตัวพอตเตอร์ไปให้จอมมารไงล่ะ” เขาหันมามองเฮอร์ไมโอนี่แวบหนึ่ง
ดวงตาสีซีดที่มองมา ทำให้เด็กสาวรู้สึกเจ็บแปลบที่ตำแหน่งหัวใจ

แล้วเขาก็จากไป พร้อมน้ำตาของหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ด้านหลัง...
“มัลฟอย!” เด็กสาวร้องเสียงหลง “มัลฟอยยยยยยยย!”

อะไรทำให้มัลฟอยเป็นอย่างนี้ไปได้ ทำไมเขาจึงยอมนำตัวเพื่อนรักของเธอไปมอบให้จอมมาร...

ทำไมล่ะ... ทั้งๆที่เธอเองขอร้องไว้...
ทำไมล่ะ... ทั้งๆที่เขาเคยรับปากเอาไว้...
ทำไมล่ะ... ทั้งๆที่เธอเองบอกว่าจะช่วยแล้วแท้ๆ
ทำไมเขาไม่รออีกสักหน่อย รอให้เธอคิดหาทางออกได้ แต่นี่...

“ทำไมมมมมม!!!!!!!!”

เด็กชายกำมือแน่น ริมฝีปากเป็นรอยช้ำ ตรงตำแหน่งที่เขากัดมัน...

ด้านหลังมัลฟอยจางหายไปจากสายตาของเด็กสาว พร้อมสติสัมปชัญญะที่ดับวูบไป
 เหลือไว้เพียงคราบน้ำตา และความเจ็บปวด...

****************************************

เด็กชายผมสีแดงเพลิงแยกกับแพนซี่ พาร์กินสัน มาตรวจปราสาทตามปกติ
หลายวันมานี้เขาดูเหนื่อยหน่ายเป็นพิเศษ เนื่องจากควิดดิชทำพิษเขาเข้า...

“แค่ฝึกควิดดิชก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังจะให้ตรวจปราสาทต่ออีก ดัมเบิลดอร์นี่จะให้ฉันตาย
คาฮอกวอตส์เป็นผีประจำบ้านตนต่อไปของกริฟฟินดอร์หรือไงนะ” เด็กชายบ่นอิดออดกับตนเอง
 ก่อนจะเลี้ยวมุมปราสาท “นี่ยังดีหน่อย ที่ไม่ต้องตรวจกับยัยหน้าหม... เฮอร์ไมโอนี่!”

เด็กชายร้องอย่าตกใจ เมื่อภาพเบื้องหน้าคือเพื่อนสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่กับพื้นหินแข็งๆ
เขาถลาไปยังเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะประคองศีรษะของเธอขึ้นมาอย่างเบามือ

“เฮอร์ไมโอนี่! เฮอร์ไมโอนี่! ตื่นสิ!” รอนเรียกเสียงดัง แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นเลย
 เด็กชายแลเห็นคราบน้ำตาปรากฏอยู่บนในหน้าที่ขณะนี้เป็นสีซีด เขากัดฟันแน่นด้วยความคับแค้นใจ

“เฮอร์ไมโอนี่ ใครทำให้เธอต้องร้องไห้อย่างนี้…” เขาพึมพำ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม
 เขาจะไม่ยอมให้อภัย เพราะคนๆนั้น เป็นผู้ที่ทำให้เพื่อนสาวต้องเสียน้ำตา

“เฮอร์ไมโอนี่!” เด็กชายเรียกซ้ำ ได้ผล... เด็กสาวเผยิอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
แต่ทว่าภาพที่เธอเห็นก็ยังคงเลือนรางด้วยม่านน้ำตา...

“มัลฟอย?...” เธอกระซิบเสียงแผ่ว ปลายเล็บแตะเข้าที่แก้มเด็กชาย “มัลฟอย... ทำไมทำแบบนี้... ทำไม...”
 สิ้นเสียง มือของเธอก็ตกลงไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ

“เฮอร์ไมโอนี่!” รอนร้อง โดยไม่รอช้า เขาอุ้มเฮอร์ไมโอนี่ราวกับเจ้าหญิง เพื่อนำเธอไปยังห้องพยาบาล
ในใจถูกความเคียดแค้นเข้าปกคลุม...

“ฉันจะไม่ยอมทำให้เธอต้องเสียน้ำตาเพราะมันเป็นครั้งที่ 2 แน่ เฮอร์ไมโอนี่...” เขาพูดเสียงแผ่ว
แม้จะรู้ดีว่าเพื่อนรักไม่ได้ยิน แต่กระนั้น ความจริงใจของเขา... เฮอร์ไมโอนี่คงรับรู้ได้...
****************************************

 เด็กหนุ่มผมบรอนด์เร่งรุดเดินตรงไปยังหอสลิธีริน เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของเฮอร์
ไมโอนี่เงียบไป เด็กชายอยากจะหันกลับไปหาเธอใจจะขาด แต่บางอย่างในความเจ็บปวดของจิตใจก็ห้ามเขาไว้
 ระหว่างทาง... จิตใจของเขาก็ล่องลอยไปยังความทรงจำเมื่อคริสมาร์ตที่ผ่านมา...

วันนั้น หิมะเม็ดหนาตกลงมาอย่างหนักหน่วง โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน
 ทำให้คฤหาสน์มัลฟอย ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลน...

เด็กชายผมบรอนด์นั่งทานอาหารกับแม่ของเขา นางนาร์ซิสซาร์ นั่นเอง...

“อิ่มแล้วฮะ” มัลฟอยบอกตามอัตโนมัติ นี่เป็นกฎระเบียบของของที่นี่... เด็กชายเลื่อนตัวออก
 เพื่อจะขึ้นไปบนห้อง เด็กชายอยากคุยกับเฮอร์ไมโอนี่ใจจะขาด... แต่...

“เดี๋ยวเดรโก” นางมัลฟอยรวบมีดและส้อมเข้าหากัน เอลฟ์ประจำบ้านกุลีกุจอเก็บอาหารไปในครัวทันที...

“นั่งก่อน แม่มีเรื่องจะพูดด้วย”

เด็กชายเลื่อนเก้าอี้ออก แล้วทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม...

“แกมีคนรักหรือยัง” นางมัลฟอยถามเสียงเรียบ ทว่าฟังดูอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใย ไม่เหมือนดังเช่นปกติ

“แม่ถามทำไมฮะ”

“ฉันจะอยากรู้เรื่องของลูกตัวเองไม่ได้รึไง”

เด็กชายพยักหน้าช้าๆอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก...

“งั้นลองบอกมาซิ คนรักของแกน่ะ มีรึยัง”

มัลฟอยรู้สึกถึงความร้อนบนใบหน้า ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเหตุใดเขาจึงเอาแต่นั่งก้มหน้า...

“ม... มีแล้วฮะ” เด็กชายตอบกับขาโต๊ะอย่างเคอะเขิน

นาร์ซิสซาร์กระตุกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง โดยที่มัลฟอยไม่ทันสังเกต...

“หล่อนเป็นใคร บอกแม่ได้มั้ย”

เด็กชายสั่นหน้าแรงๆ ต้องไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ หากเขาจะบอกกับแม่ว่า
 ‘แม่ฮะ ผมรักเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เด็กสาวเลือดสีโคลนโสโครกฮะ’

“เอาเถอะ... ไม่บอกก็ไม่เป็นไร”
 (มัลฟอยมองหน้าแม่ของตนอย่างตกใจ ตามปกติแล้ว หากเขาไม่ตอบคำถามใดๆก็ตามที่แม่ถาม
 ถึงแม้จะเป็นเพียง ‘พ่อแกอยู่ไหน’ ก็ตาม) “เมื่อแกแน่ใจเมื่อไหร่แล้วล่ะก็...”

นางมัลฟอยหยิบกล่องแบนๆสีน้ำเงินหรูขึ้นมา แล้วเปิดออก เผยให้เห็น...

“สร้อยคอประจำตระกูลเรานี่ฮะ!” เด็กชายร้อง

“ใช่... วันไหนที่แกแน่ใจว่าคนรักของแกก็รักแก วันนั้นแกก็นำสร้อยประจำตระกูลนี่
 ให้หล่อนซะ ถือเป็นการหมั้นหมายไปในตัว”

มัลฟอยก้มลงมองจี้สร้อยคอ มันเป็นรูปหัวใจสีเงิน ตรงกลางประดับไปด้วยพลอยสีเขียวมรกตรูปมังกร...

“งั้นตอนนี้เขารักแกแน่รึเปล่าล่ะ”

“ผ... ผมไม่รู้ฮะ”

“แม่ว่าแม่รู้นะ...” นางมัลฟอยมองใบหน้าที่เป็นสีจัดของมัลฟอยด้วยรอยยิ้ม... รอยยิ้มที่ยากจะหยั่งรู้...

“ผมเอาไปเลยได้มั้ยฮะ” เด็กชายถามแม่อย่างไม่แน่ใจ ทว่า คำตอบที่ได้กลับมาสร้างความประหลาดใจให้กับเขายิ่งนัก...

“เอาเลย!” เธอร้อง ดูเหมือนยินดีเกินความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ
 “แม่หมายความว่า... เอ่อ... ขืนแกยังชักช้าอยู่ เดี๋ยวคนอื่นก็แย่งหล่อนไปก่อนหรอก”

มัลฟอยพยักหน้างึกงัก

“อ้อ! แกห้ามแตะต้องจี้นั่นเด็ดขาดนะ” เธอบอก แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเต็มไปด้วยความสงสัยของลูกชาย
เธอจึงเสริมขึ้นว่า “เดี๋ยวมันจะสึกหรอเอาง่ายๆน่ะสิ ถ้าแกเกิดไปแตะต้องมันเข้า ก็พอดี
ไม่ต้องให้คนรักแกแน่... แกน่ะมือหนักจะแย่”

“ฮะ... งั้นผมขอตัวนะฮะ”

นางมัลฟอยพยักหน้าแทนคำตอบ...

ในที่สุด มัลฟอยก็มาถึงที่หมาย... เด็กชายวิ่งขึ้นหอนอน แล้วคว้าผงฟลูมา ก่อนจะถลาลงไปในห้องนั่งเล่น
ซึ่งขณะนี้... ร้างผู้คน เขาตรงไปยังหน้าเตาผิงที่ยังคงลุกโชติช่วง แล้วโยนผงฟลูเข้าไป
 เปลวไฟสีเขียวมรกตลุกวาบขึ้นมาทันตาเห็น

“คฤหาสน์มัลฟอย!” เขาตะโกนก้อง ก่อนจะคุกเข่าลง แล้วโน้มตัวลงไปในเปลวไฟ
ภาพต่างๆหมุนค้างไปมาจนทำให้รู้สึกมึน เด็กชายจึงปิดเปลือกตาลง
 จนกระทั่งรู้สึกว่าทุกอย่างนิ่งสนิท เขาจึงลืมตาขึ้น ภาพห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์มัลฟอยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า...

“แม่! แม่ฮะ! แม่อยู่ตรงนั้นรึเปล่าฮะ!” เขาตะโกนเรียกอย่างร้อนรน “แม่!!!”

เกิดเสียงกุกกักขึ้นหลังพนักเก้าอี้ ตามมาด้วยร่างๆหนึ่งที่เหยียดตัวยืนขึ้น...

“ใครน่ะ”

“ผมเองฮะแม่ เดรโก”

นาร์ซิสซาร์เบิกตากว้าง ก่อนจะถลามาหน้าเตาผิง เผชิญหน้ากับลูกชาย...

“สำเร็จแล้วใช่มั้ย! พอตเตอร์อยู่กับจอมมารแล้วใช่มั้ยเดรโก!”

“แม่รู้!”

“สำเร็จ! งานนี้ต้องขอบคุณแกที่เอากุญแจนำทางนั่น เข้าไปในฮอกวอตส์ได้”
เธอบอกอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะฮัมเพลงในลำคอเบาๆ พลางเดินขึ้นบันไดไป...

“เดี๋ยวก่อน! แม่!” เด็กชายตะโกนสุดเสียง ทว่านางมัลฟอยกลับไม่มีท่าทีว่าได้ยินเลยแม้แต่น้อย
 จนกระทั่งเธอหายลับไปจากสายตา

เด็กชายสบถเบาๆ รู้สึกว่าตนเองความโง่เขลายิ่งนัก เขารู้สึกถึงขอบตาอันร้อนผ่าวของตน

“แม่! แม่ฮะ! มาคุยกับผมให้รู้เรื่องก่อนสิฮะ!” เด็กชายยังไม่ละความพยายาม “แม่!”

“นายน้อยเดรโก” เสียงเล็กๆอันเป็นเอกลักษณ์ของทอลดี้ เอลฟ์ประจำบ้านหนึ่งใน 20 ตัวของคฤหาสน์มัลฟอย

“อะไร” มัลฟอยตะคอกใส่ เพื่อระบายอารมณ์ไปในตัว

“ทอลดี้ครับ ทอลดี้รู้ว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ อยู่ที่ไหนครับ” เอลฟ์อีกตัวบอกอย่างเด็ดเดี่ยว
 เด็กชายหันไปมองเอลฟ์ตัวที่พูด เขาจำได้ในทันที ว่ามันคือ...

“ด็อบบี้!”

“ใช่เขาครับ”

“แกมาที่นี่ได้ยังไง”

“นายน้อ... เอ่อ... คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นหรอกครับ” เอลฟ์บอกด้วยเสียงแหลมสูง
 “ประเด็นอยู่ที่ว่า ทอลดี้รู้ว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่ไหนครับ!”

“แกรู้เหรอ!” มัลฟอยหันไปตะหวาดถามทอลดี้

“ทอลดี้รู้ครับ” มันตอบอย่างกล้าๆกลัว

“บอกฉันมาเร็วเข้า พอตเตอร์อยู่ไหน!”

เอลฟ์ก้มหน้างุด ก่อนจะขยับริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก

“คือ... เขาบอกไม่ได้ หากเจ้านายไม่อนุญาต” มันบอกเสียงแผ่ว

“ฉันก็เป็นเจ้านายแกนะ!”

“คือ... ไม่ได้หรอกครับนายน้อย ทอลดี้จะทรยศต่อนายไม่ได้เด็ดขาด...” มันคร่ำครวญ

“งั้นแกล่ะด็อบบี้ แกรู้มั้ย บอกฉันมาสิ” มัลฟอยถามอย่างร้อนรน โดยไม่รู้สึกถึงความร้อนที่กำลังไล้เลียใบหูของเขาเลย

“ด็อบบี้ไม่รู้ครับ” เอลฟ์ตอบ “แต่ทอลดี้บอกได้ครับ เขาบอกได้...”

“อะไ... ใช่! ใช่แล้ว!” มัลฟอยเบิกตากว้าง “เสื้อผ้าล่ะ ฉันต้องการเสื้อผ้า!”

ด็อบบี้ชี้ไปที่เน็ตไทต์ของเด็กชาย มัลฟอยกระชากมันออกอย่างไม่ใยดี
 ก่อนจะโยนให้ทอลดี้ ที่กำลังคร่ำครวญเมื่อตนถูกปล่อยเป็นไท

“เอาล่ะ คราวนี้ตอบมา”

“ม... ไม่ได้ครับ เขาต้องไม่ทรยศต่อนาย”

“แต่แม่ไม่ใช่นายแกอีกต่อไปแล้ว!”

ด็อบบี้หักนิ้วอย่างข่มขู่ ซึ่งเอลฟ์เองก็มองอย่างหวาดกลัว...

“บอกคุณมัลฟอยเดี๋ยวนี้ ทอลดี้ หรืออยากจะชิมเวทมนตร์ของฉันสักหน่อย” เอลฟ์ข่มขู่

“บอกครับ ทอลดี้ยอมบอกแล้ว...” ทอลดี้ร่ำไห้ ทั้งสองต้องให้เวลาทอลดี้พักหนึ่ง เพื่อให้เขาหยุดร้องไห้...

“คนที่คุณก็รู้ว่าใครนำแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปไว้ที่บ้านริดเดิ้ลครับ”

“บ้านนั้นอยู่ที่ไหนกันเล่า!” มัลฟอยตะคอกเสียงดัง ทำเอาด็อบบี้พลอยสะดุ้งไปอีกตัว

“ย... อยู่หมู่บ้านลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน ครับ”

“ลิตเติ้ลแฮงเกิลตัน... “ เด็กชายทวนคำ “ดีล่ะ!” ว่าแล้ว เขาก็หายวับไปท่ามกลางเปลวไฟสีเพลิง...
ตามไปด้วยด็อบบี้ที่หายตัวตามไป ทิ้งทอลดี้ให้ฉลองความเป็นไทของตนด้วยน้ำตา...

เมื่อเด็กชายผละออกจากเตาผิง เขาก็เร่งรุดขึ้นหอนอนทันที ด้วยกลัวว่าใครจะเห็นเข้า
 ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงสี่เสา สีเงินสลับเขียวของเขา

หอนอนเขาเป็นดังเช่นทุกคืน... เสียงกรนของแครบและกอยล์ยังคงแข่งกันดัง
 และดูเหมือนว่าคืนนี้จะดังเป็นพิเศษกว่าทุกคืนเสียอีก เด็กชายจึงระบายอารมณ์อันหมกมุ่นนี้ด้วยการถีบกอยล์เข้าแรงๆ

โครม! กอยล์กลิ้งหลุนๆตกเตียงสี่เสาไป แต่เรื่องแค่นี้น่ะเหรอ จะสามารถทำให้เขาตื่นจากการหลับใหล
 ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบเป็นอันดับที่ 2 รองจากการกิน... ไม่มีทางเสียหรอก!

มัลฟอยถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะพลิกตัวนอนอีกหน พยายามข่มตาให้หลับ
 ทว่า... ไม่เป็นผล กลับทำให้ใบหน้าอันเจ็บปวดของเฮอร์ไมโอนี่ผุดขึ้นมาแทน

“ฉันจะไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวดอีกแล้ว... เฮอร์ไมโอนี่” เด็กชายพึมพำก่อนจะพยายามข่มตาไปตลอดคืน...

****************************************


เช้าวันต่อมา... ท้องฟ้าเบื้องบนดูเหมือนจะกลั่นแกล้งความรู้สึกในใจของเฮอร์ไมโอนี่เสียเหลือเกิน
 เพราะมันช่างดูสดใส... เด็กสาวได้แต่มองดูอย่างเจ็บปวด

“เฮอร์ไมโอนี่... “ เสียงหนึ่งเรียกเธออย่างไม่แน่ใจ จากข้างเตียง เธอหันไปหา ก่อนจะยิ้มแหยๆให้เพื่อนรัก
 “เธอไม่เป็นไรนะ”

“ฉันไม่เป็นไรหรอก รอน” เด็กสาวโกหกคำโต

“เธอไม่อยากบอกฉันก็ไม่เป็นไร...” รอนพึมพำ ใบหูของเขากลายเป็นสีเดียวกันกับเส้นผมสีเพลิง
“เพียงแต่ ถ้าเธอไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็บอกฉันได้... ฉันยินดีจะรับฟัง”

“อืม...” เฮอร์ไมโอนี่รับคำ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้น้ำตาหลั่งไหลออกมา...

“งั้นฉันกลับหอก่อนล่ะ แล้วจะมาเยี่ยมเธอใหม่” เด็กชายบอก ก่อนจะหันหลังกลับไปทางประตูห้องพยาบาล
 “แล้วแฮร์รี่ไปไหนของเขากันนะ”

เด็กสาวสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินชื่อเพื่อน หยาดน้ำใสที่เธอพยายามสกัดกลั้นกลับต้องหลั่งรินลงมา...

“เฮอร์ไมโอนี่ เธอรู้มั้ยว่าแฮร์รี่ไปไ... เฮอร์ไมโอนี่!” รอนร้อง เมื่อเห็นน้ำตาของเธอ เด็กชายรีบทลาเข้าไปหาเธอ

“ฉันจะทำยังไงดีรอน! ฉันต้องทำยังไง...” เด็กสาวร้องทั้งน้ำตา

“ทำ? ทำอะไร?” เด็กสาวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้รอนฟัง...

“ฉันจะฆ่ามัน!” เด็กชายร้อง โดยมีเฮอร์ไมโอนี่ยึดแขนเขาไว้

“อย่ารอน! หยุด!” เด็กสาวร้องสุดเสียง

“เฮอร์ไมโอนี่! มัลฟอยมันทำกับเธอ ทำกับแฮร์รี่ขนาดนี้ เธอยังจะปกป้องมันอีกเหรอ!”

“ได้โปรดเถอะรอน ถือว่าเห็นแก่ฉันก็ได้”

“เห็นแก่เธอ! ทั้งๆที่มันทำลายความเชื่อใจที่เธอมีให้มันไปแล้วน่ะเหรอ!”

“ใช่!” เด็กสาวร้อง หยาดน้ำตารินไหลลงมาอย่างไม่อาจห้าม เด็กสาวพุดลุกขึ้น
 ก่อนจะวิ่งไปยังหอนอน โดยไม่หันกลับมาตามเสียงเรียกของรอนเลย...

****************************************


เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เด็กสาวไม่ได้เข้าเรียนวิชาใดเลยตลอดทั้งวัน... ถ้าจะพูดให้ถูก
 เธอไม่ได้ก้าวเท้าออกจากหอนอนเลย...

“เฮอร์ไมโอนี่...” ปาราวตีเรียกอย่างไม่แน่ใจ เมื่อได้เวลาอาหารเย็น
 “ลงไปทานอะไรหน่อยเถอะ เมื่อกลางวันเธอไม่ได้กินนะ...”

และเช่นเคย คำตอบที่ได้มาคือความเงียบจากม่านสีแดงสด ที่คลุมเตียงสี่เสา

เด็กสาวถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะกล่าวลาเธอ... ประตูปิดลงอีกครั้ง
 ขณะนี้สิ่งมีชีวิตที่เหลืออยู่ในหอนอนมีเพียงเฮอร์ไมโอนี่ และครุกแชงค์เท่านั้น

เด็กสาวลูบขนสีส้มของมัน แม้ว่าดวงตาของเธอจะจับจ้องอยู่กับสมุดเล่มสีชมพูก็ตาม
 รอคอยให้มันมีแสงวาบขึ้นมา...

“ครุกแชงค์... ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะไว้ใจใครได้อีก? แม้แต่แก... ฉันจะไว้ใจแกได้มั้ย?”
 เธอถาม คล้ายพูดกับตนเองเสียมากกว่า ครุกแชงค์มองเจ้านายของมันอย่างตำหนิ
แต่ก็ยังครางแสดงความมั่นใจให้แก่เธอ เด็กสาวมองมันด้วยสายตาที่เจ็บปวด
 หยาดน้ำตาใสค่อยๆหลั่งรินลงมาจากดวงตาคู่สวย...

“ขอบใจนะ” เธอพึมพำ ก่อนห้วงแห่งนิทราจะเข้ามาเยือนเธอ...

****************************************


 ยามเช้ามาถึง เฮอร์ไมโอนี่พลิกตัวไปมาบนเตียงสี่เสา ด้วยพยายามจะหลับต่อ ทว่ากลับไม่เป็นผล
 เด็กสาวจึงลุกจากเตียง และลงไปยังห้องนั่งเล่นรวม...

“เฮอร์ไมโอนี่... “ เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ตำแหน่งของโซฟา ทำให้เธอต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยไม่ตั้งใจ

“รอน!” เด็กสาวร้องลั่น เมื่อเห็นเพื่อนพุดลุกขึ้นมาจากโซฟาสีแดงสด “ทำไมเธอมานอนอยู่นี่ได้!”

“ก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ” เด็กชายตอบ พลางไหวไหล่ แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดี ว่าเขามารอเธอ...
“เธอล่ะ หิวล่ะซิท่า... เฮ้ย!” รอนร้องเสียงหลง เมื่อเด็กสาวโผเข้ากอดเขา แต่เด็กชายก็ยังคงแตะหัวเธอเป็นเชิงปลอบ

“เราลงไปข้างล่างเถอะ” รอนบอก เมื่อเธอผละออกจากเขา ใบหูทั้งสองข้างของเขากลายเป็นสีเดียว
กันกับเส้นผมสีแดงเพลิง เด็กสาวใช้ปลายนิ้วปาดหยาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็ม
ไปด้วยความมั่นใจ แม้จะสั่นเครืออยู่บ้าง...

“ฉันจะช่วยแฮร์รี่เอง... “

“เธอว่าไงนะ?”

“ฉันบอกว่า ฉันจะช่วยแฮร์รี่เอง เพราะฉัน... เขาถึงถูกจับไป”

“เธอจะทำยังไง!?” รอนร้อง คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน
“ตอนนี้ดัมเบิลดอร์ก็ไม่อยู่... “ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ ระคนแปลกใจ
 “...มักกอนนากัลบอกฉัน เพราะว่าเธอสั่งให้ฉันเฝ้าตรวจดูปราสาทในระหว่างที่
 ดัมเบิลดอร์ เธอ และสเนปต้องไปทำงานเกี่ยวกับภาคี และจะไปพักอยู่ที่กริมโมเพลซซัก 2-3 วัน...”

“2-3 วัน? กว่าจะถึงเวลานั้น เราคงได้แฮร์รี่ในสภาพที่ชิ้นส่วนอยู่ในกล่องไม้ขีด...”

เฮอร์ไมโอนี่ทรุดตัวลงกับโซฟาตัวนุ่ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความหมกมุ่นกับปัญหาที่แก้ไม่ตก...
รอนปล่อยให้ความคิดของเธอดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาเต็มตา
เด็กสาวพุดลุกขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง...

“อะไร! เธอเป็นอะไรเฮอร์ไมโอนี่!”

“ตามฉันมา” เธอสั่งห้วนๆ ก่อนจะปีนรูปภาพสุภาพสตรีอ้วนออกไป รอนทำหน้าแหยเก พร้อมกับพึมพำเบาๆว่า

“ฉันล่ะเกลียดจริงๆ เวลาที่เธอคิดอะไรออกแล้วไม่บอกเราเนี่ย...” เด็กชายกล่าวเสียงแผ่ว
พลางหันไปข้างๆ และสะดุ้งให้กับความโง่ของตนเอง “เออ... ของฉันคนเดียวนี่นา”
เขาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะออกตามเฮอร์ไมโอนี่

ทั้งสองเดินตรงไปตามทางระเบียงทางเดิน และพบเข้ากับคนที่เฮอร์ไมโอนี่ตามหา...
เขาช่างมาได้จังหวะเหมาะเสียจริงๆ...

เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆเคลื่อนตัวไปด้านหลังของเด็กชายผมบรอนด์ที่เหม่อมองออก
ไปยังทะเลสาบอย่างเหม่อลอย ดวงตาสีซีดมีแววเศร้าใจ... แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
เมื่อรู้สึกถึงปลายไม้กายสิทธิ์ที่จ่ออยู่ด้านหลัง... ปลายนิ้วกระชับอยู่ที่ด้ามปลายไม้กายสิทธิ์ในเสื้อคลุม

“ก...เกรนเจอร์?”

“บอกมา นายเอาแฮร์รี่ไปไว้ที่ไหน!”

“เธอต้องฟังฉันก่อน...”

“ฉันจะไม่ฟังอะไรจากนายอีกแล้ว นอกจากคำตอบที่ว่า... แฮร์รี่-อยู่-ไหน” เด็กสาวตอบ
 โดยเน้นประโยคหลัง แววตาเด็ดเดี่ยว ทว่าลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด...

เด็กชายสูดหายใจเข้าลึกๆ คลายมือออกจากด้ามไม้กายสิทธิ์ ก่อนจะตอบว่า...

“ตามมาสิ” ว่าแล้ว มัลฟอยก็ออกเดินนำไป โดยที่ไม้กายสิทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่ยังคงจ่อจี้อยู่ที่หลัง
 มีรอนเดินตามมาใบหน้าแสดงออกถึงอาการไม่ไว้วางใจอย่างชัดเจน

“นายจะพาพวกเราไปไหนเนี่ย” เฮอร์ไมโอนี่ถาม เมื่อเริ่มหมดความอดทน...
 พวกเขาเดินกันมาถึงชายป่าต้องห้ามแล้ว

“เมื่อปีที่แล้วเธอไปกระทรวงเวทมนตร์ยังไงกันล่ะ... เทสตรอน...
 ใช่ ฉันรู้... ไม่อย่างนั้นเธอจะไปที่นั่นยังไงกันล่ะ...”

“นายหมายความว่าแฮร์รี่อยู่ที่กระทรวงเวทมนตร์เหรอ?” รอนร้อง

“แม่หุ่นตุตะของนาย ให้นายกินอะไรเป็นอาหารกันเนี่ยวิสลีย์.
.. เจ้าพวกที่ฉันกำลังเหยียบอยู่รึเปล่า ถึงได้โง่ขนาดนี้” มัลฟอยกล่าวยิ้มเยาะ
 พลางพยับเพยิบไปยังพื้นหญ้าที่เหยียบอยู่ รอนกัดฟันกรอด ไม้กายสิทธิ์ชี้ออกมาด้านหน้า ตรงไปที่มัลฟอยอย่างข่มขู่

“นายจะได้ชดใช้ก็คราวนี้แหละ! มัลฟอย...”
“อย่ารอน!” เฮอร์ไมโอนี่ร้อง ร่างเธอกั้นระหว่างไม้กายสิทธิ์ของรอน และร่างของมัลฟอยไว้
“หลบไป เฮอร์ไมโอนี่!”
“รอน! มีเหตุผลหน่อย มัลฟอยยังต้องพาเราไปหาแฮร์รี่นะ!”
“แต่มันว่าแม่ฉัน!”

“ถ้านายจะใช้สมองอีกนิดนะวิสลีย์... ฉันว่านายต่างหาก”
“เงียบน่า! มัลฟอย” เด็กสาวคำราม “รอน... จำได้มั้ย เราต้องการช่วยแฮร์รี่ไม่ใช่เหรอ?
 อย่าลืมสิ... อย่าให้คำพูดของคนอย่างนี้มาทำเธออารมณ์เสียเลย”

“มันเนี่ยนะ!... อย่างมันน่ะเหรอจะทำให้ฉันอารมณ์เสียได้ รอไปอีกซักชาติแล้วกัน” เด็กชายบอก
 จริงอยู่ที่เขายอมลดไม้กายสิทธิ์ลงตามแรงดันของเฮอร์ไมโอนี่ แต่ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของ
เขาช่างต่างกับคำพูดเสียเหลือเกิน...

“เอาล่ะมัลฟอย... ไปต่อสิ”

เด็กชายมองเฮอร์ไมโอนี่แวบหนึ่ง ก่อนจะพรุบตาลงต่ำ แล้วออกเดินนำเข้าไปในป่าต้องห้าม...

“มัลฟอย... นี่นายรู้เหรอว่าเทสตรอนอยู่ที่ไหนน่ะ?” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นในที่สุด
เมื่อเธอรู้สึกว่าเข้ามาในป่าลึกพอดู มัลฟอยหยุดกึก... “อ... อะไร?”

“เงียบ!” เด็กชายกระซิบ
“เสียงอะไรน่ะ?” รอนถามเสียงเบา มือข้างซ้ายค้างอยู่ในท่าที่พยายามแกะกิ่งไม้เล็กๆออกจากเส้นผม “ม้าเหรอ?”

“ม้า?... บ้าน่ะ! เซ็นทอร์ต่างหาก!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงหลง
เซ็นทอร์สีน้ำตาลไหม้ตนหนึ่งหันมาตามเสียงด้วยท่าทีดุร้าย...

“ทางนี้!” มัลฟอยกระซิบ และพยับเพยิบให้ทั้งสองตามเขาไปอย่างเงียบกริบ
 จนกระทั่งพ้นรัศมีของพวกเซ็นทอร์ จังหวะการเต้นของหัวใจจึงกลับมาเต้นตามปกติ
“นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว...” รอนพึมพำ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
เฮอร์ไมโอนี่ปาดเหงื่อเม็ดใสบนหน้าผาก และชะงักให้กับความคิดหนึ่งเข้า...
“มัลฟอย! ฉันจำได้ว่าปีที่แล้วที่แฮกริดเอาเทสตรอนมา นายมองไม่เห็นพวกมันไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่” เด็กชายตอบห้วนๆ พลางเลิกคิ้วขึ้นพอให้กวนอารมณ์

“นาย!...”
“เดี๋ยวก่อน ฉันยังพูดไม่จบเลย... ตอนนี้ฉันมองเห็นพวกมันแล้ว”

“นายหมายความว่า... นายเห็นคนตายมาก่อนแล้ว?” มัลฟอยยิ้มเยาะแทนคำตอบ
“ไม่แปลกหรอกเฮอร์ไมโอนี่... บางทีเขาอาจเป็นคนลงมือฆ่าเองเลยก็ได้” รอนกล่าว มองมัลฟอยอย่างเหยียดๆ
“รอน... เรายังเด็กอยู่ ยังไม่สามารถใช้คาถาขั้นสูง... แถมยังผิดกฎหมายนั้นได้หรอก…”

“...เว้นแต่ว่า ได้รับการฝึกฝนมา” รอนต่อประโยคให้เธอ แต่ดวงตากลับจ้องมองที่เด็กชายผมบรอนด์
เด็กสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางมองมัลฟอยอย่างสงสัย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ...

“แน่นอน...” เด็กสาวหัวใจหล่นวูบ “...ว่าฉันไม่ได้รับการฝึกฝนมา ฉันไม่ได้ฆ่าใคร...” มัลฟอยตอบอย่างสบายๆ
 ไม่รู้ด้วยเหตุใด เพียงได้ยินคำตอบนี้ก็ทำให้น้ำหนักในหัวใจของเฮอร์ไมโอนี่เบาลง

“งั้นท...”

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน วิสลีย์” เด็กชายบอกเสียงเฉียบ เป็นการตัดบทสนทนา เขามองไปรอบตัว...
“นี่ใกล้จะถึงรึยังล่ะ?” รอนถาม

“ใกล้เหรอ? ไม่หรอก... เราถึงแล้ว” มัลฟอยบอกเรียบๆ แต่กลับสร้างความตกใจให้ผู้ฟังได้อย่างดีเยี่ยม “นั่นไง”
เฮอร์ไมโอนี่และรอนมองไปรอบตัวอย่างหวาดหวั่น แม้จะไม่เห็นร่างของมัน แต่ทั้งสองก็รู้สึกได้...

“อ...เอาล่ะ มัลฟอย นายไปได้แล้ว”
“เฮอร์ไมโอนี่! จะให้มันไปส่งข่าวให้คนที่เธอก็รู้ว่าใคร แล้วให้เตรียมฆ่าเราสองคนอย่างงั้นสิ”

เด็กสาวเหลือบมองเขา ก่อนจะตัดสินใจ..
“งั้นนายไปกับพวกเราด้วย” เด็กชายไหวไหล่แทนคำตอบ...
ไม่นานนัก ทั้งสามก็ลงจากหลังของเธสตรอน
 และหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ปล่อยให้ไม้เลื้อยนานาชนิดปกคลุม...

“เอาล่ะ มัลฟอย... นายนำทางไปสิ”

“ไม่...” เด็กชายตอบอย่างอวดดี แต่ก็ต้องยอมแพ้ เมื่อเห็นสายตาของเฮอร์ไมโอนี่
 “ฉันหมายความว่าฉันไม่รู้จักทางหรอก”

เฮอร์ไมโอนี่เริ่มมองไปรอบๆ...

“น่าแปลก... ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ” เด็กสาวกล่าวขึ้น
 ก่อนจะมองหน้าเด็กชายทั้งสองเพื่อหาคำตอบ แต่กลับได้ท่าทางอันงุนงงของรอนกลับมาแทน

“ฉันว่าคงซุ่มดูเราอยู่นั่นแหละ” มัลฟอยตอบ

“แล้วเราจะตามหาแฮร์รี่ได้ที่ไหน... เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ไหนน่ะ”
เด็กสาวกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเดินนำเข้าไปในคฤหสาน์เก่า มีเด็กชายทั้งสองตามเข้ามาด้วย

“มันจะพังลงมามั้ยล่ะเนี่ย” รอนบ่นพึมพำ พลางมองดูพื้นไม้บนเพดานอย่างไม่ไว้วางใจ
“เมื่อไหร่นายจะเงียบสักทีนะวีเซิ่ล ไม่รำคาญตัวเองหรือไง”

อีกครั้งที่รอนแยกเขี้ยวใส่มัลฟอย และอีกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องเป็นผู้ยุติสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

“พอทีเถอะ!” เด็กสาวร้องอย่างสุดทน มัลฟอยยิ้มมุมปากให้รอนอย่างอวดดี
 “...ฉันหมายถึงทั้งสองคน” เธอต่อเสียงเข้ม คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน…
ด้วยสายตาที่ลอกแบบมาจากศาสตรามักกอนนากัลนี่เองที่ทำให้เด็กชายทั้งสอง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะส่งเสียงออกมา…

เด็กสาวสะบัดหน้าเดินนำต่อไป ขณะนี้ความคิดต่างๆแล่นเข้ามาในสมองของเธออย่างไม่ขาดสาย
 ทั้งความคิดที่ว่า แฮร์รี่ถูกขังไว้ที่ไหน และความหวาดระแวงที่ว่าจะมีผู้เสพความตายพุ่งเข้า
มาเสกคาถาใส่พวกเธอเมื่อไหร่ก็ได้

ทั้งสามมองเห็นแสงไฟลำไรลอดผ่านช่องประตูที่แง้มอยู่ เธอหันไปขอความเห็นจากเด็กชายทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง

“พวกนายว่าไง... ควรเปิดประตูดีมั้ย?”

“ดี... ถ้าเธอคิดอย่างนั้น” มัลฟอยตอบ ดวงตาสีซีดจ้องมองที่ประตูไม้เบื้องหน้าอย่างไม่วางตา
“ฉัน... ไม่รู้สิ มันอาจจะไม่ดีก็ได้นะ บางทีอาจจะมีพวกผู้เสพความตายคอยดักซุ่มโจมตีเรา”
 รอนบอกเสียงค่อย ดูเหมือนเขาจะลืมกระชากวิญญาณกลับเข้าร่างเมื่อตอนที่เขาถูกสายตาพิฆาตของเฮอร์ไมโอนี่

เด็กชายผมบรอนด์มองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น...
“ฉันเพิ่งจะรู้นะวิสลีย์... ว่านายก็มีสมองเหมือนกัน” มัลฟอยบอกพลางยิ้มเยาะ
 แล้วจึงหันไปพูดกับเฮอร์ไมโอนี่โดยตรง “เกรนเจอร์... แม้ที่วิสลีย์พูดจะมีความเป็นไปได้
 แต่ถ้าเราไม่เข้าถ้ำเสือ เราจะได้ลูกเสือเหรอ”

เด็กสาวเม้มปากอย่างใช้ความคิด... จริงอยู่ว่าถ้าเราไม่กล้าที่จะเสี่ยง
เราก็คงหาแฮร์รี่ไม่พบ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่เราถอดสังขารมากัน
จนถึงที่กบดาลของจอมมารอย่างนี้ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย... แต่หากในห้องนั้นเป็นกับดักล่ะ?
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่า พวกผู้เสพความตายจะเฝ้าดักโจมตีพวกเธออยู่ ...แล้วนี่เธอจะตัดสินใจอย่างไรกันดีล่ะ?

เด็กสาวสบตามัลฟอยแวบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไป
ช่วงเวลาแห่งความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องทรงสี่เหลี่ยมเพียง 5 วินาทีแรกที่พวกเขาเข้าไปเท่านั้น
 ส่วนอีก 5 วินาทีต่อมา จากความเงียบสงัดกลับถูกแทนที่ด้วยช่วงเวลาแห่งความโกลาหน
 เมื่อลำแสงหลากสีสันพุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากทั่วทุกมุมห้อง

นอกจากเสียงพึมพำคาถาของเหล่าผู้เสพความตาย และเสียงลำแสงจากคำสาปพุ่งผ่านอากาศ
ก็ยังมีเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเฮอร์ไมโอนี่ด้วย... ต้นเหตุก็มาจากมัลฟอยนั่นเอง
 เขาดึงเฮอร์ไมโอนี่ให้มอบลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้ว แล้วค่อมตัวเธอเอาไว้
ใช้ร่างของตนเป็นเกราะกำบังลำแสงต่างๆที่พุ่งผ่านไปมา

ปึก เสียงเหมือนของหนักๆตกลงพื้น เด็กสาวเหลือบมองเห็นต้นเสียง แล้วก็ต้องหวีดร้องอีกครั้ง
 เมื่อเสียงๆนั้นคือเสียงที่ร่างของเด็กชายผมสีแดงเพลิงล้มลงกับพื้น เธอหลับตาลง
ไม่อยากรับรู้ว่าเพื่อนโดนคาถาอะไรเข้าเล่นงาน... แต่ไม่ว่าเขาจะโดนคาถาอะไรก็ตาม ขอให้เขาปลอดภัยทีด้วยเถอะ...

ไม่นานนัก ลำแสงจากคาถาต่างๆก็ซาลง และหายไปในที่สุด
“พวกมันตายรึยังน่ะ?” เสียงผู้เสพความตายคนหนึ่งกระชากเสียงถามขึ้นอย่างก้าวร้าว

“แกก็ไปดูมันสิ เจ้าโง่”
เฮอร์ไมโอนี่สบตากับมัลฟอยอย่างหวาดหวั่น... ในไม่ช้าผู้เสพความตายคนใดคนหนึ่งก็จะเดินมาพบพวกเธอ
และจัดการฆ่าเสีย

...นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้สบตากับคนที่ฉันรัก...
 เด็กสาวคิดอย่างถอดใจ และดูเหมือนมัลฟอยเองก็คิดเช่นเดียวกัน
 เด็กชายค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ และจุมพิตลงบนริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่อย่างอ่อนโยน

“พวกมันยังไม่ตาย!” เสียงเดิมร้องบอกพวกของมัน... เกิดเสียงหึ่งๆขึ้นรอบห้อง
ก่อนที่จะมีใครกำจัดทั้งสอง ประตูไม้ก็เปิดออก ตามมาด้วยร่างของชาย 2 คน อีกคนร่างผอมสูง
 ส่วนอีกคนอ้วนและค่อนข้างเตี้ย ดูคุ้นตาเฮอร์ไมโอนี่อย่างน่าประหลาด

“ทำไมพวกแกยังไม่ฆ่ามัน” ชายร่างสูงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเยียบเย็น

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยากปริปากพูดกับชายคนดังกล่าวนี้เลย ผู้เสพความตายได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างหวาดหวั่น

“พ... พวกเรากำลังจะฆ่ามัน ก่อนที่นายท่านจะเข้ามา” ชายผู้กล้าตอบ
 แต่ทว่าน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

“ให้ฉันดูหน่อยซิ... เพื่อนผู้กล้าหาญของแฮร์รี่ พอตเตอร์” เขาพูดขึ้น
 ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยที่นั่งกองอยู่กับพื้น
 ชายผู้นั้นพิจารณาใบหน้าของเด็กชายผมบรอนด์เป็นพิเศษ
“ถ้าจำไม่ผิด... เธอคือ เดรโก ลูกของลูเซียสสินะ”

“คนทรยศ!” หนึ่งในกลุ่มผู้เสพความตายร้อง เกิดเสียงงึมงำอย่างเห็นด้วยดังขึ้นตามมา

“ผมทรยศเหรอฮะ?” เด็กชายตอกกลับ พลางเลิกคิ้วขึ้นสูง
 “ที่ผมอุตส่าห์หลอกเพื่อนพอตเตอร์มากำจัดให้สิ้นซากนี่... คือการทรยศเหรอฮะ”

เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อน หัวใจดวงเล็กๆแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“นาย... แกมันเลวที่สุด!” เด็กชายยิ้มเยาะให้เธอ
“จริงหรือมัลฟอยน้อย?”
“แน่นอนที่สุดครับนายท่าน” เด็กชายตอบพลางน้อมศรีษะลงเล็กน้อย
โวลเดอร์มอร์เหยียดยิ้มอย่างชั่วร้ายแวบหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้โดโลฮอฟนำเฮอร์ไมโอนี่ไปขัง
“ส่วนเดรโก... ตามฉันมา”

มัลฟอยหันมาสบตาเฮอร์ไมโอนี่แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามโวลเดอร์มอร์ไป...

****************************************

“ไมนี่... เฮอร์ไมโอนี่” เสียงอันคุ้นหูเรียกเธออย่างแผ่วเบา เด็กสาวปรือตาขึ้นเล็กน้อย

“แฮร์รี่!” เด็กสาวพุดลุกขึ้น “เธอไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร...” เด็กชายตอบอย่างเหนื่อยอ่อน

“แฮร์รี่...”

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ แค่เจอคำสาปกรีดแทงไป 2-3 รอบเอง” แฮร์รี่ตอบ
 แต่ดูเหมือนนั่นไม่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่สบายใจขึ้นเลย “เรามาหาทางออกไปจากที่นี่ดีกว่า”

“อืม” เด็กสาวรับคำ พลางมองไปรอบๆอย่างพินิจ

“เราอยู่ส่วนไหนของคฤหสาน์... เธอรู้มั้ย?”
“ไม่... ฉันถูกสะกดนิ่งตอนที่พวกมันพาฉันมานี่” เด็กสาวตอบ
 แต่สายตามองไปรอบๆ และสะดุดสายตาเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งเข้า

“รอน!” เด็กสาวร้องเสียงหลง ก่อนจะทลาเข้าไปหาร่างที่แน่นิ่ง “รอน... รอน! เฮ้! ฟื้นสิรอน”

“รู้สึกว่ายังไม่ตายนะ” แฮร์รี่บอก เด็กชายสังเกตจากหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงของเขา

“เขาโดนคาถาอะไรน่ะ”
เด็กชายไหวไหล่อย่างไร้คำตอบ “ว่าแต่พวกเธอเถอะ... มาที่นี่ได้ยังไง”
“มัลฟอยพามา” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ ดวงตาพรุบลงต่ำ
เด็กชายสบถเสียงแผ่ว (เพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะสบถเสียงดังได้) “เธอไปไว้ใจมันได้ยังไงกัน!”
“ฉัน... ฉันไม่รู้” เด็กสาวตอบเสียงสั่น

“เฮอร์ไมโอนี่! นี่เธอยังจะเชื่อมันอยู่อีกเหรอ... ไอ้หัวทองนั่นเสกจี้สร้อยคอ
ให้เป็นกุญแจนำทาง เอาฉันมาให้โวลเดอร์มอร์นะ!”

“ฉันไม่รู้! ฉันไม่รู้ว่าทำไมยังเชื่อใจเขาอยู่... “ เด็กสาวร้อง น้ำตาเริ่มไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ทั้งๆที่เขาทรยศความเชื่อใจของฉัน”
“ความรักทำให้คนตาบอด... ฉันเชื่อคำกล่าวนี้จริงๆ ในเมื่อคนที่ฉันรักเผชิญเข้ากับตัว”

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทรงเหลี่ยมเป็นเวลานานพอควร ใ
นที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็เป็นผู้ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้
“แฮร์รี่ มีอย่างหนึ่งที่ฉันอยากรู้... แต่ไม่คิดว่าเธออยากจะตอบฉัน”

“อะไรล่ะ?”
“เอ่อ... ลูกแก้วพยากรณ์น่ะ เธอรู้ผลทำนายของมันใช่มั้ย?” เด็กชายนิ่งไปนิดหนึ่ง
 ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ช่วยบอกฉันได้มั้ย” คราวนี้แฮร์รี่นิ่งไปนานทีเดียว ราวกับใช้สมองอย่างหนัก...

“ฉัน... ถ้าโวลเดอร์มอร์ไม่ฆ่าฉัน ฉันก็ต้องฆ่าเขา คำพยากรณ์บอกไว้ หากมีเขา ก็จะต้องไม่มีฉัน”

เด็กสาวดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่จะมีใครได้เอ่ยอะไรอีก...
 เสียงการสนทนาของชาย 2 คน ก็ดังลอดลูกกรงเข้าหูเสียก่อน แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ได้แต่นิ่งฟัง...

“เดี๋ยวนายท่านก็จะมาแล้ว”
“ขอเวลาแค่ 2 นาทีเอง ให้ฉันได้กวนโมโหมันเสียหน่อย”
ชายอีกคนคงความคิดสักครู่ก่อนจะตอบกลับมาว่า “ได้... แค่ 2 นาทีเท่านั้นนะ”
“ได้... งั้นคุณก็รออยู่นี่แล้วกัน” เสียงเด็กชายตอบกลับไป
 ตามมาด้วยเสียงก๊อกแก็กที่ประตูเหล็กบานหนา... ไม่กี่วินาทีต่อมา
บานประตูก็เปิดออก พร้อมกับร่างของมัลฟอยที่ตามเข้ามา

เด็กสาวควานเข้าไปในเสื้อคลุม แต่กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการ

“หานี่อยู่เหรอ? เกรนเจอร์” เด็กชายถามพร้อมรอยยิ้มเยอะ
 ก่อนจะหมุนไม้กายสิทธิ์ในมือเล่นอย่างสบายอารมณ์

“นาย!“
“เดรโก” เสียงงขึ้นที่ประตู เป็นเหตุให้ทุกคนสะดุ้งอย่างไม่ตั้งใจ “ทำอะไรอยู่”

“ค... แค่กวนประสาทพวกนี้เล่นเสียหน่อยน่ะครับนายท่าน ก่อนที่ผมจะไม่มีใครให้กวนอย่างนี้อีกแล้ว”
 เด็กชายตอบ รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าสีซีด
โวลเดอร์มอร์หัวเราะเย็นๆอย่างพอใจ ซึ่งนี่ทำให้ขนที่ต้นคอของหลายๆคนตั้งชัน

“ฉันจะเริ่มที่ใครก่อนดี... พอตเตอร์ หรือเพื่อนสาวของมัน”
“นายท่านจะรีบฆ่ามันเลยหรือครับ” มัลฟอยกล่าวอย่างกล้าๆกลัวๆ
 “เอ่อ... ผมหมายความว่า มันจะตายง่ายเกินไปหรือเปล่าครับ”

“จริงสิ... มันทำให้ฉันทนทรมานมานานหลายปีเชียวล่ะ... พอตเตอร์ แกต้องชดใช้ให้สาสม”

“แล้วแกล่ะโวลเดอร์มอร์!” แฮร์รี่คำราม “แกฆ่าพ่อแม่ฉัน แกทำให้ฉันต้องไปอยู่กับพวกมักเกิ้ลงี่เง่า
ที่เถิดทูนบูชาลูกชายของตนราวเทวดา และแก... แกฆ่าพ่อทูนหัวของฉัน!”

“ซิเรียส แบล็ก... หมาน้อยผู้จงรักภักดีต่อลูกทูนหัว”

“แก!!!”

เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกัน ราวสั่งได้

“เอาล่ะ... ถึงเวลาสุดท้ายในชีวิตของแกแล้วพอตเตอร์” โวลเดอร์มอร์ชูไม้กายสิทธิ๋ขึ้นเหนือร่าง
 ในแววตาเหมือนสิ่งที่เคยใฝ่ฝันไว้ประสบผลสำเร็จ “อะวา...”

“อย่า!” เฮอร์ไมโอนี่ถลาออกมาเบื้องหน้า ขวางไว้ระหว่างแฮร์รี่และโวลเดอร์มอร์
โวลเดอร์มอร์กระตุกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยว่า “เธอรักพอตเตอร์หรือ แม่สาวน้อยเลือดโสโครก”

เด็กสาวเบือนหน้าไปทางมัลฟอย แต่ไม่ยอมปริปาก
“คุณตอบฉันได้มั้ยคะ ว่าทำไมคุณต้องฆ่าแฮร์รี่”
“เฮอร์ไมโอนี่… ” แฮร์รี่เรียก พยายามดันร่างของเธอออกห่าง

“คำว่า ทำไม ไม่อยู่ในสาราณุกรมของฉัน” เขาตอบเสียงเย็น
 “ถ้าเธออยากตายนัก ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้ก็ได้… อะวา…”

เฮอร์ไมโอนี่ปิดตาแน่น... มันคงไม่เจ็บใช่มั้ย ได้โปรด ถ้าจะตายจริงๆ ก็ขออย่าให้ทุกข์ทรมานเลย
“สตูเปฟาย!”
ลำแสงสีแดงสาดส่องไปทั่วทั้งคุก ความโกลาหนเกิดขึ้นทันที
“ศาสตราจารย์ลูปิน!”
นั่นล่ะเขา! ไม่เพียงลูปินคนเดียวเท่านั้น ยังยกโขยงสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์มาเกือบหมดเลยด้วยซ้ำ
“หาที่ปลอดภัยหลบไปก่อน!” ท็องค์ร้อง ก่อนจะเสกคาถาสะกดนิ่งใส่ผู้เสพความตายคนหนึ่ง
เพียงไม่กี่วินาที ทั้งคุกใต้ดินต่างเต็มไปด้วยลำแสงหลากสีสัน เฮอร์ไมโอนี่พยุงร่างของแฮร์รี่ตรงไปยังประตู
โดยไม่ทันสังเกตว่าลำแสงสีม่วงได้พุ่งตรงเข้ามาหาเธอจากด้านหลัง!

“เฮอร์ไมโอนี่!!!” เสียงหนึ่งร้อง ตามมาด้วยเสียงของหนักๆหล่นพื้น เด็กสาวหันกลับไป
 ก็พบกับร่างของมัลฟอยไหลกองไปอยู่กับพื้น เด็กสาวพยุงแฮร์รี่ให้พิงกับผนังห้อง
 ก่อนจะไปหามัลฟอยพร้อมหยาดน้ำตา...

“มัลฟอย... มัลฟอย ได้โปรดลืมตาทีเถอะ!” เด็กสาวคร่ำครวญราวคนไร้สติ
ระหว่างประคองศรีษะของเขาอย่างยากลำบาก “นายต้องไปเป็นอะไร เข้าใจมั้ย! ได้โปรด... ลืมตาขึ้นเซ่!!”

เด็กชายเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย
“มัลฟอย! นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย...นาย... อย่าตายนะ” น้ำตาพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ฉ... ฉันขอโทษ”

“ขอแค่นายไม่เป็นอะไร ไม่ว่าเรื่องไหนฉันก็ยกโทษให้ทุกอย่าง ได้โปรด...“
เด็กชายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า

“ฟังฉันนะเกรนเจอร์... (เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้างึกงัก) ถ้าฉันตายไปจริงๆ
 เธอช่วยฝังสมุดเล่มที่เราคุยกัน ทั้งของฉันและของเธอ... ช่วยฝังไว้กับหลุมศพของฉันได้มั้ย”
“มัลฟอย... อย่าพูดอย่างนั้น นายจะไม่ตายหรอก... จะตายไม่ได้เด็ดขาดนะ”

เด็กชายเอื้อมมือขึ้นแตะแก้มสีชมพูอ่อนของเธอเบาๆ และปาดหยดน้ำตาที่หลั่งไหลออกไป
“อย่าร้องไห้สิออทเทอร์... น้ำตาไม่สมควรจะปรากฏบนใบหน้าอันงดงามของเธอหรอกนะ”
เด็กสาวกุมมือของเขาเอาไว้แน่น “ฉันจะไม่ร้องไห้ก็ได้... แต่นายต้องสัญญาว่าจะไม่ตายนะ ได้มั้ย”
“สัญญาข้อนี้ฉันอาจทำไม่ได้” เด็กชายตอบพร้อมรอยยิ้มประจำกาย

“มัลฟอย...”
“เธอรู้อะไรมั้ยเกรนเจอร์… ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะเพียงระยะสั้นที่ฉันได้รู้จักเธอในฐานะออทเทอร์
 แต่ฉันก็พูดได้เต็มปาก” มัลฟอยหลับตาลงเบาๆ

“ฉันรักเธอ”

“มัลฟอย!!!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องสุดเสียง หยาดน้ำตาไหลลงมาช้าๆ
และร่วงลงสู่พื้น พร้อมสติสัมปะชัญญะที่ดับวูบลง

****************************************

วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ากระจ่าง สดใส แสงแดดทอประกายหยอกล้อกับผืนน้ำ
 ชายหนุ่มมองทิวทัศน์นี้อยู่ใต้ร่มไม้ริมทะเลสาบ... เขาไม่ได้มาฮอกวอตส์มาหลายปีแล้ว
แต่ดูเหมือนมันกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ชายหนุ่มเริ่มแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย
 กระทั่งเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินตรงมาหาเขานั่นเอง

“ช้าจริงๆเลย เฮอร์ไมโอนี่” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเธอเดินมาถึง

“ขอโทษๆ” เธอกล่าว

“เอาล่ะ... เริ่มเลยเถอะ”

“นายจะฝังมันจริงๆเหรอ” หญิงสาวถามเบาๆ มีแววไม่มั่นใจเจือในน้ำเสียง

“แน่นอน” เขาตอบ ก่อนจะเดินอ้อมมาด้านหลังของเธอ และสวมกอดเธอเอาไว้
“ในเมื่อเราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้แล้ว... สมุดนั่นก็ไม่มีความหมายอะไร”

“แต่...”

“พ่อคะ...” เสียงเรียกของเด็กหญิงตัวเล็กๆร้องขึ้นอย่างสดใส เส้นผมสีน้ำตาลทองยกศกน้อยๆ
 ปลิวไหวไปตามแรงลม “หนูไปเล่นกับพี่ทางโน้นได้มั้ย?” เด็กน้อยถาม พลางชูนิ้วโป้งไปทางต้น
วิลโลว์จอมหวด ซึ่งที่นั่นมีเด็กชายผมบรอนด์กำลังกระโดดหลบกิ่งก้านอยู่ไปมา

“ตายแล้ว!” เฮอร์ไมโอนี่อุทาน “เดรโกไปเอาลูกออกมาเร็ว!”

“โธ่เอ๊ย! พ่อตัวแสบ” เขาพึมพำนิดหนึ่ง ก่อนจะตรงไปที่ต้นวิลโลว์

“หนูอยากไปเล่นกับพี่ค่ะแม่” เด็กหญิงอ้อนวอน

“ไม่ได้! ลูกอยากกลับบ้านครบ 32 ส่วนมั้ย ฮึ!” หญิงสาวเอ็ด ก่อนจะจูงลูกสาวตัวน้อยไปที่ต้นวิลโลว์ด้วย

“หยุดซนเสียทีพ่อตัวแสบ!” เดรโกเอ็ด ขณะหยิกแก้มลูกชาย

“เดรโก... ฉันว่าฝังสมุดไว้ที่นี่ดีกว่านะ” เฮอร์ไมโอนี่บอก

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เฮอร์ไมโอนี่จึงโยนหินให้แตะตาไม้
 เพื่อให้กิ่งก้านอันดุร้ายของต้นวิลโลว์นิ่งสนิทเสียก่อน จากนั้นเดรโกจึงนำสมุดเล่มสีฟ้า
 และสีชมพูไปฝังไว้ใต้ต้นวิลโลว์อย่างปลอดภัย

“เอาล่ะ... กลับกันได้แล้วมัลฟอยทุกคน” เดรโกกล่าวพร้อมรอยยิ้มคู่กาย
ก่อนจะเดินนำไปทางประตูทางออกของฮอกวอตส์

เฮอร์ไมโอนี่หันมองต้นวิลโลว์เป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้
เธอเห็นเด็กชายและหญิงอีกคู่หนึ่งลับๆล่อๆที่ต้นไม้...
หญิงสาวยิ้มออกมาเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กชายคนนั้นอยู่บ้านกริฟฟินดอร์
 และเด็กหญิงอยู่สลิธีริน มันทำให้เธอนึกถึงตนเองเมื่อครั้งที่ยังเรียนที่นี่นั่นเอง...

“เฮอร์ไมโอนี่ไปได้แล้ว” เดรโกเรียก

หญิงสาวจึงหันเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มที่ยังปรากฏบนใบหน้า

“มีความสุขอะไรหนักหนา”

“เปล่าหรอก” เธอตอบทั้งๆที่ยังยิ้มอยู่ “ไม่แน่อาจจะมีสมุดสื่อรักภาค 2 ก็ได้นะ”

“เธอหมายความว่าไงเนี่ยเฮอร์ไมโอนี่” เดรโกถามอย่างงุนงง

หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา

“ไม่รู้ว่าฉันเคยบอกนายหรือยังนะเดรโก...” ทั้งสองสบตากันอย่างมีความหมาย

“ฉันรักเธอ”



                                      
*********’The End’*********






1 comment:

  1. สวัสดีฉัน aM clinton nancy หลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนเดอร์สันมานานหลายปีแล้วเขาเลิกกับฉันฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับมาได้ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผลฉันต้องการให้เขากลับมามากเพราะความรักที่ฉันมีต่อเขา, ฉันขอร้องเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำสัญญา แต่เขาปฏิเสธ ฉันอธิบายปัญหาของฉันกับเพื่อนของฉันและเธอบอกว่าฉันควรจะติดต่อล้อสะกดที่สามารถช่วยฉันโยนคาถาเพื่อนำเขากลับมา แต่ฉันเป็นประเภทที่ไม่เคยเชื่อในการสะกดฉันไม่มีทางเลือกกว่าที่จะลองฉัน ส่งคาถลลวงและเขาบอกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนสามวันที่อดีตของฉันจะกลับมาหาฉันก่อนสามวันเขาได้ให้การสะกดและในวันที่สองก็แปลกใจคือประมาณ 4 โมงเย็น อดีตของฉันเรียกฉันว่าฉันประหลาดใจมากฉันตอบสายและสิ่งที่เขาพูดก็คือเขาเสียใจมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้ฉันกลับไปเขาว่าเขารักฉันมาก ฉันมีความสุขมาก ๆ และไปหาเขานั่นคือสิ่งที่เราเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้สัญญาว่าใครที่ฉันรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันก็จะช่วยคนดังกล่าวโดยการแนะนำให้เขาเป็นครูผู้ชำเถียงในการสะกดเฉพาะที่แท้จริงและทรงพลังที่ช่วยฉันด้วยปัญหาของตัวเอง อีเมล์: drogunduspellcaster@gmail.com คุณสามารถส่งอีเมลถึงเขาได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือในความสัมพันธ์หรือกรณีอื่น ๆ

    1) รักคาถา
    2) Lost Love Spells
    3) การหย่าร้าง
    4) เวทมนตร์สมรส
    5) มัดสะกด
    6) คาถา Breakup
    7) ขับไล่คนที่ผ่านมา
    8. ) คุณต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสะกดของสำนักงาน / สลากกินแบ่งของคุณ
    9) ต้องการที่จะตอบสนองความรักของคุณ
    ติดต่อคนที่ยิ่งใหญ่นี้หากคุณมีปัญหาใด ๆ สำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน
    ผ่าน DR ODOGBO34@GMAIL.COM

    ReplyDelete