Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Part I เมืองบนฟ้า: Chap 8

“อ่าฮะ มนุษย์สองคน ในเขาภูฟารี น่าสนใจ เจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน” เจ้างูยักษ์ตัวโตพูด

“เอ่อ เรามาเอาศิลาสีขาวค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยความหวาดผวา ในขณะที่มัลฟอยพูดอะไรไม่ออกได้แต่อ้าปากกว้าง
 ดวงตาเปิดโพลงด้วยความตกใจในสิ่งที่เห็น

“ศิลาสีขาวงั้นเหรอ ขอฟังเหตุผลซะหน่อย ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจกินเจ้าเข้าไปดีหรือไม่”

“เอ่อ เรามาเอาไปให้ คุณ ซันสตาร์ ไฮแลนด์ ค่ะ ข..เขาบอกเราว่าที่เมืองของกำลังเกิดโรคระบาด 
เขาต้องการศิลาสีขาวไปช่วยชาวเมืองบนฟ้าค่ะ”

“อย่างงั้นรึ เจ้าสองคนนี่ช่างกล้าเสียจริง เอาล่ะเจ้าไปได้ ทางออกอยู่ด้านหลังข้านี่” เจ้างูยักษ์กล่าว
 ท่าทางที่ดูดุดัน แท้ที่จริงแล้วมีเหตุผล

“ขอบคุณครับ”มัลฟอยกล่าวด้วยความโล่งใจ ทั้งสองบอกลางูยักษ์ตนนั้น แล้วดำลงไปใต้น้ำ อีกครู่ก็มา
โผล่บนพื้นหินเย็นๆ เห็นแสงแดดสาดส่องไปทั่ว และพวกเขาก็พบทางออก..ปากถ้ำ

“ฮัดเช้ย!” เฮอร์ไมโอนี่จามออกมา

“สงสัยว่าเธอจะอาการหนักแน่เลย เกรนเจอร์” มัลฟอยมองดูเฮอร์ไมโอนี่ เสื้อผ้าเปียกๆสีขาว แนบเนื้อ

“มองอะไร” เฮอร์ไมโอนี่ถาม แล้วยืนกอดอกปกปิด

มัลฟอยไม่ตอบ เขาเอากระจกบานเล็กๆออกมา เอาไม้กายสิทธ์แตะมัน สองครั้ง เสื้อคลุมสีดำ
 ของ ฮอกวอตส์ก็ออกมา เขายื่นให้เธอ 

“ฉันเพิ่งนึกได้ว่าเคยเก็บมันไว้แล้วลืมเอาออกมา เอาไปสิ” เฮอร์ไมโอนี่ยืนนิ่งมองมัลฟอยแบบไม่ไว้ใจ
 เขาจึงเอาเสื้อคลุมรอบตัวเธอ “ไปต่อได้แล้ว” แล้วเขาก็ลากเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าแดงจัดอย่างเห็นได้ชัด
 เธอไม่มีเวลามากพอที่จะทำให้เสื้อแห้ง มันไม่เหมือนกับเมื่อคืนนี่ เมื่อคืนมันค่อนข้างมืด 
และมีแค่แสงไฟสลัวๆจากไฟที่เฮอร์ไมโอนี่เสกขึ้น

ในที่สุดทั้งสองก็ได้สูดอากาศภายนอก ทั้งเธอและเขา ก้าวออกมาจากถ้ำที่อยู่กึ่งกลางเขา
 แต่พวกเขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยปากออกมาด้วยซ้ำ ทั้งสองถูกห้อมล้อมด้วยคนแปลกหน้า
 แต่งกายสีดำทั้งตัว แม้กระทั่งปีกก็ยังเป็นสีดำ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมานอกจากเข้าจับเฮอร์ไมโอนี่
และมัลฟอยไว้ ทั้งสองพยายามดิ้น แต่ก็ไม่สำเร็จ 

แต่.. ในขณะที่ดิ้นรนอยู่นั้นเฮอร์ไมโอนี่อาศัยจังหวะที่ มันเผลอ หยิบไม้กายสิทธ์ออกมา 
ร่ายคาถาใส่ผู้ประสงค์ร้าย จนล้มระเนระนาด เธอและมัลฟอยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่นะ..ช้าไป..

กองกำลังของผู้ที่มีแต่สีดำทั้งร่างกายปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องบน และรวบตัวทั้งสองไว้อีกครั้ง 
พร้อมทั้งเอาไม้กายสิทธ์ของพวกเขาไปด้วย

ทั้งสองถูกพาตัวเข้าไปในปราสาทซึ่งตรงข้ามกับปราสาทของ ซันสตาร์ ไฮแลนด์ โดยสิ้นเชิง 
มันมีแต่ความมืดมน กำแพงเป็นกำแพงหินเย็นๆ คนพวกนี้ต้องไม่ใช่ผู้ที่หวังดีแน่ 
ในห้องโถงกว้างขวางมีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่ติดผนัง กลางห้องปูพรมสีแดงราวเลือด
 ที่เก้าอี้ตัวใหญ่นั้นมีชายคนหนึ่งนั่งคอยพวกเขาอยู่ เมื่อทั้งสองถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น

“คุณเป็นใคร ต้องการอะไรจากเรา” มัลฟอยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความโกรธ ขุ่นเคือง อารมณ์แทบระเบิด
 ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ มีสีหน้าถึงความกังวลและหวาดกลัว

“ ข้ามีนามว่า ไนท์ไซล์ ไฮแลนด์และต้องการศิลาสีขาว ที่เจ้าได้มา” เขาเป็นชายตัวสูงไว้เครายาวพอๆกับ
 ซันสตาร์ และหน้าตาท่าทางยังคล้ายกันอีกด้วย อาจจะยกเว้น การแต่งกายซึ่งมีแต่สีดำ จิตใจ เจตนา
 และความมุ่งร้าย คงจะเป็นอีกภาคของ ซันสตาร์ 

“มันอยู่ที่ไหน เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นเจ้าก็จะได้พบกับจุดจบที่น่าสะพึงกลัว”
 เขากล่าวอย่างดุดัน ไร้ซึ่งความปราณีใดๆ อยู่ในแววตา

“เราไม่มี”มัลฟอยตะโกน และเขาก็พูดความเท็จ แต่อีกมุมหนึ่งมันอาจจะจริงก็ได้ เพราะต่อให้มาค้นตัวของเขา
 ก็จะพบแค่เพียงกระจกบานเล็กๆบานหนึ่งเท่านั้น

“อย่ามาโกหกข้า พี่ชายฝาแฝดของข้ามักจะทำการทดสอบ แขกผู้มาเยือนด้วยวิธีนี้ซึ่งน้อยคนนักที่จะเลือกตาม 
หา ศิลาสีขาว และข้าก็เห็นพวกเจ้าเข้าไปในเขา ภูฟารี นั่น และก็กลับออกมา”

“เราให้คุณไม่ได้หรอก” มัลฟอยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “มันไม่ได้อยู่กับเรา”

“เจ้าอาจจะเปลี่ยนใจที่จะบอกข้าในวันพรุ่งนี้ เมื่อพบว่าตัวเจ้าเอง หรือคนใด คนหนึ่งต้องจากโลกนี้ไป
 เอาตัวมันไปขัง” เขาตะโกนบอกทาสรับใช้

ทั้งสองถูกมัดด้วยเชือกคล้องไว้กับลูกกรงขอบหน้าต่างของคุกที่เตี้ยขนาดสะโพก ถึงจะเป็นคุกแต่ก็มีโต๊ะ
ไม้แกะสลักสวยงามตั้งอยู่อีกฟากของประตู

ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันแต่เคร่งเครียดพอๆกัน ทาสรับใช้คนนั้นเอากล่องใบเล็กวางไว้บนโต๊ะ
 และเก็บกุญแจของกล่องนั้นเก็บใส่ลิ้นชักโดยไม่ให้ใครเห็น แต่มันไม่แนบเนียนเอาเสียเลย

“นั่นอะไรน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามเขาพลางจ้องมอง กล่องใบนั้น

“ไม้กายสิทธ์ของเจ้านั่นแหละ” ชายผู้นั้นตอบ เสียงของเขาแหบแห้งและทุ้มต่ำ
 “นายให้ข้าเอามาเก็บไว้ในนี้ และพวกแกสองคนอย่าคิดหนีเชียว”

เขาล็อกลิ้นชักนั้นก่อนจะเดินออกไป

ท้องของมัลฟอยร้องเสียงดัง

“นี่นาย จะหิวทั้งวันเลยรึไง” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น

“ช่วยไม่ได้นี่ ก็มันหิวจริงๆจะให้ทำไงล่ะ”

“ก็จานนั่นไง”

“ฉันไม่มีทางเอามันออกมาตอนนี้หรอก เธอก็รู้ว่าฉันใส่มันลงไปในกระเป๋าของเธอ
 และกระเป๋าของเธอเก็บไว้ใน…”

“ก็จริง แล้วเอาไงล่ะทีนี้ นายคงไม่ยอมตายที่นี่ใช่มั๊ย”

“แน่ล่ะ เราต้องหาทางออกจากที่นี่ก่อนเช้า”

ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีกและหลับไปงีบหนึ่ง และตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าภายนอกยังมืดมิด
 นี่อาจเป็นโอกาส เฮอร์ไมโอนี่เริ่มแก้เชือกที่ข้อมืออย่างยากลำบาก จนเธอหมดความอดทน 
ในขณะที่มัลฟอยไม่ทำอะไรเลย นอกจากมองดูเธอ

“นี่มัลฟอย ไม่คิดจะแก้เชือกให้ตัวนายเองเลยรึไง” เธอกระตุกเชือกเส้นที่สั้น อย่างอารมณ์เสีย 
ทันใดเชือกก็คลายออก เธอแก้มัดได้

“เยี่ยมเลยเกรนเจอร์ทีนี้ เธอก็แก้ให้ฉัน” มัลฟอยพูด แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ทำตามที่เขาบอก “เร็วสิ”

“รอไปก่อน โทษฐานที่นายไม่ให้ความร่วมมือดีพอ” เฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่โต๊ะหมายจะเอากุญแจ
 ของกล่องที่เก็บไม้กายสิทธ์ออกมา มัลฟอยจ้องมาที่เธอด้วยความไม่พอใจ 

“แล้วเธอจะเปิดลิ้นชักนั่นยังไง ในเมื่อมันถูกล็อกน่ะฮะ”

“ไม่ยากเกินความสามารถฉันหรอกน่า” เธอว่าแล้วถอดกิ๊บติดผมที่อยู่บนศีรษะของเธอแล้วชูให้เขาดู 
“วิธีมักเกิ้ลน่ะ” แล้วลงมือเปิดลิ้นชักออกได้สำเร็จ

แต่แล้ว..ประตูก็เปิดออก เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมาห่างจากโต๊ะนั่นทันที 

ชายแปลกหน้าเห็นเธอหลุดออกจากการพันธนาการด้วยเชือกนั่น เขาคงคิดว่าเธอกำลังจะแก้เชือกให้เพื่อนของ
เธอแน่ เขามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ที่เอามือป้องปากด้วยความหวาดกลัว

“มานี่เลยแม่หนู ถึงเวลาที่เธอจะต้องไปจากโลกนี้แล้ว ฉันให้เวลา ร่ำลาเพื่อนของเธอเสีย”
 เขาพูดเมื่อเห็นเธอมองไปทางมัลฟอย 

เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปใกล้เขา ที่กระซิบเธอว่า “แก้เชือกให้ฉันสิ เกรนเจอร์ ยัยโง่ ยัยเลือด…”

เขายังพูดไม่ทันจบเฮอร์ไมโอนี่ก็โน้มตัวลงมาจุมพิตเขา นี่เขาฝันไปรึป่าว ฝันไปแน่ๆ
 เธอไม่ยอมจูบเขาง่ายๆอย่างนี้ แต่นี่อาจจะเป็นการจูบลา.. อะไรเย็นๆสัมผัสลิ้นของเขา…

“กระตุกเชือกเส้นที่สั้นที่สุด ลาก่อน” เธอกระซิบแล้วเปลี่ยนมาเป็นเสียงธรรมดา 
“ฉันดีใจที่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกับนาย” เธอพูดขึ้นดวงตาล้นเอ่อด้วยน้ำตา

มัลฟอยพยายามจะรั้งตัวเธอเอาไว้แต่ก็ไม่อาจเอื้อมได้เลย เขาจะเปล่งคำพูดใดๆออกมาก็ไม่ได้แม้แต่นิด 
จนกระทั่งประตูปิดลง เขาคายสิ่งที่อยู่ในปากออกมา กุญแจ สิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ให้เขา
 พร้อมจุมพิตที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ แต่เขาจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น เขาไขกุญแจหยิบเอา
ไม้กายสิทธ์ของเขาและของเฮอร์ไมโอนี่ออกมา และวิ่งอย่างรวดเร็ว

เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งบัดนี้อยู่ที่กลางลานหน้าปราสาท รอบกายมีแต่มนุษย์มีปีกแต่งกายสีดำสนิท
 ทันใดคนที่กำลังจับเธอแน่นก็กระเด็นไปไกล เธอเป็นอิสระ มัลฟอยนั่นเอง เธอยิ้มด้วยความดีใจ

“วิ่ง เกรนเจอร์ หนีไป” เขาบินขึ้น เธอก็บินขึ้น เธอรับไม้กายสิทธ์จากมัลฟอย และร่ายคาถาเพื่อป้องกันตัว.. 
และในที่สุด เป็นดังที่คาดหมาย ทั้งสองหลีกหนีมาได้ จนกระทั่งมาถึงลำธารแห่งหนึ่ง

“ขอบใจ” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยขึ้น

“ต้องขอบใจเธอมากกว่า” เขาพูดแล้วยิ้มให้เธอซึ่งเธอก็ยิ้มตอบ ทั้งคู่ใบหน้าแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเพราะความเขินอา
 หรืออาการเหนื่อยกันแน่

“เธอพูดจริงรึป่าวที่ว่า ดีใจที่ได้ร่วมเป็นร่วมตายกับฉันน่ะ”

“แหม คนใกล้จะตายทั้งทีจะให้พูดโกหกหรือไง” เธอหน้าแดงยิ่งขึ้นอีก แล้วก้มตัวดื่มน้ำยังไม่ทันกลืน
 มัลฟอยก็จับตัวเธอหันหน้ามาหาเขา 

“ไม่คิดจะตอบแทนฉันหน่อยหรอ” เขาก้มตัวลงมาใกล้จนเธอรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ แต่แล้วเธอไม่ยอมเขาง่ายๆ
เธอพ่นน้ำใส่เขาเต็มหน้าแล้วก็หัวเราะคิกคัก ร่าเริงขึ้นกว่าเดิม มัลฟอยมองเธอด้วยสายตาที่แทบจะทนเธอไม่ไหว

“แสบมากนะเธอ” เขาเช็ดหน้าให้แห้ง เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เขา 

“ไปกันเถอะ เรายังไม่ปลอดภัยตราบใดที่เรายังไม่ถึง ปราสาทของ ซันสตาร์” เฮอร์ไมโอนี่พูดแล้วลุกขึ้นยืน
 จริงอย่างที่เธอว่า เพราะชายแปลกหน้าชุดดำก็ล้อมทั้งสองไว้อีกครั้ง

ทั้งเธอและเขาหยิบไม้กายสิทธ์ออกมา เกิดการต่อสู้ที่ชุลมุนขึ้นอีกครั้ง และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ 
 หน้าเก้าอี้ตัวใหญ่ของ ไนท์ไซล์ 

“เด็กเอ๋ยเด็ก หนียังไงก็ไม่พ้นมือข้าไปร็อก” 

แต่คราวนี้มีเด็กสาวยืนอยู่เคียงข้างเขา เธอผู้นั้น มีผมสีทองเงางาม หยิกยาวถึงกลางหลัง เหมือนมาก
 เหมือนรีแอนนอนไม่มีผิด เว้นก็แต่เธอแต่งกายด้วยชุดสีดำ

“รีแอนนอน” ทั้งสองพึมพำ 

“ใช่ฉัน รีแอนนอน แต่ไม่ ฉันไม่ใช่รีอา แต่เป็น..” เธอกล่าว ไม่มีรอยยิ้มที่ดูสดใสอยู่บนใบหน้าของเธอเลย

“รีแอน” ไนท์ไซล์กล่าวเสริมแล้วโอบไหล่เธอเอาไว้ “หลานสาวฉันเอง”

“แต่พวกเธอควรจะเรียกฉันว่า รีแอนนอน เหมือนที่เรียกน้องสาวฝาแฝดของฉัน” นั่นทำให้นักโทษทั้งสอง งง ยิ่งขึ้น 

“เอาล่ะ เอาศิลาสีขาวมาให้ข้าซะดีๆ ถ้าเจ้าไม่อยากตาย” ไนท์ไซล์เข้าประเด็น

“มันไม่ได้อยู่ที่เรา” มัลฟอยตอบ “เราซ่อนมันไว้ในที่ที่ปลอดภัย”

“งั้นเจ้าก็ตอบข้ามา ว่ามันอยู่ที่ไหน” เขาตะโกนกลับ โมโหสุดขีด

“เขาไม่รู้หรอกค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น “หนูเป็นคนเอาไปซ่อนเอง”

“และมันอยู่ที่ไหน แม่หนูน้อย”

“เอ่อ พูดให้ง่ายกว่านั้นนะคะ หนูทำมันหายระหว่างทาง” เฮอร์ไมโอนี่โกหกหนักขึ้นไปอีก

“โกหก เจ้าเด็กโกหก อย่าบังอาจมาหลอกลวงข้า บอกมา…”

“ใช่ เกรนเจอร์เธอบอกเขาไปเถอะ เราจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย”

“ถูกต้องแล้ว เด็กน้อย”

“บอกเขาไป กลับไปอย่างปลอดภัย แล้วให้ความชั่วเข้าคุกคามโลกอย่างงั้นน่ะหรือ นายบ้ารึป่าว
 แค่คนที่นายก็รู้ว่าใครก็แย่พออยู่แล้ว” เฮอร์ไมโอนี่เถียงกับมัลฟอย “ฉันไม่มีทางบอกแน่”

“ฉันบอกว่าให้บอกเขาไปไงเล่า”

“ไม่ นายอย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลย”

“ฉันบอกว่าให้บอกเขาไป!” เฮอร์ไมโอนี่ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ เธอรู้ว่าศิลาสีขาวนั้นอยู่ที่มัลฟอย
 เขามีแผนอะไรของเขา หรือว่าเขาจะสมอง..ความจำเสื่อมไปแล้วหรือยัง แต่ถึงยังไง มันก็ทำให้เธอไม่พอใจ

“งั้นฉันจะปล่อยให้เธออยู่ที่นี่ ให้เธอตายที่นี่เลยดีมั๊ย ยัยเลือดสีโคลน เซอะซะ”

“นายอย่ามาพูดกับฉันอย่างนี้นะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่น้ำตาคลอ

“โถๆ เด็กน้อยขัดใจกันเองซะแล้ว”

“เงียบน่า!!” เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยตะโกนใส่ไนท์ไซล์ แล้วหันไปทะเลาะกันต่อด้วยเสียงตะโกนที่ดังก้อง
 โดยมี รีแอนนอนหรือรีแอน ยืนฟังอย่างนิ่งเฉย..

“บอกเขาไปซะ แล้วเธอจะได้กลับไปหาเจ้าพอตเตอร์กับวีสลีย์งี่เง่านั่น” มัลฟอย

“ไม่ ฉันยอมตายยังดีเสียกว่า”

“ยัยโง่ ถ้าเธออยากจะตายจริง ฉันจะได้จัดการให้ ดีมั้ย ตายด้วยน้ำมือฉันน่ะ ชอบมั๊ย”

เฮอร์ไมโอนี่เงียบไป ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม “ก็เอาสิ นายอยากจะกำจัดเลือดสีโคลนอย่างฉันอยู่แล้ว
 อยากทำอะไรก็เชิญ” 

“เอาล่ะเด็กน้อย ฉันจะสนองความต้องการนี่ให้เธอเอง” ไนท์ไซล์ยุติการทะเลาะวิวาท แต่ไม่ได้ผลเอาซะเลย

จนกระทั่งรีแอนต้องจัดการเอง

“หุบปาก!” เธอตะโกนลั่น พร้อมปล่อยลำแสงสีเขียวจากแหวนที่สวมใส่ไปยังขาโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ
 แสงนั้นกัดกร่อนเนื้อไม้ภายในพริบตา โครม! “หนวกหูสิ้นดี” ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่านิสัยของรีแอนไม่เหมือน
กับรีอาเลยสักนิด เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกได้ รีอาเป็นคนที่อารมณ์ดี ร่าเริงถึงบางครั้งเธอออกจะเศร้าบ้างเท่าที่
 เฮอร์ไมโอนี่สังเกต แต่รีแอน เด็กสาวอารมณ์ร้าย มีความเศร้าเจืออยู่ในแววตา แต่กลับ 
กลบเกลื่อนด้วยความโกรธ เฮอร์ไมโอนี่มองดูเธอปล่อยลำแสงสีเขียวไปยังซากไม้ที่เดิมนั้นเคยเป็นขาโต๊ะอีกครั้ง
 และในพริบตามันก็กลับกลายเป็นขาโต๊ะเหมือนเดิม..เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน

“เอาตัวแม่สาวน้อยนี่ไปขังซะ แล้วหาห้องพักอุ่นๆให้ชายผู้นั้น” เขาหันไปสั่งทาสรับใช้และหันกลับมาที่มัลฟอย
 “เธอจะได้จัดการเพื่อนสาวของเธอให้สมใจ”

มัลฟอยไม่ตอบอะไร และไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา ได้แต่ชำเลืองมองเฮอร์ไมโอนี่ 
ที่กำลังโวยวาย คร่ำครวญด้วยความเสียใจและความโกรธ

“ฉันอุตส่าห์ไว้ใจนาย แต่นายกลับมา…นายมันคนเห็นแก่ตัว..” เธอพร่ำด่าเขาเป็นชุดพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งออกมา
 ด้วยความผิดหวัง เสียใจ แค้นใจ …

เธอถูกพาออกไป ดิ้นรนอย่างสุดแรงเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของชายแปลกหน้า ทำให้เขาต้องจัดการเธอ
ให้สงบลงด้วยวิธีที่รุนแรง เธอไม่ได้ถูกขังอยู่ที่เดิม สถานที่ได้เปลี่ยนไป มันเป็นห้องนอนของใครซักคน
 เตียงดูนุ่มหน้านอนเสียจริง ถึงยังไงก่อนที่เธอจะตายเธอก็ได้นอนหลับสบายแหละน่า
 แต่เธอก็คิดผิด อีกมุมหนึ่ง เธอถูกวางลงตรงนั้น มีโซ่ยาวคล้องข้อมือทั้งสองที่เชื่อมติดกับกำแพง 
เธอไปไหนไม่ได้เลย ไม่ได้ นอกจากเดินไปมาในบริเวณแคบๆ เธอไม่สามารถทำได้…


เธอนั่งลงด้วยความเศร้าโศก ร่ำไห้ให้กับโชคชะตา คิดถึงสิ่งที่เธอได้ทำ สิ่งที่มีความสุ
ข เพื่อกล่อมเกลาตัวเอง แต่ถึงอย่างไรน้ำตาก็ไหลไม่ยอมหยุด เธอนั่งอยู่อย่างนั้นตลอดบ่ายจนถึงเย็น
 ทั้งหิวแต่ก็ไม่มีกะใจจะกิน จนกระทั่งราตรีย่างก้าวเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่ 
ประตูห้องของเธอถูกเปิดออก ใครคนหนึ่ง คนที่เธอไม่อยากจะเห็นหน้าหรือแม้กระทั่งเสียง 
เขาก้าวเข้ามา พร้อมถาดอาหารเย็น

“ของเธอ กินซะ” มัลฟอยเอ่ยแล้วยื่นถาดอาหารให้เธอ แต่เธอไม่แตะมัน ไม่แม้แต่กระทั่งมองหน้าเขา
 เอาแต่นั่งจ้องเข่าของตัวเอง ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงถึงความรู้สึกใดๆอาจจะยกเว้นแค่น้ำตาที่ยังคลออยู่
ในดวงตาสีน้ำตาล

“ถ้าเธอไม่กิน ฉันจะป้อนนะ” เขากล่าว แล้วตักอาหาร แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิด
 “ไม่เอาน่า เกรนเจอร์ กินอะไรสักหน่อยเดี๋ยวเธอจะไม่มีแรง..”

เฮอร์ไมโอนี่ชำเลืองตามองเขา แววตาขุ่นเคืองเป็นที่สุด

“พรุ่งนี้เช้า พวกมันจะมาเอาตัวเธอ.. ฉันแค่มาบอกให้เธอรู้ และ..มาอยู่เป็นเพื่อน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ต้องการ 
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากเห็นหน้าฉัน”

เขาเอื้อมมือไปหาเธอ แต่เธอก็ลุกขึ้นเดินหนีไปที่หน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ

“ก็ได้ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันอยู่ด้วย ก็กินข้าวนี่ซะ”

เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังเฉยทำเป็นว่าไม่มีมัลฟอยอยู่ในห้อง

“นี่เธอเป็นใบ้ไปแล้วรึไง หรือหิวซะเป็นแบบนี้ อ่าฮะ รู้แล้ว เธออยากให้ฉันอยู่ด้วยล่ะสิ”
 มัลฟอยแกล้งทำเป็นอารมณ์ดี แซวเฮอร์ไมโอนี่เหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
 แต่ปฏิกิริยาของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลง แค่เพียงใช้สายตามองเขา เหมือนจะเถียงแทน

“หรือ เธอคงจะง่วงแล้ว อยากไปนอนมั้ย” เขาพูดแล้วชี้ไปที่เตียง เขาไม่รอให้เธอตอบ แต่ฉุดข้อมือเธอไว้

“ปล่อยฉันนะ” เธอพูดขึ้นในที่สุด ด้วยเสียงที่แห้ง

“อ้าว เธอไม่ได้เป็นใบ้ไปหรอกหรือ“

“ฉันบอกให้ปล่อย”

“ไม่ล่ะ” เขาก้มลงจูบเธอที่กำลังดิ้นรนอย่างที่สุด เขาก็ยังไม่ปล่อยเธอ โอบกอดเธอแน่นยิ่งขึ้นอีก

แต่เธอก็ไม่หยุดดิ้นรน พยายามขัดขืน มัลฟอยถอนริมฝีปากออกเนื่องจากเขาได้กลิ่นเลือด...

เลือดจากริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่ เขาทำเธอปากแตกเสียแล้ว 

“อยู่นิ่งๆนะ” เขาว่าแล้วจูบเธออีกครั้ง นุ่มนวลและแผ่วเบา ลิ้มรสเลือด.. 
เฮอร์ไมโอนี่ยืนนิ่งไม่เข้าใจว่าเขาทำไปเพื่ออะไร

“เลือดสีโคลนนี่ก็หวานดีนะ” เขาพูดขึ้น

“นายต้องการอะไรกันแน่ นายทำให้ฉันคิดว่านายเป็นผีดูดเลือด เดี๋ยวฉันก็จะตายแล้ว 
ขอตายอย่างสงบสุขหน่อยไม่ได้รึไง หรือนายจะมาแกล้งอะไรฉันอีก..สะใจนายแล้วใช่มั้ยล่ะ…”
 คำพูดต่างๆของเธอหลั่งไหลออกมาจากปาก ออกมาจากความเคียดแค้น เจ็บใจถึงที่สุด 
ไม่ต่างอะไรกับน้ำตาที่ล่วงพลู เธอระบายมันออกมาต่อหน้าเขา เธอรู้สึกเข่าอ่อน
 ก่อนที่จะซุดฮวบลงไปนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นในอ้อมกอดของเขาที่เข้ามารับเธอให้ลงนั่งอย่างนุ่มนวล 
และมัลฟอยยังคงอยู่ในท่านั้น กอดเธออยู่ หมายจะปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ เขาเช็ดน้ำตาออกจากหน้าของเธอ
…ความอบอุ่น เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นในอ้อมกอดเขา และทำให้ความไว้ใจในตัวเขาเพิ่มมาเล็กน้อย 

เขาเลื่อนมือมาลูบหลังเธอเบาๆ แต่กลับทำให้เธอสะดุ้งเฮือก แล้วผละออกจากเขาแทบทันที

“เป็นอะไรของเธอ” เขาถามด้วยความสงสัย

TBC

No comments:

Post a Comment