Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Wednesday, September 10, 2014

13 The decision 10




"หมอนั่นเป็นบ้าไปแล้ว"

มอนทาคิวพูดกับลูกทีมควิดดิชของตัวเองในเย็นวันหนึ่งซึ่งได่แก่แครบและกอยล์ที่โต๊ะของห้องโถงใหญ่ก่อนเวลาอาหาร
 เขากำลังพูดถึงมัลฟอยซึ่งในขณะนี้กำลังซ้อมควิดดิชอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่เพียงลำพังที่สนาม - - แทบจะเรียกได้ว่า
ตั้งแต่เริ่มซ้อมวันแรกมาจนถึงวันนี้มัลฟอยใช้เวลาอยู่ในสนามนานกว่าทุกคนแม้ท้องฟ้าจะมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น

หรือแม้แต่วันไหนที่ไม่มีกำหนดซ้อมก็ตาม และวันนี้เขายังคงอยู่ที่สนาม เนื้อตัวเปียกปอนด้วยเหงื่อและฝุ่นเพราะ
บางครั้งมัลฟอยก็บินด้วยควมเร็วสูงจนไม้กวาดหลุดการควบคุมทำให้ตัวเขาไถลไปตามพื้นทรายข้างสนามจนเป็น
แผลถลอกทั่วตัว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีท่าทางจะเลิก - - มอนทาคิวพยายามตะโกนบอกให้มัลฟอยหยุดจนเสียงแห้ง 
แต่ผลสุดท้ายคนที่ยอมแพ้ก็คือตัวเขาเองที่ต้องเดินกลับมาที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับร้องหาน้ำดื่มทันที

“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจถ้าลูกทีมจะขยันซ้อมหรอกนะ แต่ถ้าซีกเกอร์บาดเจ็บล่ะก็เราแย่แน่” มอนทาคิวพูดเสียงกังวล
แล้วยกแก้วน้ำผลไม้สีสวยขึ้นดื่ม

แครบกับกอยล์ที่นั่งฟังได้แต่จ้องมอนทาคิว เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ ไม่รู้เลยว่าทั้งสองฟังอยู่จริง ๆ หรือใจลอยไปถึงอาหาร
มื้อเย็นตั้งแต่เขาเริ่มเปิดปากพูดแล้ว มอนทาคิวถอนหายใจอย่างหมดหวัง - - พูดกับก้อนหินคงจะยังดีกว่าเพราะมัน
ยังมีเสียงสะท้อนกลับมาบ้าง นี่ถ้าไม่ติดว่าสองคนนี้เท่านั้นที่น่าจะพอพูดกับมัลฟอยได้เขาก็อยากจะหาผู้ฟังที่ดีกว่านี้ 
ทว่าในเวลานี้แม้แต่แพนซี่ พาร์คินสันก็ยังเข้าใกล้มัลฟอยไม่ได้เลย

“แต่เราก็ชนะเรเวนคลอได้เพราะเขานะ” แครบเอ่ยขึ้นในที่สุด จริงอยู่ที่การแข่งขันนัดแรกพวกเขาเอาชนะเรเวนคลอมา
ได้เร็วกว่าทุกครั้งเพราะมัลฟอยจับลูกสนิชได้เร็วกว่าที่ทุกคนคาดไว้

“แล้วที่เราจะเจอกับกริฟฟินดอร์ล่ะ อย่างที่บอก...ถ้าเขาเป็นอะไรไปที่พยายามมาทั้งหมดก็จบเห่!” มอนทาคิวยกแก้วขึ้น
ดื่มอีกเพื่อช่วยให้ตัวเองสงบใจไม่เผลอโมโหพูดเสียงดังจนคอแตกไปจริง ๆ 

แครบกับกอยล์มองหน้ากันแล้วไม่พูดอะไรอีก มอนทาคิวถอนหายใจก่อนจะลุกจากเก้าอี้

“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ พวกนายรักษาตัวเองด้วยก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินออกไป ไม่ช้าแครบกับกอยล์ก็เริ่มลุกออกจากเก้า
อี้เดินไปด้วยกันบ้าง

เสียงถอนหายใจเฮือกดังขึ้น - - ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กหญิงผมฟูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะยาวอีกตัวด้านหลังพวกเขาคือเฮอร์ไมโอนี่
 และไม่รู้เลยว่าเธอได้ยินเรื่องทุกอย่างที่มอนทาคิวพูด เด็กหญิงเม้มริมฝีปากแล้วพยายามก้มหน้าอ่านหนังสือตรงหน้า
ต่อเพื่อไม่ให้ใครสงสัย แต่ในใจส่วนลึกยังคงมีบทสนทนาของมอนทาคิวกับคู่หูสมองน้อยของมัลฟอย

“เฮอร์ไมโอนี่ อยู่นี่เอง” เสียงแฮร์รี่ดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่รีบหันไปมองก็เห็นแฮร์รี่และรอนที่กำลังเดินมาพร้อมกับ
ตัวหมากรุกและกระดานอันใหม่เอี่ยม

เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มให้กับเพื่อนทั้งสอง

 :**~~**~:**~~:**~~:**:~~:**:~~:**:~~:**:~~:**:

ท้องฟ้ามืดสนิทเหนือโรงเรียนเริ่มมีแสงจากดวงดาวปรากฏขึ้นเป็นตัวบอกเวลาในขณะนี้ได้ดีกว่านาฬิกาชนิดไหน ๆ 
 บรรดาเสียงจ้อกแจ้กสลับกับเสียงกระทบของช้อนและส้อมของเด็กนักเรียนที่กำลังรับประทานอาหารเย็นรวมกัน
อยู่ที่ห้องโถงกลางดังออกมาเป็นระยะ แต่อีกด้านหนึ่งของปราสาทที่เงียบสงบมัลฟอยกำลังเดินลากขากลับมาที่หอ
นอนของตัวเองพร้อมกับไม้กวาดในมือ เขาบอกรหัสผ่านกับภาพหญิงรูปร่างผอมบางพอกหน้าขาววอก
 จมูกแหลมเหมือนแม่มด แต่งตัวหรูหราที่แขวนอยู่ตรงทางเข้าออกด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน เมื่อเธอเห็นสารรูปของ
เด็กชายก็บ่นพึมพำ

“เหม็นเหงื่อที่สุด...สกปรก”

“หุบปากนะ!” มัลฟอยอยากตะคอกใส่อีกฝ่ายให้ดังกว่านี้ แต่คิดอีกทีเขาควรจะถนอมแรงไว้เดินให้ถึงห้องดีกว่า

เมื่อมาถึงห้องเด็กชายผมสีบลอนด์ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งที่ยังสวมชุดควิดดิชอย่างหมดแรง ไม่มีเงาแครบกับ
กอยล์อยู่ในห้อง เพราะเวลานี้ทั้งสองคงกำลังเพลิดเพลินกับการกินอยู่ที่ห้องโถงกลาง ในขณะที่มัลฟอยเหนื่อยจนกิน
อะไรแทบไม่ลงเพราะวันนี้เขาเอาแต่ฝึกซ้อมทั้งวันจนแขนขาหนักอึ้งไม่มีแรงแม้แต่จะยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มด้วยหวังว่าการ
ซ้อมหนัก ๆ มันจะทำให้เขาคิดเรื่องอื่นนอกจากเฮอร์ไมโอนี่ไปได้อย่างน้อยก็ช่วงเวลาหนึ่ง

นกฮูกเหยี่ยวบินเข้ามาทางหน้าต่าง มันร่อนลงโต๊ะทำงานโดยที่ข้อเท้าผูกจดหมายมาด้วย มัลฟอยเหลือบไปมอง
มันที่จ้องมาและโยกหัวอย่างแปลกใจเมื่อเห็นนายนอนแผ่หรา เขาถอนใจแล้วผิวปากเรียก มันจึงบินมาหย่อนจด
หมายลงบนอกของเขาก่อนจะไปเกาะตรงปลายเตียง เด็กชายนอนฉีกจดหมายฉบับนั้นออกอ่าน มันเป็นจดหมาย
จากพ่อของเขาที่เขียนมาเพียงสั้น ๆ 

“เดรโก
ฉันมีเวลาเขียนจดหมายไม่นานนักแต่ต้องบอกให้แกรู้ไว้ว่าฉันมีแผนการจะจัดการกับเจ้าเด็กพอตเตอร์นั่น 
คนที่ไม่ต้องมาอยู่ในนี้เหมือนกับฉันจะจัดการเรื่องทุกอย่างในอีกไม่นานนี้ ตำนานเด็กชายผู้รอดชีวิตนั่นต้อง
จบลงอย่างสะใจแน่
ลูเซียส มัลฟอย”

เด็กชายพลิกหน้าหลังดูแต่ก็ไม่มีข้อความอะไรอีก - - ไม่มีข้อความถามถึงแม่ทั้งที่พ่อรู้อยู่ว่าแม่อยู่ไหน 
ไม่มีประโยคแสดงความห่วงใย ไม่มีแม้แต่ประโยคที่ถามว่าเขาสบายดีหรือตายไปแล้ว!

มัลฟอยขยำจดหมายฉบับนั้นแล้วขว้างมันไปตกที่มุมห้องโดยแรง เขาถอนใจยาวก่อนจะทิ้งตัวลงนอนลงอีกครั้ง

 :**~~**~:**~~:**~~:**:~~:**:~~:**:~~:**:~~:**:

อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาบรรยากาศในโรงเรียนเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียดโดยไม่รู้ตัวเพราะการแข่งขันควิดดิชเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และที่เห็นได้ชัดก็คือทีมสลิธีรินที่เอาชนะมาได้โดยตลอดเริ่มทำตัวใหญ่คับบ้านโดยเฉพาะกับบ้านที่พวกเขาเอาชนะมาได้ซึ่งก็คือเรเวนคลอและล่าสุดคือฮัฟเฟิลพัฟ ทำให้พวกเขามั่นใจมากที่จะได้ครองถ้วยแชมป์ในปีนี้

เด็กหลายคนเริ่มมีเรื่องกระทบกระทั่งกับสลิธีรินที่พยายามคุยโวทับถมอยู่บ่อย ๆ ครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ไม่รู้เหมือน
กันว่าเรื่องเกิดขึ้นท่าไหนแต่ผลสุดท้ายเด็กบ้านกริฟฟินดอร์และสลิธีรินที่มีเรื่องกันต้องไปยืนหน้าจ๋อยอยู่ที่
ห้องพยาบาลโดยฝ่ายหนึ่งมีกะหล่ำปลียักษ์งอกขึ้นมาบนหัวส่วนอีกคนก็มีต้นหอมงอกออกมาจากจมูก

ยิ่งใกล้วันแข่งขันฮอกวอตส์ก็กลายเป็นเสมือนสนามรบเล็ก ๆ แต่ยังคงมีสถานที่ที่ยังคงสงบเหลืออยู่ก็คือกระ
ท่อมของแฮกริด และดูเหมือนว่าระยะนี้เจ้าตัวจะมีเวลาไม่มากนักจึงปล่อยให้เด็กชายหมาป่าที่เป็นแขกอยู่บ้านเพียงลำพัง

เช้าวันนี้ก็เหมือนกัน...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าบ้าน ยาช่าที่กำลังยกกาน้ำร้อนจี๋จากเตาร้องโอ๊ย ๆ มาตลอดทางเพราะความร้อน
จากกาที่หิ้วอยู่รีบวางมันลงบนโต๊ะที่มีถ้วยกาแฟใบเล็กและจานใส่ขนมปังนิดหน่อยก่อนจะเดินไปเปิดประตู - -

“ยาช่า!”

เด็กหญิงผมสีเงินกระโดดแผล็วเข้ามากอดเขาหมับยาช่าร้องเสียงดังด้วยความตกใจก่อนจะหงายหลังกองกับพื้น
โดยที่อีกฝ่ายยังเกาะเขาไว้แน่น ไม่ต้องมองให้ชัด ๆ ก็รู้ว่าเธอเป็นใคร

กาเบรียลเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วถาม

“ฉันได้ยินเรื่องหิมะถล่ม แต่เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ครับผม” ยาช่ายิ้ม ในใจคิดว่าถ้าจะบาดเจ็บก็คงเป็นตอนนี้เพราะสงสัยว่าซี่โครงเขาอาจจะร้าวไปแล้วเพราะ
ถูกเธอพุ่งเขาใส่แบบไม่ได้ตั้งตัว

กาเบรียลคลายวงแขนแล้วยืนขึ้นพร้อมกับเขา เด็กหญิงมองไปรอบ ๆ กระท่อมของแฮกริดอย่างสนใจ 
สายตาของเธอไปหยุดที่เจ้าเขี้ยวซึ่งกำลังแทะกระดูกอยู่อย่างเพลิดเพลิน

“แฮกริดไม่อยู่เหรอ” กาเบรียลถาม เธอรู้จักแฮกริดเพราะเคยมานั่งเรียนในชั่วโมงสอนของเขามาแล้ว
(และในครั้งนั้นเธอก็ก่อเรื่องไว้เสียด้วย)

“ไปเยี่ยมน้องชายเขาที่กระทรวงเวทมนตร์ฮะ แล้วก็อาจจะเลยไปทำธุระอย่างอื่นต่อ”

ยาช่าเดินนำเธอไปนั่งที่เก้าอี้แล้วรินน้ำชาที่แฮกริดเตรียมไว้ลงในถ้วยอีกใบให้กาเบรียล

“คุณมาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย ไม่ได้ไปโรงเรียนเหรอ”

“ฉันไม่ได้หนีเรียนมาหรอกน่า” เด็กหญิงผมสีเงินยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่ม

“ตอนที่เธอเขียนจดหมายบอกว่าอยู่ที่นี่พอดีที่โรงเรียนฉันมีวันหยุดยาวหลายวัน ครอบครัวฉันก็เลยมาเยี่ยมญาติใกล้ๆ 
ฮอกวอตส์ แล้วฉันก็ยืมไม้กวาดพี่มานี่ล่ะ” เธอหมายถึงเฟลอร์ เดอลากูร์พี่สาวที่หน้าตาเหมือนเธอเปี๊ยบ 
พูดแล้วเธอก็จูงมือเขาออกไปหน้าบ้านด้วยกันซึ่งตรงประตูบ้านมีไม้กวาดด้ามไม้โอ๊กเป็นเงาวับพิงอยู่

“มันชื่อว่าโปลีร์ เป็นไม้กวาดที่เน้นเรื่องการรับน้ำหนักและความสวยงาม ความเร็วอาจจะไม่มากแต่มันมีความปลอดภัยสูง” 
กาเบรียลยื่นให้อีกฝ่ายลองถือ

ยาช่าลูบไปตามด้ามจับเรียบลื่นของมันก็เห็นรอยสลักรูปดอกไม้อยู่ข้าง ๆ ชื่อ “เฟลอร์ เดอลากูร์” 

“ของพี่คุณเหรอฮะ”

“ฮื่อ แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่เห็นบอกว่าจะไปหาเพื่อน” กาเบรียลพูด เธอไม่รู้หรอกว่าเพื่อนของพี่สาวที่จริงแล้วก็คือ
พี่ชายของรอน

“เธอใช้ไม้กวาดแบบไหนอยู่ล่ะ” เด็กหญิงผมสีเงินถาม

“ผมไม่มีหรอกฮะเพราะไม่ได้เล่นควิดดิช แต่ต่อไปผมอาจจะซื้อไว้เดินทางก็ได้” ยาช่าพูดโดยที่ตายังกวาดไปบนด้ามไม้
 หลังจากดูจนพอใจแล้วเขาก็เอามันพิงลงที่เดิม 

“ถ้าคุณมีเวลา...อีกสองวันจะมีแข่งควิดดิชนัดชิงชนะเลิศที่นี่ฮะ เราไปดูด้วยกันไหมล่ะ”

“จริงเหรอ” เด็กหญิงมีแววยินดี

“จริงสิครับ - - ผมอยากให้คนในสนามอิจฉาเยอะ ๆ” ยาช่าหัวเราะ

กาเบรียลเลิกคิ้ว

"ที่เห็นคุณอยู่กับผมไง"

เด็กหญิงผมสีเงินหรุบตาลงต่ำแล้วพูดทีเล่นทีจริงด้วยใบหน้าสีชมพู

“พูดเก่งขึ้นเยอะเลยนะ - - ฉันถูกหมาป่าเจ้าเล่ห์หลอกอยู่รึเปล่าเนี่ย”

ยาช่าหัวเราะ

“ถ้าเพื่อไม่ให้คุณหนีผมไปเหมือนคนอื่น ๆ ต้องใช้เล่ห์หมาป่า ผมก็จะลองครับ”

ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้มกว้าง ยาช่าก้มหน้ามาหาอีกฝ่าย แล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนขออนุญาต
 กาเบรียลหน้าเป็นสีชมพูเข้มก่อนจะหลับตาลง - - ถ้าเป็นคนอื่นความรู้สึกภายในใจอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ได้ 
แต่สำหรับพวเขาสองคนเมื่อริมฝีปากสัมผัสกันก็เหมือนกับเป็นการถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจได้อย่างเพียงพอ

To be continued!!!


No comments:

Post a Comment