Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Chapter 3: Into The Woods

ภายในป่า (Into The Woods)

          เฮอร์ไมโอนี่นั่งลงอย่างอารมณ์เสียที่โต๊ะตัวหนึ่งทางด้านหลังห้องนั่งเล่นรวมบ้านกริฟฟินดอร์;เธอยังคงพยายามสงบสติอารมณ์ลงหลังจากการพบกับมัลฟอย 

        “ช่างพูดเห็นแก่ได้”เธอพึมพำพร้อมกับขยำแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งด้วยความโมโหเต็มที กว่าจะรู้สึกตัวว่ามันคือการบ้านวิชาการแปลงร่างของเธอก็สายเสียแล้ว 

         “บ้าชะมัด” เธอบ่นอู้อี้ ขณะพยายามทำให้แผ่นกระดาษเรียบขึ้นแต่ว่ามันไม่ยอมทำตามสักนิด เธอดึงกระดาษแผ่นใหม่ออกมาพร้อมกับเสียงถอนใจเพื่อเตรียมคัดลอกมันทั้งหมดอีกครั้ง
          “มัลฟอยน่าโง่” เธองึมงำภายใต้ลมหายใจ เธอไม่สามารถลบภาพรอยยิ้มชั่วร้ายของเขาออกไปจากใจได้ นับตั้งแต่เธอออกมาจากห้องสมุด

          เธอใช้เวลาไม่นานเพื่อเขียนการบ้าน ใจลืมเรื่องมัลฟอยและตั้งอกตั้งใจกับงานของเธออย่างมีความสุข สายลมเย็นพัดข้ามโต๊ะมาจากหน้าต่างใกล้ๆ;กระดาษหลายแผ่นปลิวลงพื้นห้อง ขณะที่เธอดึงหน้าต่างปิดสายตาเธอเหลือบเห็นบางอย่าง คนสามคนกำลังเดินไปตามริมทะเลสาบ คอยหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้และก้อนหินต่างๆ มุ่งทิศทางไปยังป่าต้องห้าม ไปทางกระท่อมของแฮกริด เฮอร์ไมโอนี่เฝ้าดูอย่างสนใจ กำลังสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร คนหนึ่งเป็นหัวหน้าหยุดและคอยรออีกสองคนที่ตัวใหญ่กว่า เฮอร์ไมโอนี่พยายามเพ่งสายตาเพื่อจับลักษณะเด่นบางอย่างในแสงที่กำลังจะหายไป ผมยาวสีบลอนด์ขาวสะดุดใจเธอ เธอรู้สึกว่าเลือดของเธอเริ่มเดือดขึ้นมาทันที

          “มัลฟอย” เธอทำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับกำมือทั้งสองข้าง

          ถ้าหัวหน้าคือมัลฟอย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกสองคนที่เหลือคือ แครบบ์และกอยล์

          เฮอร์ไมโอนี่กระโดดขึ้นยืนพร้อมกับหันไปหาแฮร์รี่และรอน แล้วเธอก็นึกได้ทันทีว่าพวกเขาอยู่ที่สนามควิดดิช รอนดีใจมากที่ได้รับตำแหน่งคีปเปอร์ของทีมกริฟฟินดอร์ เขาและแฮร์รี่ใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกซ้อมกันในช่วงนี้ เธอมองไปรอบๆ ห้องหาว่ามีใครสามารถช่วยได้บ้าง ในห้องนั่งเล่นรวมไม่มีใครยกเว้นเนวิลล์ ลองบัตท่อม กับนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งสองสามคน

          “ดีล่ะ ฉันจะต้องหยุดพวกเขาด้วยตัวฉันเอง” เธอพึมพำ

          เธอหลบขึ้นไปยังหอนอนนักเรียนชายอย่างเงียบๆ และพบว่าไม่มีใคร;เธอเดินไปที่หีบเดินทางของแฮร์รี่แล้วค้นหาผ้าคลุมล่องหน 
         
          “ฉันจะไปเตือนแฮกริด ฉันคงจะตกนรกแน่ถ้าปล่อยให้มัลฟอยทำลายชั้นเรียนอื่น!”
          เฮอร์ไมโอนี่วิ่งปร๋อกลับลงไปห้องนั่งเล่นรวม แล้วลอดผ่านช่องรูปภาพเหมือนออกมายืนอยู่ภายในเวิ้งกำแพงมืดๆ ช่องหนึ่ง เธอห่มผ้าคลุมแล้ววิ่งอย่างรวดเร็วเท่าที่เป็นไปได้ ไม่นานเธอมาถึงประตูใหญ่แล้วออกมาอยู่ข้างนอกบนสนามหญ้า เมื่อเธอถูกมองเห็นไม่ได้ก็สามารถเดินตรงตัดข้ามสนามหญ้า แทนที่จะเดินอ้อมผ่านป่าเพื่อคอยหลบซ่อน เธอสูดหายใจลึกๆ พร้อมกับขยับผ้าคลุมให้กระชับขึ้นแล้วเริ่มต้นออกวิ่ง

          อย่างไรก็ตามไม่มีวี่แววของแฮกริด เมื่อเฮอร์ไมโอนี่มาถึงกระท่อมของแฮกริดก่อนหน้ามัลฟอยไม่กี่นาทีเท่านั้น ไม่มีเสียงตอบรับเมื่อเธอเคาะประตู เธอคิดว่าแฮกริดต้องลงไปที่ฮอกส์มี้ด(Hogsmeade) ทันใดนั้นเธอได้ยินบางอย่าง มัลฟอย, แครบบ์ และกอยล์สามารถมองผ่านแนวต้นไม้มาที่กระท่อมได้

          ด้วยความตกใจเธอมองหาที่เพื่อซ่อนตัว เธอแนบตัวเข้ากับกำแพงกระท่อม;ไม่มีพุ่มไม้ใกล้ๆ เธอเลย มัลฟอยคลานตรงเข้ามาในลานโล่งอย่างระมัดระวัง สายตาของเฮอร์ไมโอนี่สอดส่ายไปรอบๆ เพื่อหาที่หลบหนียามคับขัน มัลฟอยมองตรงมาที่เธอแล้วผ่านไป ไม่ดูเหมือนว่าเห็นเธอ เธอจ้องเขาด้วยความตกใจเต็มที่ “งี่เง่า!” เธอสบถเบาๆ พร้อมยกฝ่ามือตบหน้าผากตัวเอง เขาไม่เห็นเธอแน่นอน;เธอถูกมองเห็นไม่ได้ อย่างไรก็ตามมัลฟอยหยุดชะงักและมองมาทางเธออีกครั้ง เขาดูเหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง เขาเดินตรงมาทางเธอ เธอก้มตัวอย่างช้าๆ ลงสู่พื้น ขณะที่เขาชะโงกมาข้างหน้าเพื่อมองผ่านหน้าต่างเข้าไปในกระท่อม เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าหัวใจเธอคงหยุดเต้นเมื่อเงยขึ้นดูเขา มือของเขาวางอยู่ตรงกำแพงเหนือศีรษะเธอเพียงแค่นิ้วเดียว แต่มัลฟอยไม่รู้ตัวถึงการอยู่ตรงนี้ของเธอ เขาถอยหลังออกจากกำแพงแล้วหันไปมองตรงที่แครบบ์และกอยล์กำลังซ่อนอยู่ เขาเรียกพวกนั้นออกมา

          “เจ้ายักษ์โง่งี่เง่าไม่อยู่บ้าน และเขาต้องพาเจ้าสัตว์สี่เท้าดุร้ายไปกับเขาด้วย”

          เฮอร์ไมโอนี่คิดว่ามัลฟอยพูดถูก ไม่เห็นเจ้าเขี้ยวที่ไหนเลย แครบบ์และกอยล์ก้าวเท้าออกมาอยู่กลางแจ้งอย่างไม่มั่นใจ เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อมัลฟอยหันศีรษะไปทางทุ่งหญ้า ในเวลานั้นเองที่เฮอร์ไมโอนี่เห็นว่ามันไม่ได้ว่างเปล่า

          “พวกนายดูนั่นซิ” มัลฟอยร้องน้ำเสียงเขาเหมือนประหลาดใจ “เจ้าลูกครึ่งยักษ์คิดว่าเขาสามารถรอดตัวไปได้โดยแอบเก็บเจ้าตัวนี้ไว้ เราจะต้องแสดงให้เขาดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจ้ายักษ์นั่นเก็บสัตว์ประหลาดมาเป็นสัตว์เลี้ยง” น้ำเสียงเขาไร้ความรู้สึกเหลือเกิน แครบบ์และกอยล์ยืนอยู่ด้านหลังเขาอย่างหวาดกลัว ไม่ต้องการเข้าไปใกล้เจ้าสัตว์ประหลาดมากกว่านี้

          เฮอร์ไมโอนี่กลั้นเสียงหายใจหอบกลัว มองไปที่กรงขังซึ่งตั้งอยู่ลำพังในทุ่งหญ้า ภายในกรงขังคือ แมนติคอร์(Manticore) เธอไม่เคยเห็นตัวจริงมันมาก่อนแต่ไม่แปลกใจเลย เพราะว่าเธอได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับพวกมัน พวกมันเป็นสัตว์หายากมากๆ ในบัญชีรายชื่อทั้งหมด มันเป็นสัตว์ที่ดีชนิดหนึ่งแต่พวกมันอันตรายมากเหลือเกิน ถึงแม้ว่าไม่เคยเห็นสักตัวแต่ก็สามารถบรรยายได้อย่างสมบูรณ์;ส่วนหัวเป็นมนุษย์ ลำตัวเป็นสิงโต และมีหางของแมงป่อง 

         “ตัวนี้ต้องเป็นเด็กสาว” เฮอร์ไมโอนี่คิด แมนติคอร์ตัวนี้มีใบหน้าเป็นหญิง ใบหน้าหญิงสาววัยรุ่นไม่แก่กว่าพวกมันมากนัก มันเกือบจะสวยงามถ้าคุณสามารถไม่ใส่ใจกับกรงเล็บ และหางแมงป่องซึ่งส่ายว่อนอยู่บนหลังของมัน ดวงตารูปทรอัลมอนด์จ้องเขม็งมาที่พวกเขาผ่านดาลประตู มันไม่ขยับเขยื้อนเลย ด้วยความตกใจเฮอร์ไมโอนี่ตระหนักว่ามันกำลังมองเธอเช่นกัน มันต้องสามารถเห็นทะลุผ่านผ้าคลุมล่องหน หรืออาจจะได้ยินเสียงเธอเมื่อเธอเข้ามาที่ลานโล่งในตอนแรก เฮอร์ไมโอนี่ประหลาดใจว่าแฮกริดแสวงหาแมนติคอร์มาได้ยังไง ฮิปโปกริฟฟ์และมังกรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่แมนติคอร์รู้กันดีว่าไม่เพียงแค่เฉลียวฉลาดเท่านั้น แต่มันเป็นเจ้าของความสามารถต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเวทมนตร์อันแปลกประหลาด แต่พวกมันยังร่วมมือกับอำนาจมืดอีกด้วย ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ใช้สายตาสื่อสารกับมัน ความหนาวเย็นสุดขั้วแล่นพล่านไปทั่วร่างกายเธอ และเธอรู้สึกถึงความจำเป็นอย่างมากที่ต้องเข้าไปใกล้มันมากกว่านี้ ด้วยการสูดหายใจแรงๆ เธอถอนสายตาออกจากมันแล้วมองลงไปที่พื้นดิน
          แครบบ์และกอยล์กำลังมองซึ่งกันและกันอย่างระวังตัวในที่สุดแครบบ์ดูเหมือนปลุกความกล้าขึ้นเพื่อพูดกับมัลฟอย “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะเมื่อนายเลี้ยงสัตว์ประหลาดเหมือนสัตว์เลี้ยง เดรโก?”

          มัลฟอยไม่ได้หันมาดูพวกเขา;สายตาเขาไม่ได้ละไปจากแมนติคอร์ นับตั้งแต่เขาได้มาถึงทุ่งหญ้า "ถ้ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของฉัน พวกมันควรจะได้ปล่อยให้เป็นอิสระ” เขากระซิบ

          แครบบ์และกอยล์ดูเหมือนเกือบจะถูกกระหน่ำด้วยความตื่นกลัว ถึงกระนั้นกอยล์หาเสียงตัวเองพบเป็นคนแรก “มันอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่ปล่อยมันออกมา จริงไหมเดรโก? ฉันแน่ใจว่าเราสามารถกำจัดแฮกริดได้ด้วยวิธีอื่น มันอาจทำร้ายเราได้ นายไม่คิดบ้างรึ?” เขาดูเหมือนกำลังวิงวอนมัลฟอย แต่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ไม่หันศีรษะมาเลย

          “ฉันไม่คิดว่ามันจะทำร้ายเรา” มัลฟอยตอบ เฮอร์ไมโอนี่จ้องเขม็งไปที่เขา เขาบ้าไปแล้ว? แมนติคอร์เป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดจำพวกหนึ่งที่พบในป่า เธอมองเขาปีนข้ามรั้วขณะพยายามจดจำทุกอย่างที่เธอได้อ่านเกี่ยวกับพวกมัน พวกมันถูกลงความเห็นว่าเป็นประเภทเดียวกับสฟิงซ์มายาวนาน แต่การวิจัยสมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่าสฟิงซ์ไม่ได้ร่วมมือกับอำนาจของปิศาจเหมือนกับที่แมนติคอร์ทำ แมนติคอร์มีฟันยาวน่ากลัวสามแถวพร้อมกับเงี่ยงแมงป่องที่มีพิษจำนวนมากพอทำให้ถึงตายได้ ช่างโชคดีที่เธออยู่ไกลจากพวกเขาพอสมควร และแมนติคอร์ตัวนี้เป็นเพียงเด็กเท่านั้น แมนติคอร์วัยรุ่นตัวนี้สูงเพียงสี่ฟุตเมื่อมันคลานสี่เท้า แมนติคอร์ที่โตเต็มวัยสามารถสูงได้ถึงสิบฟุต

          “เดรโก...” แครบบ์และกอยล์ร้องเตือนออกมาพร้อมกัน เมื่อหัวหน้าของพวกเขาวางมือหนึ่งระหว่างดาลประตู แล้วสัมผัสขนสีน้ำตาลเข้มของเจ้าสัตว์ตัวนี้

          “ดูซิ” เขาพูดช้าๆ น้ำเสียงปลอบประโลมให้กับแมนติคอร์ รวมถึงแครบบ์และกอยล์ “ฉันบอกพวกนายแล้วว่ามันจะไม่ทำร้ายเรา”

          เฮอร์ไมโอนี่จ้องด้วยความตกใจกลัว เมื่อมัลฟอยถอนมือออกและหันไปที่กลอน ดวงตาเขาเป็นประกายแบบแปลกๆ เขาดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาแล้วกระซิบหนึ่งคำ

          “อะโลโฮโมล่า”

          เฮอร์ไมโอนี่มองดูพร้อมความรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำอย่างหวาดกลัว เมื่อประตูกรงเหวี่ยงเปิดออกแล้วเดรโกหันหลังให้แมนติคอร์มามองหน้าแครบบ์และกอยล์ พวกเขาทั้งคู่ถอยหลังออกมาหลายก้าว ระยะไกลพอควรเธอคิดในใจ;เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกพิศวงกับระดับความฉลาดน่าแปลกใจที่พวกเขากำลังแสดงออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นไปอย่างรวดเร็วเกือบจะตามไม่ทัน ชั่วครู่หนึ่งมัลฟอยกำลังยืนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่หน้าประตูกรง แล้วต่อมาเจ้าสัตว์ตัวนี้เคลื่อนลงมาอยู่บนตัวเขา มัลฟอยถูกกระแทกลงบนพื้น ไม้กายสิทธิ์กลิ้งหลุดจากมือเขา แมนติคอร์กัดลึกเข้าที่หัวไหล่เขา และยกตัวเขาขึ้นจากพื้นแล้วฟาดหลังเขากับพื้นอีกครั้ง มันขึ้นมายืนอยู่ด้านบนมัลฟอยพร้อมกับยกหางยาวขึ้นมาอยู่เหนือหัวของมันเหมือนกริช แล้วแทงลงไปในขาอ่อนของเขา มัลฟอยเปล่งเสียงร้องตะโกนทันทีด้วยความตกใจและความเจ็บปวด หลังจากนั้นเหลือเพียงความเงียบ แครบบ์และกอยล์ดูวีรบุรุษของพวกเขานอนคว่ำหน้า จากนั้นหันหลังแล้ววิ่งออกจากลานโล่ง ปล่อยมัลฟอยไว้กับเจ้าสัตว์สี่เท้า

          เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากเพื่อกลั้นเสียงกรีดร้องเมื่อแมนติคอร์บุกเข้าทำร้าย เธอมองด้วยความตื่นกลัวเมื่อแครบบ์และกอยล์วิ่งเตลิดไป เธอยืนขึ้นพร้อมกับมองแมนติคอร์และมัลฟอย เสี้ยววินาทีเคลื่อนไปช้าๆ ราวกับเวลาหยุดลง เสียงกระซิบภายในใจเธอ “หันหลังกลับแล้วจากไป เดินหนีไป รักษาชีวิตของเธอ เขาจะไม่ช่วยชีวิตเธอถ้าเหตุการณ์นี้กลับกัน เขาร้องขอสิ่งนี้และเวลานี้เขากำลังรับสิ่งที่สมควรได้แล้ว” เธอตัวสั่นด้วยความกลัวอย่างมากเมื่อเสียงจางหายไป

          เฮอร์ไมโอนี่เบือนหน้าหนีเตรียมตัวจะวิ่งแต่แล้วก็หยุด “ไม่มีใครสมควรได้รับสิ่งนี้” เธอพูดอย่างหนักแน่น ยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาด้วยความกล้าหาญของเธอ แล้วร้องตะโกนออกไปที่มัน

          “เอ็กซ์เปลิอามัส!”

          แมนติคอร์ปล่อยมัลฟอยลงอย่างแรง;มันหันสายตามองมาที่เธอ เฮอร์ไมโอนี่สั่นสะท้านเมื่อดวงตารูปอัลมอนด์ดูเหมือนมองเจาะลึกเข้าไปในตัวเธอ เธอตะโกนคาถาอีกอันใส่มันก่อนที่เธอจะสูญเสียความกล้า

          “สตูเปฟาย!”

          อย่างไรก็ตามแมนติคอร์ไม่ได้ตัวแข็งทื่อ แมนติคอร์ขยับเกรงกล้ามเนื้อเตรียมพร้อมกระโดด เฮอร์ไมโอนี่ร้องครางและพยายามทบทวนคาถาทั้งหมดที่เธอได้ช่วยแฮร์รี่ฝึกซ้อมในการเตรียมตัวเพื่อการประลองเวทไตรภาคีเมื่อปีก่อน แต่ไม่มีอันไหนใช้การได้เลย

          “พระเจ้า...ทำให้...มัน...หยุดทีเถอะ...สตูเปฟาย!” เธอกรีดร้องอย่างหนักเท่าที่เธอทำได้ ปลายไม้กายสิทธิ์ของเธอชี้ตรงไปที่หน้าอกของสัตว์สี่เท้าตัวนี้ มันกระแทกเธอลงสู่พื้นและไม่นานนักเธอได้ยินเสียงหนึ่งร้องดังลั่นน่ารังเกียจ

          เธอนอนมึนงงอยู่ข้างใต้ร่างสัตว์ประหลาดอุ้ยอ้าย รอคอยความเจ็บปวดแสบร้อนที่จะตามมา แต่นอกจากความรู้สึกเจ็บไม่มากนักตรงข้อมือกับหน้าอกของเธอแล้ว นอกนั้นไม่มีอะไร เจ้าสัตว์สี่เท้ายังคงนอนนิ่ง เฮอร์ไมโอนี่ปล่อยเสียงสะอื้นสั่นๆ ออกมาแล้วผลักเจ้าสัตว์ตัวนี้ออกไปจากตัวเธอ มันหนักอย่างเหลือหลายแต่เธอจัดการออกไปจากใต้ตัวมันจนได้ หลังจากนั้นเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเธอต้องรู้สึกทุกข์ทรมานจากอาการตกใจ เพราะว่าเธอกังวลมากเหลือเกินคอยตรวจดูให้แน่ใจว่าผ้าคลุมของแฮร์รี่ไม่ได้เปื้อนเลือดที่ตรงไหนเลย เธอถอดมันออกอย่างระมัดระวังและเก็บใส่เข้าไปในกระเป๋าของเธอ เธอก้มดูแมนติคอร์พร้อมกับสงสัยว่ามันจะยังหมดสตินานแค่ไหน

          ฉับพลันเฮอร์ไมโอนี่จำมัลฟอยได้ เธอรีบไปที่ตัวเขาและคุกเข่าลงด้านข้าง เฮอร์ไมโอนี่ตัวสั่นกลัวเมื่อเธอเห็นเขา มันไม่ใช่ภาพน่าสะอิดสะเอียนแต่สิ่งที่เห็นเกือบจะมากเกินจัดการได้ เด็กหนุ่มซีดเผือดแทบจะไม่มีสีสัน;เหลือเพียงสีแดงเท่านั้น แผลลึกขนาดใหญ่พาดขวางอยู่บนไหล่เขาที่โดนกัดกับรูลึกที่ขาเขา เลือดสีแดงเข้มกำลังไหลกองรอบตัวเขา ขณะที่สารมีสีแปลกๆ ดูเหมือนกำลังหนาขึ้นๆ อยู่บนขาเขา เฮอร์ไมโอนี่คาดว่ามันคือยาพิษ เธอค้นหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าอย่างสิ้นหวัง เธอวางมันลงบนบาดแผลเขาด้วยความหวังในการห้ามเลือดให้หยุดไหล

          “มัลฟอย” เธอกระซิบขณะที่กำลังพยายามปลุกให้เขาตื่น ไม่มีคำตอบจากเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำหน้า อย่างไรก็ตามเธอสามารถบอกได้ว่าเขากำลังหายใจอยู่

          “มัลฟอย ตื่นซิ!” เธอคำราม พร้อมกับหันไปดูเจ้าสัตว์ที่ด้านหลังเธอ มันกระตุกน่ากลัวอย่างรวดเร็ว เธอจ้องเขม็งไปที่มันแล้วความหวาดกลัวก็เริ่มก่อตัวขึ้น เธอรู้มีเพียงเหตุผลเดียวว่าทำไมคาถานั้นถึงได้ผลในตอนแรก เป็นเพราะว่ามันรู้สึกแปลกใจแต่เมื่อมันตื่นขึ้นมามันจะไม่แปลกใจแล้ว มันจะโกรธเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เธออยากวิ่งหนีแต่เธอไม่สามารถปล่อยมัลฟอยไว้ให้ตายที่นี่

          “เดรโก ได้โปรด...” เธอวิงวอน น้ำตาคลออยู่ในดวงตาเธอ เธอไม่อยากเห็นเขาตายถึงเธอเกลียดเขามากแค่ไหนก็ตาม ดูประหนึ่งเหมือนเล่นกลเมื่อดวงตาสีเทาเข้มมองขึ้นมาที่เธอ

          “เธอเรียกชื่อฉัน เกรนเจอร์” เขากระซิบน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกทันทีเมื่อเริ่มจำสิ่งต่างๆ ได้ “แมนติคอร์” เขาร้องเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง

          เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกโล่งอกเหลือเกินและประสาทเสียมากๆ ด้วย   แต่เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาอารมณ์เสียเพิ่มขึ้นอีก “มันหมดสติอยู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน” แมนติคอร์กระตุกอีกครั้งและส่งเสียงแปลกๆ ในลำคอออกมา เธอยืนขึ้นแล้วหันไปหามัลฟอยพร้อมกับคว้ามือของเขา เขาไม่สามารถรับน้ำหนักมากๆ บนขาที่เป็นแผลได้ ดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเอาแขนเขามาพาดไหล่ของเธอ พวกเขาเดินกระโผลกกระเผลกอย่างรวดเร็วออกจากลานโล่ง

          พวกเขามาได้ครึ่งทางก่อนจะถึงประตูปราสาท เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเท่าที่เป็นไปได้ ข้ามผ่านพื้นที่โล่งสีเขียวกว้างใหญ่ จังหวะก้าวของพวกเขากำลังสั่นคลอน;มัลฟอยกำลังเลือดไหลและแทบจะเดินไม่ไหว เฮอร์ไมโอนี่กำลังรู้สึกตัวถึงความเจ็บปวดที่ข้อมือเมื่อก้มดูมัน เธอคิดว่ามันดูค่อนข้างแปลกๆ แต่ที่ทำให้ไม่สบายใจมากกว่าข้อมือเธอคือ ความอึดอัดพิกลในหน้าอกเธอ การหายใจสั้นๆ ของเธอกำลังลำบากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่บาดเจ็บมากขนาดนี้แต่พวกเขาทั้งคู่กำลังเริ่มอารมณ์เสียใส่กัน

          “รู้ไว้นะ มัลฟอย ฉันแค่ช่วยชีวิตนาย ไม่ได้หมายความว่ามันมีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างระหว่างเราหรอกนะ?” เฮอร์ไมโอนี่ร้องบอก รู้ดีเลยทีเดียวว่าความคิดเรื่องความสัมพันธ์กับเลือดสีโคลนจะกระตุ้นให้มัลฟอยแทบเป็นบ้าตาย

          “หุบปากซะ ถ้าเธอกล้าพูดถึงเรื่องนี้กับใคร ฉันจะทำให้เธอเสียใจ” เขาขู่กลับใส่เธอผ่านฟันที่ขบกันแน่น เขาไม่มีเวลามาใส่ใจในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่;ความเจ็บปวดเหลือแสนกำลังเริ่มแล่นขึ้นจากขาแล้วเข้าไปในหน้าอกของเขา

          “มัลฟอย นายแทบดูไม่น่าเกรงกลัวเลย ตอนที่นายกำลังเลือดไหลเจียนตาย” เฮอร์ไมโอนี่โต้กลับพร้อมกับรู้สึกละอายใจอย่างทันที เมื่อจำได้ว่าเธอเกือบจะปล่อยให้เขาตายอยู่ตรงนั้นอย่างไร เธอสงสัยนิดๆ ว่าเขายังจะตายไหม บาดแผลของเขาดูเลวร้ายมากๆ ความเจ็บปวดที่ข้อมือเธอกำลังกลายเป็นเกือบจะเหลือทนแล้ว ขณะที่ความตกใจลดลง เธอสังเกตว่าหน้าอกของเธอกำลังเริ่มถูกกระหน่ำด้วยความเจ็บปวดแทน

          พวกเขามาถึงประตูใหญ่ที่ฮอกส์วอต และด้วยเรี่ยวแรงออนซ์สุดท้ายของพวกเขา พวกเขาผลักบานประตูให้เปิดออก เดินโซเซไปข้างหน้าเข้าไปในห้องโถงทางเข้าแล้วหยุดลง มัลฟอยไม่สามารถไปไกลกว่านี้ เขาปล่อยแขนออกจากเฮอร์ไมโอนี่และกองลงสู่พื้น ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เนื่องจากยาพิษ เฮอร์ไมโอนี่ยืนอย่างไม่มั่นคงชั่วครู่ รู้ว่าเธอจำเป็นต้องไปต่อ รู้ว่าเธอต้องพามัลฟอยไปที่ปีกสถานพยาบาล “มันจะเป็นความผิดของฉันถ้าเขาตาย ฉันควรจะทำมันเร็วกว่านี้” เธอคิดอย่างทุกข์ทรมานขณะที่ยืนโซเซ ทันใดนั้นแสงไฟปรากฏขึ้นที่ข้างบนบันได

          “อะไรกัน พวกนักเรียนออกไปที่สนามในเวลากลาง...” เสียงของศาสตราจารย์มักกอนนากัลค่อยๆ เบาลงขณะที่เธอเดินลงมาจากบันได “มิสเกรนเจอร์?!” เธอวิ่งลงมาจากขั้นบันไดที่เหลือแล้วมาอยู่เหนือเฮอร์ไมโอนี่ เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถรอไหว เธอกองลงสู่พื้นถัดจากมัลฟอย ความเจ็บปวดทำให้ร่างกายไม่มีความรู้สึก มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะสูดหายใจ เธอได้ยินศาสตราจารย์มักกอนนากัลกำลังร้องตะโกน แต่มันค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อความมืดเข้าครอบงำเธอ

TBC

No comments:

Post a Comment