Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Chapter 6: Their Little Room

ห้องเล็กๆ ของพวกเขา (Their Little Room)


          เดรโกนั่งอยู่มุมไกลมุมหนึ่งของห้องสมุด วางเท้ายันไว้บนโต๊ะข้างหน้าเขา หนังสือเล่มหนึ่งกางอยู่บนหน้าตักเขา เขาจัดการเล็ดรอดจากแครบบ์และกอยล์มาได้ด้วยการมาที่นี่ พวกเขายิ้มแหยๆ ให้กับเขาตั้งแต่รู้ความจริงว่าแมนติคอร์ไม่ได้ฆ่าเขา ทั้งสองคนรู้สึกยินดีเมื่อเขาบอกว่าไม่ติดใจที่พวกเขาทิ้งเขาไว้ให้ตาย ในทางกลับกันทั้งสองคนเชื่อเรื่องการต่อสู้กับสัตว์ร้ายเพียงลำพังของเขา อย่างไรก็ตามนิสัยประจบสอพลอของพวกเขาเริ่มทำให้เขามีอาการทางประสาท และความอยากระงับการขอโทษอย่างไม่หยุดหย่อนของพวกเขา เขาจึงเผ่นเข้ามาในห้องสมุดสถานที่ที่เขารู้ว่าพวกนั้นจะไม่ตามมา จริงๆ แล้วเขาไม่อยากแบกรับพวกเขาให้เป็นภาระใส่ตัวเอง แม้ว่าเขาอาจทำก็เป็นไปได้  นั่นเป็นเหตุผลที่ดีข้อหนึ่งที่ไม่มีเพื่อนแท้ ไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อพวกเขา         
เขาคิดว่า เมื่ออยู่ในห้องสมุดแล้ว เขาควรจะได้รับประโยชน์จากโอกาสครั้งนี้เพื่อค้นดูเรื่องแมนติคอร์ โต๊ะตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยหนังสือทุกเล่มที่เขาพบว่ามีการกล่าวถึงพวกมัน หนังสือเล่มใหญ่ที่เขาถืออย่างสบายๆ บรรจุข้อมูลจำนวนมากมายเรื่องสัตว์สี่เท้าเหล่านี้ เขาต้องยอมรับว่าพวกมันช่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เขาเปิดหน้ากระดาษและเริ่มต้นอ่าน
“แมนติคอร์ สัตว์สี่เท้าที่ดุร้ายและอันตรายถึงตาย ทราบกันว่าอาศัยอยู่ในประเทศกรีซและเกาะต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง บางส่วนทราบว่าอพยพไกลออกไปทางใต้เข้าไปในตะวันออกกลาง;อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของพวกมันขยายไปทางทิศตะวันตกเข้าไปในแอฟริกา และได้ถูกหยุดยั้งด้วยการปรากฏตัวของพวกสฟิงซ์ในอียิปต์(แมนติคอร์และสฟิงซ์เป็นศัตรูกันโดยกำเนิดมาช้านาน) ไม่มีแมนติคอร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในอังกฤษ ธรรมชาติที่ดุร้ายของพวกมัน เวทมนตร์ที่กล้าแข็ง และชื่นชอบกินเนื้อมนุษย์ ทำให้มันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในการครอบครองเป็นเจ้าของในหมู่เกาะบริเตน”
เดรโกหยุดอ่านชั่วคราวตรงข้อความนี้ และหัวเราะหึๆ อย่างไร้อารมณ์ขันกับตัวเอง “ตอนนี้มีอยู่ตัวหนึ่ง”
“แมนติคอร์เป็นเจ้าของเวทมนตร์ประหลาดอันหนึ่ง ที่มันใช้ปลอบโยนสิ่งที่จะเป็นเหยื่อให้อยู่ในสภาพว่าง่ายเชื่อฟัง เจ้าสัตว์นี้สามารถสัมผัสรับรู้ว่าเหยื่อของมันต้องการอะไร จากนั้นถ่ายทอดความรู้สึกและความคิดเหล่านั้นไปยังเหยื่อ(พวกมันคล้ายคลึงกับบอกการ์ต(Boggart)ในเรื่องทางด้านโทรจิต สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องบอกการ์ต:หน้า 120)”
เดรโกหยุดตรงนี้ การรับรู้ความจริงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในใจเขา ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ เขาพยายามเข้าใจว่าอะไรทำให้เขาเปิดกรงขัง เวลานี้เขารู้เรื่องดีแล้วว่ามันคืออะไรและมีความสามารถเรื่องอะไร แต่เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของมัน เขารู้สึกถึงความสงบ เขาถูกกล่อมเข้าไปในความไว้วางใจที่เกิดขึ้นพริบตาเดียวอย่างผิดธรรมชาติ เพราะว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี้สามารถรู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่ความรู้สึกต่างๆ ที่แสดงแก่เขาล้วนเป็นความอบอุ่นกับมิตรภาพ เขาไม่ใส่ใจสิ่งต่างๆ ที่น่าหัวเราะเช่นนี้ เขาต้องการอำนาจ
เดรโกเห็นว่านั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ชดเชยได้ของเจ้าแห่งศาสตร์มืด เขามีอำนาจและเดรโกอาจจะเคารพสิ่งนั้น
         เดรโกกำลังหมกมุ่นอยู่กับหนังสือ เมื่อเขาเริ่มรู้ตัวว่ามีบางคนกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ผ่านทางเดินระหว่างแถวใกล้โต๊ะของเขา เขาเหลือบสายตาขึ้นจากหน้ากระดาษก่อนเฝ้ามองร่างคนผ่านชั้นหนังสือต่างๆ  คนผู้นี้หยุดชะงักอยู่ตรงส่วนที่เขาได้เอาหนังสือเรื่องแมนติคอร์มาหลายเล่ม เดรโกรู้ว่าเป็นใคร เกรนเจอร์โผล่ออกมาจากทางเดิน ท่าทางดูเดือดเนื้อร้อนใจ
          “กำลังหาพวกนี้อยู่หรือ เลือดสีโคลน?” เดรโกพูดช้าๆ และทำมือทำไม้ชี้ไปที่กองหนังสือตรงหน้าเขา
          เกรนเจอร์มองเขาอย่างไม่ชอบใจ “ไม่ใช่ ฉันกำลังคอยศาสตราจารย์เวคเตอร์”
          เดรโกดูนาฬิกาของเขา “ก่อนตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งเนี่ยนะ? ฉันไม่คิดว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ในห้องสมุดจริงๆ หรอก  แต่นั่นแหละฉันแน่ใจว่าที่ไหนก็ได้น่าจะดีกว่าห้องนั่งเล่นรวมที่เต็มไปด้วยพวกกริฟฟินดอร์”
          “นายอยู่ที่นี่เป็นคนแรก” เกรนเจอร์พูดสั้นๆ
          เดรโกมองเธอ  เธอกำลังปฏิเสธการกระตุ้นจากคำเย้ยหยันของเขา ซึ่งค่อนข้างหน้าเสียดาย การต่อสู้กับเกรนเจอร์น่าสนุกเพลิดเพลินอย่างมาก แต่เวลานี้เมื่อเขาพิจารณาเธอ เห็นว่าเธอมีท่าทางเหนื่อยล้าเพียงไร ดวงตาสีน้ำตาลอบอุ่นเป็นนิจของเธอดูค่อนข้างหม่นหมองและพ่ายแพ้
          “อยู่นี่” เดรโกทำเครื่องหมายคั่นหน้าไว้ แล้วยื่นหนังสือให้เธอ
          เกรนเจอร์มองเขาอย่างสงสัย ยื่นมือออกไปแล้วชะงัก
          “เกรนเจอร์ ฉันไม่เสกคาถาใส่หนังสือห้องสมุดหรอก” เขากำลังรู้สึกเพลิดเพลิน หลังจากหายอาการช็อกในตอนแรกที่เสนอหนังสือให้เธอ และน่าประหลาดใจมากยิ่งกว่าเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มยิ้ม
          ดวงตาของเกรนเจอร์เบิกกว้างด้วยความแปลกใจ แต่เธอก็หยิบหนังสือจากเขาไป
          “ขอบคุณ” เธอพึมพำแล้วเดินจากไป เธอหยุดชั่วครู่เพื่อมองเขาด้วยความสงสัย ก่อนแผ่นหลังลับหายไประหว่างชั้นหนังสือต่างๆ
          ผ่านหน้าต่างโค้งบานใหญ่ เดรโกสามารถมองเห็นท้องฟ้ากำลังเริ่มมืดลง;ลำแสงจากพระอาทิตย์ตกยังคงเหลืออยู่นิดหน่อย เวลานี้กำลังอ่อนแสงลงเข้าสู่ยามสนธยา เขาดูนาฬิกาและเห็นว่าถึงเวลาไปพบศาสตราจารย์เวคเตอร์ เขายืนขึ้นอย่างช้าๆ เสยผมสีบลอนด์เงินไปข้างหลังให้พ้นจากใบหน้า เริ่มออกเดินผ่านทางเดิน เขาหันอย่างทันควันไปที่ชั้นหนังสือค่อนข้างสะดุดตาชั้นหนึ่งแล้วเดินชนใครบางคน
          “ระวังหน่อยซิ” เขาคำราม พร้อมกับทรงตัวเองไว้ก่อนจะสะดุดล้ม
          “ทำไมนายไม่ระวังล่ะ?” เสียงคุ้นเคยไม่ชอบใจเอ่ยมา
          “เลือดสีโคลน” เขาคำรามดูถูก
          เกรนเจอร์ไม่ประสบผลสำเร็จในความพยายามรักษาการทรงตัว และตอนนี้เธอล้มแผ่อยู่บนพื้นตรงหน้าเขา ปอยผมหยักศกหลวมหลุดจากผมที่ผูกเป็นหางม้าออกมาล้อมกรอบใบหน้าหงุดหงิดของเธอ เธอดันตัวขึ้นยืนแล้วยกกระเป๋าหนังสือของเธอขึ้นพาดบนไหล่ เดรโกสังเกตว่าเธอสะดุ้งเมื่อทำอย่างนั้น เขาสงสัยว่าถ้าความเจ็บปวดมาจากการทำร้ายของแมนติคอร์ แล้วทำไมมาดามพอมฟรี่ย์สามารถรักษาเขาให้หายได้อย่างง่ายดาย เขาสงสัยว่าทำไมเธอถึงช่วยชีวิตเขาในเมื่อเธออาจถูกฆ่าตายได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน และไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาสงสัยว่าอะไรคือสิ่งเธอต้องการเป็นการตอบแทน?  แต่เกรนเจอร์ไม่ได้พูดอะไรเลยเพียงแค่เก็บหนังสือเล่มหนึ่งคืนบนชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนส่งสายตาไม่พอใจให้เขา เธอหันหลังแล้วเดินไปหาศาสตราจารย์เวคเตอร์ เดรโกมีทางเลือกไม่มากแต่แล้วก็ตามเธอไป
          ศาสตราจารย์เวคเตอร์กำลังยืนอยู่ใกล้กับโต๊ะของมาดามพรินซ์มีท่าทางตื่นเต้น เธอยิ้มอย่างอบอุ่นเมื่อเห็นพวกเขาและเดินอย่างรวดเร็วข้ามมาหาพวกเขา  เดรโกสังเกตเห็นแต่ไกลทีเดียวว่าเธอแต่งตัวอย่างเต็มที่มากกว่าปกติ และมีกลิ่นจางๆ ของน้ำหอมลอยฟุ้งมาจากเธอ
          “โอ้ดีมาก เธอทั้งคู่ตรงต่อเวลา มานี่เร็วๆ ฉันจะอธิบายขณะที่พวกเราเดินไปด้วยกัน ฉันไม่มีเวลามากนัก” ศาสตราจารย์ยิ้มกว้างให้พวกเขาทั้งคู่อีกครั้ง เดรโกเพียงแค่มองเธออย่างไม่ชอบใจ บ่อยครั้งที่ความกระตือรือร้นของเธอทำให้เขารู้สึกคลื่นเหียนนิดหน่อย
          “ตอนนี้” เธอเริ่ม ขณะที่เดรโกและเกรนเจอร์พยายามตามให้ทันการเดินที่เร่งรีบของเธอ “เธอจะได้ใช้ห้องสำหรับนั่งรอเล็กๆ ห้องหนึ่งในห้องสมุด เธอทั้งคู่จะได้รับกุญแจห้องและเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะพวกเธอเท่านั้น มันจะสะดวกมากกว่าสำหรับเธอทั้งคู่ถ้าไม่มีคนพลุกพล่าน เพื่อให้งานของพวกเธอดำเนินไปได้ด้วยดี และวิธีนี้เธอจะมีสถานที่เงียบสงบเพื่อใช้ทำงานเสมอ อ้า..ที่นี่แหละ”
          ศาสตราจารย์เวคเตอร์ได้นำพวกเขาไปทางด้านหลังของห้องสมุด และขึ้นบันไดวนเล็กๆ ที่นำไปสู่ทางเดินที่มีประตูปิดอยู่หลายบาน เดรโกสังเกตพร้อมยิ้มหยันที่เกรนเจอร์ดูเหมือนหายใจหอบเล็กน้อย พวกเขาเกือบจะวิ่งมาที่นี่แต่อัตราชีพจรของเขาไม่ได้สูงขึ้น ศาสตราจารย์เวคเตอร์หยุดลงที่ประตูบานที่สองบนทางเดิน ดึงพวงกุญแจออกมาแล้วสอดกุญแจสีเงินดอกเล็กเข้าไปในกลอนประตู ประตูถูกเปิดออกและเดรโกต้องใช้ทักษะทั้งหมดที่ลูเซียสได้สั่งสอนเขามา เพื่อไม่แสดงอาการประหลาดใจหรือประทับใจออกมา
          ห้องนี้ใหญ่กว่าที่เขาคาดไว้ หน้าต่างหลายบานติดอยู่กับกำแพงที่ไกลออกไป และเตาผิงถูกจุดไว้เรียบร้อยแล้ว มีโต๊ะใหญ่หนึ่งตัวกับเก้าอี้หลายตัว ถึงแม้ว่าห้องนี้ค่อนข้างใหญ่แต่แทบจะเดินไปรอบๆ ห้องไม่ได้เลย  ทุกพื้นที่ถูกกองสุมไปด้วยลังไม้ใบใหญ่และหีบเดินทางเก่าๆ หลายใบ  ใบหนึ่งถูกเปิดอยู่เผยให้เห็นว่าเต็มไปด้วยม้วนกระดาษดูโบราณเก่าแก่หลายม้วน มีหนังสือเล่มใหญ่หลายเล่มที่ปกแข็งหลุดออกและที่ปกหนังสือได้ผูกเชือกไว้
          “เอาล่ะ อย่างที่ฉันได้อธิบายไปแล้วก่อนหน้านั้น งานเขียนต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นของพ่อมดคนหนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณห้าร้อยปีก่อน ฉันพูดว่าประมาณเพราะว่าไม่มีใครทราบแน่ชัด
มีเรื่องเล่าลือมากมายเป็นเวลาช้านานเกี่ยวกับพ่อมดคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชีวิตเหมือนนักบวชอยู่ในดินแดนป่าเขาบางแห่งของไอร์แลนด์ ฉันไม่รู้ว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์จัดการเอาของทั้งหมดนี้มาได้อย่างไร แต่ก็อย่างที่เราเห็นอยู่นี้  ชื่อของพ่อมดคนนี้คือ เกรโกเรียส โอ’แลรี่”
          ศาสตราจารย์เวคเตอร์เคลื่อนไปรอบๆ ห้องพร้อมตรวจดูกล่องต่างๆ ขณะพูดว่า
          “ส่วนใหญ่ของเนื้อความเหล่านี้เกี่ยวกับตัวเลขมหัศจรรย์ และมันมีผลต่อผู้คนอย่างไรบ้าง จากสิ่งที่ดัมเบิลดอร์ได้บอกฉัน พ่อมดคนนี้เชื่อว่าลวดลายตัวเลขคือรากฐานของวิชาตัวเลขมหัศจรรย์ และเป็นรากฐานสำหรับเวทมนตร์ส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตทำบันทึกต่างๆ ของลวดลายตัวเลขมหัศจรรย์"
          เดรโกมองไปที่เกรนเจอร์ซึ่งเคลื่อนไปข้างหน้าสองสามก้าวเข้าไปในห้อง;ดวงตาของเธอที่ดูเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้เปล่งประกายสว่างด้วยความตื่นเต้น มือทั้งสองของเธอจับกันไว้แน่น เธอกำลังมองไปรอบห้องพยายามจดจำให้มากเท่าที่เป็นไปได้ เกรนเจอร์ไม่มีทักษะเสียเลยในการซ่อนอารมณ์ของเธอ เดรโกทำเสียงยั่วแหย่เบาๆ แต่เธอไม่ใส่ใจ เดรโกอยากถลาเข้าไปที่ลังไม้และดูว่าเขาจะค้นพบอะไรบ้าง แต่เขากลับยืนอย่างสงบที่ทางเข้าประตู ยกแขนกอดอกตัวเอง คิ้วมีรอยย่น แสดงสีหน้ารำคาญหน่อยๆ
          ศาสตราจารย์เวคเตอร์ดูนาฬิกาเรือนเล็กที่เธอใส่อยู่และเริ่มพูดอีกครั้ง คราวนี้เร็วขึ้นเล็กน้อย “สิ่งพวกเธอถูกกำหนดให้ทำคือ ค้นหางานเขียนต่างๆ ของเขาและศึกษาการค้นพบต่างๆ ของเขา ดูว่ามีความสัมพันธ์กันจริงๆ อันไหนบ้างระหว่างลวดลายตัวเลขมหัศจรรย์พื้นฐานกับสิ่งอื่นๆ เธอจะได้รับอนุญาตเข้าไปในเขตหวงห้าม เพราะอาจารย์ใหญ่เชื่อว่ามันอาจมีประโยชน์กับงานของเธอ พวกเธอจะต้องทำรายงานความก้าวหน้าประจำสัปดาห์ และขอร้องพยายามอยู่ให้ห่างจากปัญหา อาจารย์ใหญ่และฉันกำลังมอบความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ให้กับเธอสองคน” เธอดูนาฬิกาอย่างกังวลอีกหน และสำรวจตัวเองในกระจกของหน้าต่างบานหนึ่ง
เดรโกกล้าสาบานว่าเธอกำลังสำรวจการแต่งหน้าของเธอ “เอาล่ะ นี่คือสิ่งที่ต้องทำเกี่ยวกับมัน ถ้ามีเธอมีคำถามอะไร สะดวกถามฉันได้วันพรุ่งนี้ ฉันต้องไปจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้  และนี่กุญแจของพวกเธอ ขอให้โชคดี!” ศาสตราจารย์เวคเตอร์เกือบวิ่งออกไปจากห้อง
          เกรนเจอร์ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป;เธอพุ่งไปข้างหน้าตรงกล่องที่เปิดอยู่และคุกเข่าลง ดวงตาเธอเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น เดรโกได้ยินเธอพึมพำกับตัวเอง “น่ามหัศจรรย์!”
          เดรโกเหลียวมองข้ามหลังผ่านประตู;เขาสามารถมองเห็นส่วนใหญ่ของห้องสมุดจากข้างบนนี้ เขามองไปอีกทางและเห็นศาสตราจารย์เวคเตอร์กำลังเร่งรีบออกประตูไป เขาปิดประตูแล้วเดินเตร่เข้าไปในห้องมายืนอยู่ถัดจากเกรนเจอร์ ที่กำลังยกม้วนกระดาษเก่าอันหนึ่งด้วยท่าทางเคารพบูชา
          “นี่ไม่ใช่ลูกคนแรกของเธอนะ เกรนเจอร์  ถึงแม้ว่านี่เป็นความคิดที่น่าตกใจ แต่หน้าเธอแดงเหมือนผมพวกวีสลี่ย์!” เดรโกทำหน้าทะเล้นใส่เธอ แต่เธอกำลังยิ้มเมื่อเงยขึ้นมองเขา เธอกำลังดื่มด่ำอยู่กับความพึงพอใจ
          “ดูนี่ซิ มัลฟอย มันน่ามหัศจรรย์” เธอยื่นม้วนกระดาษมาให้เขา แวบหนึ่งที่เดรโกคิดว่ามันคงจะสนุกที่มีเธอเป็นเพื่อน เกรนเจอร์กำลังหน้าแดงใส่เดรโกเมื่อเธอยื่นมันให้เขาหยิบไป
          “ฉันไม่ต้องการ มันถูกทำให้สกปรกจากสัมผัสของเธอ” เขาว่าใส่เธอ กำลังรู้สึกอึดอัดตัวเองกับท่าทางที่เธอมองเขา ความดีใจของเธอดูเหมือนจางลงเล็กน้อย และวางม้วนกระดาษที่เดรโกปรารถนาอยากดูมันลง เธอไม่พูดอะไรกับเขาอีกเป็นเวลาพอสมควรทีเดียว
          เกรนเจอร์เปิดลังไม้อีกสองสามใบ และค้นดูเนื้อหาของพวกมันคร่าวๆ  ในขณะที่เดรโกทำแบบเดียวกัน เขาตัดสินใจเริ่มต้นกับหนังสือเล่มใหญ่เก่าๆ สองสามเล่มที่เข้าปกสีแดงเข้ม ขณะที่เกรนเจอร์มีกองม้วนกระดาษต่างๆ อยู่บนโต๊ะข้างหน้าเธอ พวกเขาทำงานกันอย่างเงียบๆ จดบันทึกและเขียนหัวข้อต่างๆ  เกรนเจอร์เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ
          “ฟังนะ เรากำลังจะต้องใช้เวลามากมายอยู่ที่นี่ด้วยกัน และฉันจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงนาย” เกรนเจอร์เริ่มม้วนแผ่นกระดาษที่เธอได้ตรวจดูแล้ว ซึ่งบรรจุข้อมูลไว้จำนวนมากเกี่ยวกับวงจรการแพร่พันธุ์ของหนอนฟลอบเบอร์(Flobberworms) เมื่อเปรียบเทียบกับเลขเก้า
          “และประเด็นของเธอคืออะไร เลือดสีโคลน?” เขาถามเธอโดยไม่เงยหน้า
          “เราควรจะมีการสงบศึกบ้าง” ประหลาดใจกับคำพูดเหล่านี้ เดรโกเงยขึ้นมองและพบดวงตาของเกรนเจอร์ ชั่วเวลาหนึ่งเขาตะลึงว่าดวงตาของเธอมีเฉดสีน้ำตาลแตกต่างกันมากมายอย่างไร
          “สงบศึก” เดรโกทวน เมื่อนึกถึงความคิดล่าสุดของเขา และตัดสินใจว่าเขาไม่สนว่าเลือดสีโคลนมีดวงตาเฉดสีน้ำตาลแตกต่างกันมากแค่ไหน
          “ใช่แล้ว สงบศึก นายเข้าใจนะ ธงขาว เราวางอาวุธของเรา” เกรนเจอร์แก้ม้วนกระดาษอีกอันและเริ่มจดบันทึกทันที “นี่จะง่ายขึ้นถ้าเราทำงานด้วยกัน”
          “ทำงานด้วยกัน? เดรโก มัลฟอย ทำงานร่วมกับเลือดสีโคลนเกรนเจอร์? เธอบ้าหรือเปล่า?” ถึงแม้ว่าเขาพูดคำเหล่านี้แต่ก็ทราบว่าเธอพูดถูก งานของพวกเขาจะไปได้ราบรื่นกว่านี้มากถ้าพวกเขาต่างคนต่างไม่คอยขัดอีกคน
          เกรนเจอร์หยุดการทำงาน เพื่อเฝ้าดูเขาพิจารณาความคิดนี้ “ฉันไม่อยากเป็นกังวลตลอดเวลาว่านายจะสาปใส่ฉัน” เธอบอกเขา “ฉันพบว่ามันทำให้วอกแวกเมื่อต้องคอยจับตาดูนายเป็นนิจ”
          “ทำไมเธอจับตาดูฉัน เกรนเจอร์? ฉันไม่คิดว่าเธอแคร์นะ” เดรโกยิ้มหยันแบบสุดๆ ให้เธอ;เกรนเจอร์เพียงแค่กรอกตาเท่านั้น “ดีมาก เราจะสงบศึก ฉันสาบานว่าเมื่อเราอยู่ในห้องนี้ ฉันจะไม่สาปเธอ ใช้ได้ไหม?”
          เกรนเจอร์ดูเหมือนพิจารณาเรื่องนี้และพยักหน้าในที่สุด
          “แน่นอน ข้างนอกห้องนี้ไม่มีการสงบศึก” เขาบอกเธอ คาดหวังการโต้แย้งบ้าง แต่เกรนเจอร์แค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเขา
          “ฉันไม่มีทางเลือกอื่น มัลฟอย”
          “ดีแล้ว ในเมื่อเรากำลังจะเป็นพวกรักสันติ ฉันมีคำถามหนึ่งสำหรับเธอ เกรนเจอร์”
เดรโกปิดหนังสือที่กำลังดูอยู่และวางมันลง “เกิดอะไรขึ้นคืนนั้น?”
          “ฉัน...ฉันเห็นนายจากหน้าต่างและตามไปเพื่อเตือนแฮกริด ตอนที่มันจู่โจม ฉัน...”
เกรนเจอร์ชะงักตรงนี้และมองไปที่อื่นไม่ใช่มัลฟอย “ฉันทำให้มันสลบ จากนั้นจัดการปลุกนายขึ้นมาและพานายมาที่ปราสาท”
          “เธออยู่ที่ไหน? เราไม่เห็นเธอ” มัลฟอยกำลังจ้องเธอเขม็งเวลานี้ ศึกษารายละเอียดเล็กๆ ทุกกระเบียดที่เธอทำ ดวงตาเธอที่มองไปรอบๆ ห้อง หลีกเลี่ยงการสบตากับเขา ท่าทางที่กำลังเล่นปอยผม ท่าทางที่เธอขยับเขยื้อนอย่างไม่เป็นสุขอยู่บนที่นั่ง ทั้งหมดนี้บอกเขาว่ามีบางอย่างที่สำคัญมาก;เธอกำลังปิดบังบางอย่าง
          “ฉันถูกมองเห็นไม่ได้” เธอพูดอุบอิบ
          “เธอทำอย่างไรถึงถูกมองเห็นไม่ได้? คาถาล่องหนเป็นเวทมนตร์ขั้นสูงมากๆ แม้แต่กับเกรนเจอร์ผู้รอบรู้ไปทุกเรื่อง เธอสามารถเสกคาถาล่องหน แทบไม่น่าจะเป็นไปได้พอๆ กับที่เธอมีผ้าคลุมล่องหน” เดรโกยิ้มหยันให้เธอ แต่เธอไม่มองเขาเลยอย่างเห็นได้ชัด “เธอมีผ้าคลุมล่องหนหรือ?”
          “มะ...ไม่ ฉันไม่มีสักผืน” เธอตอบและเขาบอกได้ว่าเธอไม่ได้โกหก แต่ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด สักพักเขาก็เข้าใจว่าเธอไม่มีแต่คนอื่นมี และไม่มีทางที่วีสลี่ย์จะสามารถซื้อผ้าคลุมล่องหนได้ ดังนั้นมันต้องเป็น...
          “พอตเตอร์ ผ้าคลุมล่องหนเป็นของพอตเตอร์” เขาพูดตามข้อเท็จจริงและยิ้มอยู่ในใจ แน่นอนนี่เป็นอะไรที่น่าสนใจที่เขาได้รับรู้ “แต่ทำไมเธอช่วยชีวิตฉัน?”
          “ไม่มีใครสมควรตายแบบนั้น” เธอพูดงึมงำ และเริ่มต้นอ่านม้วนกระดาษของเธออีกครั้ง
          เดรโกโน้มตัวข้ามโต๊ะและดึงกระดาษออกจากมือเธอ เธอเงยขึ้นมองอย่างไม่พอใจและสบตาเขา
          “ไม่แม้แต่ฉันรึ เกรนเจอร์?”
          “ไม่ ไม่แม้แต่นาย มัลฟอย” ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจ้องเขา เขารู้สึกว่าเธออาจจะเป็นตัวอันตรายถ้าเธอโกรธมากพอ เธอโน้มตัวข้ามโต๊ะมาเอาม้วนกระดาษกลับไปจากเขา เมื่อเขามาถึงตัวและคว้าแขนของเธอ “ปล่อยฉันนะ มัลฟอย!” เธอตะโกนใส่เขา พยายามสะบัดให้หลุด
          “ทำไมเธอไม่บอกเรื่องจริงกับใครเลยฮึ? ทำไมเธอไม่หักหลังฉันล่ะ?” เขาก้มมาหาเธอ;คำถามนี้เป็นภาระหนักอยู่ในใจเขาตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น เขาไม่ต้องการให้เธอมีอำนาจอะไรเหนือเขา;เขาจำเป็นต้องรู้ว่าอะไรครอบงำเธอให้ปกป้องเขา
          “ฉันแค่ไม่ต้องการพูด ทั้งหมดก็เท่านี้ ตอนนี้ปล่อยฉันได้แล้ว” เธอดิ้นรนอย่างแรงมากขึ้นเพื่อต่อต้านเขา แต่เดรโกยังจับเอาไว้และรู้ว่าถ้าเขาปล่อยเธอ เธอจะรีบวิ่งไปที่ประตู  เขาพบว่าตัวเองกำลังจับแขนเธออย่างสุภาพมากกว่าที่เขาทำคราวก่อนในปีกสถานพยาบาล บางส่วนที่เล็กๆ ในตัวเขาไม่ต้องการทำร้ายเธอ
          “ฉันไม่เชื่อเธอ ฉันรู้ว่าเธอและเพื่อนชายที่รักของเธอจะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ฉันถูกโยนออกไปจากฮอกวอตส์  อะไรที่หยุดเธอไว้?” เขาก้มลงมาใกล้เธอมากขึ้น ใบหน้าของพวกเขาห่างกันเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว;เขามองเข้าไปในดวงตาเธอ พยายามค้นหาคำตอบ แล้วเขาก็เห็นมัน ความละอายใจ
          “เธอรู้สึกละอายใจรึ?” เขาถาม รู้สึกแปลกใจ ทำไมเธอรู้สึกละอายใจ
          เกรนเจอร์ดูเหมือนลดความโกรธของเธอลง และอีกครั้งที่เธอดูเหนื่อยล้ามากๆ เธอหยุดการต่อสู้ยื้อยุดกับเขาและอยู่นิ่งๆ “ฉัน...ฉันกำลังจะปล่อยนายทิ้งไว้” ดวงตาของเดรโกเบิกกว้าง “ฉันกำลังจะปล่อยให้นายตาย ฉันหันหลังเพื่อไปซะ เพื่อวิ่งหนี แต่ฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าใครข้างในตัวฉันที่ต้องการปล่อยให้นายตาย แต่ว่าไม่มีใครสมควรได้รับแบบนั้น” เสียงของเธอค่อยๆ เบาลงเป็นการพึมพำ และหยุดลงในที่สุด
          เวลานี้เธอกำลังมองเขาด้วยสีหน้าที่ทำให้เขารู้สึกช็อก แววตาของเธอดูเหมือนจะร้องขอการให้อภัย เธอมีท่าทางอยากพูดนิดหน่อยแต่ปราศจากน้ำตา นี่ไม่ใช่เลือดสีโคลนเกรนเจอร์ที่เขาคุ้นเคย ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้ตัวว่าเขาอยู่ใกล้ชิดเธอเพียงไร เธอผงะถอยหลัง เขาเดินไปและเธอนั่งลง
          เดรโกได้แต่นั่งและมองไปที่เธอ เขาไม่แน่ใจนักว่าจะรับมือกับเธออย่างไรในเวลานี้ มันง่ายกว่ามากเมื่อพวกเขากำลังสบประมาทซึ่งกันและกัน แต่ก่อนที่ความเงียบจะทำให้เกิดสภาพอึดอัดมากเกินไป เธอเริ่มเก็บกระเป๋าหนังสือ สอดกุญแจสีเงินของเธอลงไปในกระเป๋าเสื้อ และเดินไปที่ประตู  เธอเหลียวมองเดรโกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากประตู  เดรโกลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอยู่ที่ทางเดิน;เขาเห็นศีรษะผมหยักศกของเธอหายลับผ่านออกประตูใหญ่
          “อึม” เขากระซิบกับตัวเอง “ช่างน่าสนใจจริงๆ”

TBC

No comments:

Post a Comment