Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Saturday, July 18, 2015

Love Concerto I: เวลากับความรัก

Chapter 1: เริ่มต้นด้วยดี 
Chapter 2: ลางร้านเริ่มปรากฏ
Chapter 3: ความหลังของเสนป
Chapter 4: สัญญาสงบศึก
Chapter 5: ห้องแห่งน้ำตากับช่วงเวลาแห่งรัก



Prologue

คืนหนึ่งในยามราตรีมีเพียงแสงจันทร์ทอแสงสาดส่องกับท้องฟ้าโปร่งที่ถูกประดับประดาไว้ด้วยหมู่ดาวพร่างพราย  ณ ปราสาทแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านผู้คน  ปราสาทแห่งนี้ยิ่งใหญ่นัก หากแต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความอ้างว้างที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน



ภายในห้องนั่งเล่นรวมแสงสลัวมีเพียงแสงจากเตาผิงที่คงส่งเสียงไฟประทุอยู่เป็นระยะๆ  เด็กหนุ่มผมบลอนด์นัยน์ตาซีดคนหนึ่งนั่งบนโซฟาใกล้กับเตาผิงด้วยท่าทางสบายๆ อย่างที่นานๆครั้งเขาจะได้ทำสักครั้งหนึ่งเมื่อไม่ได้อยู่ตามลำพัง



“เดรโก  ลูกมีคนรักแล้วหรือยัง”   ผู้เป็นมารดาถามขึ้นด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นท่าทางสบายใจของบุตรชาย  นางเองไม่ค่อยได้เห็นอิริยาบถแบบนี้ของเขาเท่าไหร่นักยกเว้นวันที่สามีของนาง- -นายลูเซียส  มัลฟอย- -ไม่อยู่บ้าน  อย่างเช่นในคืนนี้



“ยังครับ”  เด็กชายตอบพร้อมกับมองหน้ามารดาของเขาเป็นเชิงถาม



“ทำไมหรอครับ”



“เปล่าลูก  แม่แค่อยากรู้ว่าลูกของแม่เป็นหนุ่มแล้วหรือยังเท่านั้นเอง”  นางตอบพลางยิ้มให้บุตรชายคนเดียวที่เป็นที่รักกว่าอะไรทั้งหมด  ที่ตอนนี้เริ่มมีลักษณะของความเป็นเด็กหนุ่มมาแทนที่ลักษณะแบบเด็กชายเล็กๆบ้างแล้ว  ร่างกายที่เริ่มกำยำและสูงโปร่งสามารถยืนยันความคิดของนางได้อย่างชัดเจนทีเดียว



“แล้วลูกพอจะมีผู้หญิงที่สนใจบ้างรึยังล่ะ.....ที่โรงเรียนมีผู้หญิงที่น่าสนใจบ้างมั๊ย”  นางถามพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู



“ผมยังไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยครับ”  เขาตอบพลางถอนหายใจเมื่อนึกถึงเวลาสามปีที่ผ่านมาที่ฮอกวอตส์  เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาใช้เวลาทุกวันกับการเรียน ซ้อมควิดดิชและแกล้งเจ้าพอตเตอร์กับพวกของมันยามที่มีโอกาส.....พวกของเจ้าพอตเตอร์....แล้วเขาก็พลันนึกถึงเด็กหญิงผมฟู ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต กับรอยยิ้มครั้งหนึ่งที่เขาเคยได้จากเธอเมื่อวัน April Fool อะไรนั่น หลังจากวันนั้นแล้วทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม  เขาส่ายศีรษะอย่างช้าๆ  มันไม่จำเป็นที่จะต้องนึกถึงพวก‘เลือดสีโคลน’ เพราะตระกูลของเขาเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่น่าภูมิใจที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน



“ผู้หญิงที่น่าสนใจงั้นเหรอ”  เขาพึมพำกับตัวเองพลางขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถไปในท่าที่สบายยิ่งขึ้นพร้อมกับใช้ความคิด  ‘เลือดบริสุทธิ์ที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดก็คงเป็นแพนซี่  พาร์กินสัน...แต่ไม่ไหวล่ะ ยัยนี่เกาะเป็นปลิง น่ารำคาญจะตายแถมยังไร้สมองอีกต่างหาก.....ผู้หญิงคนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยได้คุยด้วยเท่าไหร่แต่ก็ไม่เห็นมีน่าสนใจ...ส่วนยัยนั่น ผู้หญิงตระกูลมัวร์ที่ชอบใช้ยาเสน่ห์  ไม่ไหว เขาไม่ชอบที่ยัยนั่นยังคงมาวุ่นวายกับเขาอยู่ ไม่รู้จักหลาบจำ น่ารำคาญเป็นที่สุด’  มัลฟอยคิดพลางเบะปาก



มารดาที่สังเกตท่าทางของบุตรชายเงียบๆมาสักพักหนึ่งแล้วถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆกับกริยาที่เขามักจะทำเสมอเวลาพบสิ่งที่ไม่พอใจ



เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “พวกเลือดบริสุทธิ์ยังไม่มีใครน่าสนใจเลยครับ” เขาจำกัดความว่าเป็น‘เลือดบริสุทธิ์’เพื่อที่จะตัดเฮอร์ไมโอนี่ออกไป  ‘อันที่จริงแล้วเธอเองก็น่าสนใจไม่น้อย  เขาชอบให้คนมาอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาก็จริงแต่ถ้าเขาได้คู่รักเป็นผู้หญิงโง่ล่ะก็ เขาคงปวดหัวตาย  ผู้หญิงของเขาต้องเป็นคนเก่ง’...นึกถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าผู้เป็นมารดาอย่างชั่งใจ...



นางนาร์ซิสซารู้สึกติดใจคำว่า‘พวกเลือดบริสุทธิ์’ ที่มาจากปากของบุตรชายแต่เธอก็ไม่คิดที่จะถามต่อถึงพวกเลือดสีโคลนเพราะเธอรู้ดีว่าบุตรชายของเธอภูมิใจในสายเลือดบริสุทธิ์มากพอๆกับบิดาของเขาเลยทีเดียว



‘ผู้หญิงของเขาต้องเป็นคนเก่ง...เหมือนกับแม่’เขาอายที่จะพูดประโยคนี้ออกมา  เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้นโตเกินกว่าที่จะอ้อนมารดาแล้ว แล้วเขาเองก็ไม่ได้อ้อนมารดาของเขานานแล้วด้วยเพราะเขาไม่สามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ต่อหน้าบิดาของเขา  มารดาของเขาเป็นคนเก่ง  นางเข้าสังคมของนายลูเซียสได้เป็นอย่างดีโดยที่ไม่ก้าวก่ายงานของเขา ที่สำคัญนางฉลาดรอบรู้ทันคน และสามารถที่จะทนอารมณ์ที่ร้ายกาจของนายลูเซียสได้  แล้วหน้าตาก็สะสวยและมีผมยาวสีบลอนด์ที่สวยงามเช่นกัน



“ยังไม่มีก็ไม่เป็นไร  ดี...ลูกจะได้เป็นที่รักของแม่คนเดียว”  นางส่งยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักให้แก่บุตรชายที่ตอนนี้ถ้าแสงไฟสว่างก็จะเห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นสีชมพูจางๆไปแล้ว



มัลฟอยยิ้มกลับด้วยรอยยิ้มที่บุคคลอื่นไม่มีวันเคยเห็น  รอยยิ้มนี้ตั้งแต่เกิดมาเขาเคยให้แค่มารดาของเขาคนเดียว  นางเลี้ยงเขามาด้วยความเข้มแข็งผสมความอ่อนโยน  เมื่อใดที่อยู่ต่อหน้าบุคคลอื่นและผู้เป็นบิดา เขาต้องเข้มแข็ง  แต่เมื่อใดที่อยู่กันสองคนเขาจะถูกเลี้ยงด้วยความรักอย่างที่จะให้ผู้เป็นบิดารับรู้ไม่ได้เป็นอันขาด  ซึ่งเวลาแบบนี้ก็มีไม่บ่อยนัก  เขาจึงไม่ค่อยถนัดนักในเรื่องที่จะต้องแสดงความรู้สึกแบบนี้ออกมา



“เอาล่ะ...แม่ว่า ลูกควรจะเข้านอนได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปซื้อของที่ตรอกไดแอกกอน  อ้อ..ลูกคงจัดของเสร็จแล้วใช่มั๊ย”  มารดาถามพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้



“เรียบร้อยแล้วครับ.....เอ้อ...แม่ครับ...คือ..ผ..ญ....ม่..ก..”  เขาพึมพำประโยคหลังอย่างแผ่วเบา



“หืม?” นางหันมาถามบุตรชายพลางขมวดคิ้ว



“ผู้หญิงแบบแม่ก็ดีครับ”  เขาพูดอย่างรวดเร็วพร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดอย่างรวดเร็วเช่นกัน  เขาลุกพรวดพราดจากที่นั่งไปทันทีแต่พอถึงที่ประตูเขาก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมา



“ราตรีสวัสดิ์ครับแม่”  แล้วเขาก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว




“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ ลูกรัก” นางนาร์ซิสซาพูดพึมพำพร้อมกับรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
.. .... ... .. . .. . . . . .




"ตอนที่ 1: เริ่มต้นด้วยดี"


“เดรโก  มีจดหมายมาจากพ่อว่าจะกลับตอนเย็นนี้  เช้านี้ลูกไปซื้อของคนเดียวได้มั๊ย”  นางนาร์ซิสซาพูดขึ้นพร้อมกับละสายตาจากเดลี่พรอเฟ็ตตรงหน้าเมื่อเห็นว่าบุตรชายเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น



“ได้ครับ”  เด็กหนุ่มตอบรับ  เขาคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้เพราะว่าช่วงนี้พ่อของเขาคงไม่ว่าง  เจ้าแห่งศาสตร์มืดกำลังจะกลับมา พ่อของเขาคงต้องมีเรื่องยุ่งอีกเยอะทีเดียว  เขาคิดพลางเดินไปที่เตาผิงแล้วหยิบผงฟลูที่อยู่ข้างๆขึ้นมา



“มื้อเช้าล่ะ ลูก”  ผู้เป็นแม่ถาม



“ไม่รับครับ  ผมอยากรีบไปรีบกลับ” เขาพูดพลางหยิบผงฟลูโยนใส่เตาผิง  ไฟในเตาเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตแล้วชุกโชนขึ้นทันที  เขาเก็บผงฟลูลงกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปในกองไฟพลางตะโกนว่า‘ร้านหม้อใหญ่รั่ว’ มัลฟอยปิดตาแน่น เขารู้สึกว่าร่างหมุนเร็วขึ้นๆจนน่าเวียนหัว ในที่สุดเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่เขาก็ค่อยๆลืมตา  ภาพของสถานที่แสงสลัวที่เต็มไปด้วยพวกพ่อมดแม่มดปรากฏขึ้นแทนที่  เขาค่อยๆลุกพลางปัดเศษถ่านออกจากตัวอย่างรำคาญใจ แล้วเดินไปที่ทางเข้าตรอกไดแอกกอนทันที



ตรอกไดแอกกอนยังคงเต็มไปด้วยพ่อมดแม่มดมากมายเช่นเคย  ผู้คนเดินเบียดเสียดกันเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างคึกคัก  มัลฟอยสำรวจใบรายการซื้อของในมือ  เขาไล่รายชื่อของที่ต้องซื้อพลางสะดุดกับสิ่งหนึ่ง - - ชุดงานราตรี??  เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจกับของรายการพิเศษนี้แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าจะกลับไปถามพ่อของเขาคืนนี้  เขาเก็บใบรายการซื้อของลงกระเป๋าแล้วเดินตรงไปที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกเป็นที่แรก 



เฮอร์ไมโอนี่  เกรนเจอร์กำลังมองหาร้านชุดราตรีอยู่ในตรอกไดแอกกอน  วันนี้เธอมาซื้อของกับนางวิสลีย์สองคน เพราะเธอกับแฮร์รี่มาพักที่บ้านโพรงกระต่ายของครอบครัววีสลีย์ได้หลายวันแล้ว  นางวีสลีย์บอกว่าจะจัดการซื้อของทั้งหมดให้แต่เธอก็รบเร้าจะมาด้วยอยู่ดี  เธอต้องการที่จะหาซื้อชุดราตรีด้วยตัวของเธอเอง

แล้วเธอก็เห็นร้านน่าสนใจร้านหนึ่ง ‘ชุดงานราตรีทุกเทศกาล’ เฮอร์ไมโอนี่มองที่กระจกใสหน้าร้าน หุ่นผู้หญิงใส่ชุดราตรียาวสวยกำลังยิ้มพร้อมกับโบกมือให้เธอและหมุนตัวโชว์ชุดที่ใส่อย่างงามสง่า  แล้วหุ่นผู้ชายที่ใส่ชุดดูดีข้างๆก็หันมาโค้งให้เธอ  ทั้งคู่เต้นรำกันอย่างสง่าภายในพื้นที่แคบๆของตู้โชว์  เฮอร์ไมโอนี่ยิ้ม ชุดที่หุ่นทั้งคู่ใส่ดูดีเหลือเกิน  เธอไม่มั่นใจเรื่องราคานักแต่ก็ตัดสินใจว่าจะลองเข้าไปดูก่อน 



เด็กสาวผลักบานประตูเข้าไปในร้านทันที  ประตูส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งแล้วพนักงานคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับเธอ  ภายในร้านสวยงามมาก  สว่างและมีชุดราตรีอยู่เต็มไปหมด ทางด้านขวาของร้านถูกจัดเป็นโซนชุดของสุภาพบุรุษ ส่วนทางด้านซ้ายก็เป็นชุดของสุภาพสตรี



“ใส่เองรึเปล่าจ๊ะ” พนักงานสาวถามอย่างใจดี



“ใช่ค่ะ”  เธอพาเฮอร์ไมโอนี่เดินไปทางโซนซ้าย “งานราตรีแบบไหนจ๊ะ”



“เอ่อ..งานราตรีของโรงเรียน...ฮอกวอตส์น่ะค่ะ”  เธอตอบพลางสังเกตเห็นบางอย่างในแววตาของพนักงานสาว



“โอ...ใช่สิๆ  รอแป๊บนึงนะจ๊ะ”



“สำหรับเธอนะจ๊ะ  ฉันว่าสิบชุดนี้แหล่ะ เหมาะสมที่สุด” เธอเดินกลับมาพร้อมกับเข็นราวแขวนชุดทั้งสิบมาด้วย



เฮอร์ไมโอนี่เดินดูชุดทั้งสิบชุดอย่างตื่นตาตื่นใจ  ทั้งหมดเป็นสีโทนอ่อนสวย เนื้อผ้าบางเบา และดีไซน์เก๋  เด็กสาวชอบทุกชุดเลย แต่เมื่อลองดูทุกอย่างเปรียบเทียบกับราคาแล้ว เด็กสาวก็หยิบชุดสีชมพูอ่อนกับสีฟ้าที่จับระบายนิดหน่อยออกมา  ทั้งสองชุดนี้เหมาะสมที่สุด ทั้งสวยและราคาไม่แพงเกินไป  เฮอร์ไมโอนี่เลือกทั้งสองชุดนี้อย่างลำบากใจเพราะตัดสินใจไม่ได้สักที



มัลฟอยกำลังเดินไปร้านประจำของพ่อแม่เขา ‘ชุดงานราตรีทุกเทศกาล’ เขาผลักบานประตูเข้าไปแล้วก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการเลือกชุดของเธอ  เฮอร์ไมโอนี่นั่นเอง  เขาเดินเลี้ยวขวาไปทันทีอย่างไม่ใส่ใจ  พนักงานสาวเดินออกมาต้อนรับและหลังจากที่พูดคุยกันสักพัก เธอก็กลับมาพร้อมกับชุดออกงานสีดำประมาณสามสิบชุดได้  มัลฟอยดูชุดทั้งหมดอย่างพอใจแล้วเขาก็เลือกชุดผ้ากำมะหยี่สีดำที่มีคอปกตั้งสูงในที่สุด  เขาจ่ายเงินแล้วหันไปมองเฮอร์ไมโอนี่ที่ยังคงเลือกชุดไม่ได้สักที



“สีฟ้า”   เฮอร์ไมโอนี่หันขวับไปมองเจ้าของเสียงยานคางที่คุ้นหูทันที  แล้วก็เป็นดังคาด  เดรโก  มัลฟอยนั่นเอง  เขาหันกลับไปแล้วกำลังรับชุดกับเงินทอนจากพนักงานอยู่



“อะไรของนาย” เธอพูดทันทีเมื่อเขาหันกลับมา



“ฉันบอกให้เอาสีฟ้า”



“ทำไมฉันต้องเชื่อนายด้วย  เอาชุดสีชมพูนี่ค่ะ” เธอพูดพลางยื่นชุดให้พนักงานสาว



“เฮอะ”  เขาเดินออกไปทันที  เฮอร์ไมโอนี่มองตามจนประตูร้านปิดสนิท



“ขอโทษค่ะ  ขอเปลี่ยนเป็นสีฟ้าตัวนี้ค่ะ” เธอพูดขึ้น พนักงานสาวยิ้มอย่างเอ็นดูพลางรับชุดมา  หน้าของเฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆทันที



~~*~~*~~



เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมาจากร้านชุดงานราตรีทุกเทศกาล  เธอกำลังจะไปหานางวีสลีย์ที่นัดกันไว้หน้าร้านตัวบรรจงและหยดหมึก  ระหว่างทางเธอเห็นมัลฟอยยืนอยู่หน้าร้านขายไม้กวาด  เขากำลังจดจ่ออยู่ที่ไฟร์โบลต์จนไม่รู้สึกตัวว่าเธอมายืนอยู่ด้านหลังเขาแล้ว  เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มนิดๆกับท่าทีที่เหมือนเด็กๆเวลาอยากได้ของเล่นของเด็กหนุ่ม  



“นายอยากได้ไฟร์โบลต์หรอ”



มัลฟอยตกใจหันขวับมาทันที  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนเดินเบียดเสียดแน่นตรอกไดแอกกอนรึว่าเป็นความสะเพร่าของเฮอร์ไมโอนี่เองที่ยืนใกล้เขามากไป  ริมฝีปากของเด็กหนุ่มแตะผ่านไปโดนหน้าผากของเด็กสาวอย่างแผ่วเบาแว่บหนึ่ง  แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็รู้สึกได้ถึงรอยสัมผัสจางๆ  ทั้งคู่ผงะออกห่างกันแล้วต่างนิ่งไปพักหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงระเรื่อขึ้น



“นาย..นายไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยรึไง” เฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีแดงพูดขึ้น



“เธอสูงขึ้นนะ” เขาตอบ



“ไม่ใช่!!!! ฉันหมายถึงคำขอโทษย่ะ!” เธอแหวกลับ



มัลฟอยชักหงุดหงิด  “ทำไมฉันต้องขอโทษเธอด้วย! ฉันยืนอยู่ของฉันดีๆ เธอนั่นแหล่ะที่ต้องขอโทษ! มายืนข้างหลังฉันทำไมไม่ทราบ” เขาพูดอย่างมีอารมณ์



“ฉันก็แค่นึกว่าเราจะคุยกันดีๆได้บ้างเท่านั้นเอง!!” เธอตวาดแล้วหันหลังเดินจากไปทันที



“ฮึ่ยย!!” เขาพยายามระงับอารมณ์โกรธ แล้วเดินตามเธอไป



~~*~~*~~



“นายจะเดินตามฉันมาทำไม มัลฟอย” เธอกัดฟันพูดอย่างเคืองๆ



“ใครตามเธอ ยัยหัวฟู ฉันต้องไปเอาหนังสือที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกต่างหาก” เขาตอบเสียงยานคาง


“เชอะ” เด็กสาวหันหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์


ทั้งคู่เดินใกล้จะถึงร้านตัวบรรจงและหยดหมึกแล้ว  มัลฟอยสังเกตเห็นนางวีสลีย์ยืนรออยู่หน้าร้าน เขาก็เข้าใจทันที  เด็กหนุ่มหันไปหา เด็กสาวก็ยังคงงอนอยู่ เธอเดินจ้ำพร้อมหันหน้าไปอีกทาง  มัลฟอยยิ้มนิดๆกับท่าทางที่เหมือนเด็กๆงอนของเธอ แต่จะให้เขาขอโทษคงเป็นไปไม่ได้ เขายกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบาพร้อมกับแกล้งผลักจนเธอเซนิดหน่อยเป็นการตบท้าย



“นาย!!!!!!” เฮอร์ไมโอนี่หันมาถลึงตาใส่


มัลฟอยหัวเราะแล้วเดินแซงเธอไปทันที  เฮอร์ไมโอนี่มองตามเขาไป เธอเห็นเขาเดินเข้าร้านตัวบรรจงและหยดหมึกโดยทำเป็นไม่เห็นนางวีสลีย์  เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจ เธอไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลย  การลูบศีรษะเมื่อกี๊ถือเป็นการขอโทษได้มั๊ยนะ  เธอไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ...รวมทั้งความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในใจของเธอด้วย.....



"ตอนที่ 2: ลางร้ายเริ่มปรากฏ"



ค่ำคืนแรกของปีสี่ที่โรงเรียนเวทมนต์คาถาฮอกวอตส์  เดรโก  มัลฟอยเดินอย่างไม่สบอารมณ์ไปตามระเบียงทางเดินที่ปราศจากผู้คน  เขากำลังหงุดหงิดเป็นที่สุดจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้  ดัมเบิลดอร์ประกาศเรื่องการประลองเวทไตรภาคีที่จะจัดขึ้นปีนี้ที่ฮอกวอตส์  แน่นอนว่าเขาต้องรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว  แต่เรื่องที่เขาไม่รู้และทำให้เขาหงุดหงิดมากก็คือนักเรียนที่สมัครจะต้องมีอายุสิบเจ็ดปีขึ้นไป  ทำไมพ่อไม่ได้บอกเรื่องนี้ก่อนนะ!? เขาหวังไว้มากกับงานนี้ว่าจะได้เป็นตัวแทนของโรงเรียน  ให้ตายสิ! เด็กหนุ่มคิดอย่างไม่สบอารมณ์พลางเดินขึ้นบันไดเพื่อจะกลับไปยังหอนอนสลิธีริน  แต่ก่อนที่เขาจะเดินถึงขั้นบนสุด บันไดก็ได้เปลี่ยนที่ของมันกะทันหัน  “!!!!”  เด็กหนุ่มสบถอย่างอารมณ์เสีย นี่เขาอุตส่าห์ออกมาก่อนคนอื่นเพื่อจะหลบหมู่คนที่จอแจ  แต่เจ้าบันไดงี่เง่านี่กลับทำให้เสียเวลา!  เขากลอกตาอย่างเซ็งๆพลางเดินไปทางที่บันไดเคลื่อนไปหยุดอยู่  ทางเดินนี้เป็นระเบียงมืดๆ ที่เคยว่างเปล่าแต่ตอนนี้กลับมีประตูไม้เก่าๆบานหนึ่งตรงสุดทางเดิน  มัลฟอยรู้สึกแปลกๆกับประตูบานนี้ แล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจให้เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูนั้น- -บางอย่างที่มากกว่าความรู้สึกอยากรู้ของเขา



บานประตูเปิดออกตามแรงดึง  ภายในห้องมืดสนิท “ลูมอส” เขาพึมพำคาถา  แสงไฟจากปลายไม้กายสิทธิ์ทำให้เห็นรายละเอียดบางส่วนในห้อง  เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว - - ชุดเกราะพังเก่าๆ  แจกันแตกและของเก่าพังอย่างอื่นที่มีฝุ่นกับหยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด 



“แหวะ ห้องเก็บของ” เขาพูดพลางเบะปาก แล้วหันหลังกลับ “...ธีริน”  มัลฟอยขนลุกซู่หันกลับมาทันที  เขาไม่แน่ใจว่าหูฝาดไปรึเปล่า  เขายกไม้กายสิทธิ์ขึ้นพลางส่องดูให้ทั่วห้อง  ไม่มีอะไร เขาคิดพลางถอนใจ “....สลิธีริน” เสียงหนึ่งดังขึ้นอีก  คราวนี้เขาแน่ใจว่าหูไม่ฝาด



“ใครน่ะ!!”  มัลฟอยตวาดเสียงดัง



“ทางนี้...เด็กหนุ่มสลิธีริน..”



“ใคร!!”



“ข้าอยู่ด้านในสุดนี่...เจ้าเพียงเดินมาหาข้า”  มัลฟอยลังเล แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงเดินเข้าไปตามทางเดินสกปรกอย่างระวังตัวจนมาถึงสุดทางของห้อง  เขาหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นใคร



“ข้าอยู่นี่” เสียงเย็นเยียบยังคงพูดต่อไป



“ก็มันตรงไหนเล่า!” เขาพูดอย่างหงุดหงิด พลางหันไปทางที่มาของเสียง แล้วเขาก็เห็นผ้าสกปรกผืนหนึ่งคลุมของบางอย่างขนาดเท่าหนังสืออยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆตรงริมผนังห้อง  เขาเดินไปหยุดตรงหน้ามัน



“ใช่...” เสียงกระซิบเย็นแผ่วเบา “เอาผ้าออกซะ” เสียงจากใต้ผ้าผืนใหญ่ดังขึ้น



มัลฟอยไม่ค่อยพอใจกับคำพูดที่เหมือนคำสั่งนี้นัก แต่ความอยากรู้กลับมีมากกว่า เขาเอื้อมมือไปกระชากผ้าผืนนั้นออกอย่างรำคาญใจ แล้วก็ต้องตะลึงกับวัตถุตรงหน้า



ภายใต้ผ้าผืนเก่ามอซอนั้นมีนาฬิกาเก่าๆเป็นรูปจันทร์เสี้ยวอยู่ ถึงจะมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมดแต่ก็ยังมองเห็นตัวเรือนที่มีลวดลายสลักงดงามแสดงถึงความแข็งแกร่งและเป็นสีแดงเพลิงได้ชัดเจน เข็มนาฬิกากำลังเดินถอยหลังและบอกวันที่ของอีกหกวันข้างหน้า และด้านบนของนาฬิกาสลักคำว่าสลิธีริน!!??  มัลฟอยขมวดคิ้วมองมันอย่างเค้นคำตอบ



“ดี...เด็กหนุ่มสลิธีริน..ดีมาก..” มันพูดพลางแสยะยิ้มน่าเกลียด “ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า...”



“ไม่ล่ะ...แค่นี้ก็เสียเวลาเกินพอแล้ว” มัลฟอยตอบเสียงยานคาง



“แต่เจ้าต้องทำ….” มันพูดด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ



“ไม่มีทาง” เด็กหนุ่มหันหลังกลับทันที



“หึหึ...คำสาป...เด็กหนุ่ม..คำสาปพลัดพราก..”



“ว่าไงนะ!” เขาหันกลับมาจะหยิบมันขว้างทิ้งทันที



“หยุด!!” เสียงมันดังลั่น “ถ้าเพียงเจ้าช่วยข้า...ข้าจะคลายคำสาปให้....” มันพูดด้วยน้ำเสียงที่มัลฟอยเกลียดจับใจ



“อย่า-มา-โก-หก” เขากัดฟันพูดอย่างโมโห ใบหน้าเป็นสีแดงจัด



“ลองดูที่ข้อมือขวาของเจ้าสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่า....ข้าพูดจริงหรือไม่ หึหึ”



มัลฟอยกัดริมฝีปากแน่นแล้วค่อยๆยกมือขวาขึ้นมาดู มีรอยสีแดงเป็นเลขสามปรากฏอยู่  เขาตัวสั่นด้วยความโกรธ “แก....” เด็กหนุ่มเค้นเสียงอย่างยากลำบาก  “..ต้องการอะไร..”



~~*~~*~~



เช้าวันต่อมา อากาศภายนอกขมุกขมัวเนื่องจากพายุที่เพิ่งสงบไปไม่นาน  เฮอร์ไมโอนี่กำลังตรวจดูตารางเรียนใหม่ที่โต๊ะอาหารเช้ากับเพื่อนรักของเธอ แฮร์รี่และรอน  วันนี้พวกเธอต้องเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์กับฮัฟเฟิลพัฟและการดูแลสัตว์วิเศษกับสลิธีริน...สลิธีริน? เฮอร์ไมโอนี่นึกถึงเด็กหนุ่มผมบลอนด์ขึ้นมาทันที  เขาเป็นอะไรไปนะ? เมื่อวานนี้เขาลุกพรวดพราดออกไปทันทีเมื่อดัมเบิลดอร์ประกาศเรื่องเกณฑ์อายุของผู้มีสิทธิ์สมัครประลองเวทไตรภาคี  เฮอร์ไมโอนี่แอบเหลือบมองไปที่โต๊ะสลิธีรินแว่บหนึ่งก่อนจะตักข้าวโอ๊ตต้มเข้าปาก  เด็กชายผิวสีซีดดูจะไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้า  เขาดูซีดเซียวกว่าปกติที่เคยเป็น เอาแต่จ้องที่ข้อมือขวาอย่างเอาเป็นเอาตาย



เฮอร์ไมโอนี่มัวแต่จ้องมองมัลฟอยอยู่จึงไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเธออยู่สักพักแล้ว



“เฮอร์ไมโอนี่ ไม่รีบกินล่ะ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันนะ”  เสียงรอนดังขึ้น ทำให้เฮอร์ไมโอนี่กลับมาสนใจกับอาหารตรงหน้าอีกครั้ง  รอนขมวดคิ้วอย่างสงสัยและมองไปทางที่เด็กสาวเพิ่งเหม่อมองไป  โต๊ะสลิธีริน?? แครบ?กอยล์?มัลฟอย?? เขาหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจปนไม่พอใจเล็กๆ



~~*~~*~~



หลังจากที่คาบเรียนของแฮกริดกับอาหารมื้อกลางวัน(ที่เร่งรีบ)ผ่านไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบไปห้องสมุดทันที เธอตั้งใจจะหาหนังสือเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิของเอลฟ์  “ตึง!” ประตูบานข้างๆตัวเธอเปิดออกอย่างแรง  มัลฟอยเดินหน้ายุ่งออกมาจากห้องที่ไม่มีการเรียนการสอน ทั้งคู่ต่างชะงักไปเล็กน้อย



“หวะ..หวัดดี มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ทักพร้อมทั้งสังเกตหน้าตาที่ซีดเซียวของเขา



“เออ” เขาหลบหน้าแล้วเลี่ยงไปอีกทาง



เฮอร์ไมโอนี่ฉุนกับท่าทางของเขา “วันนี้นายเป็นบ้าอะไร” เธอถามอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะดูเขาหงุดหงิดมาตั้งแต่คาบเรียนของแฮกริดแล้ว



“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ..เกรนเจอร์” เขาตอบพลางเดินเข้าห้องเรียนถัดไปที่ว่างอยู่  เฮอร์ไมโอนี่ยืนดูจากทางประตูที่เขาเปิดทิ้งไว้  ‘มัลฟอยเหมือนกับกำลังหาอะไรสักอย่าง’ เธอคิดพลางมองดูเด็กชายกำลังรื้อหาของในห้องอย่างเอาเป็นเอาตาย เขารื้อหีบทุกใบที่มีจนของกระจุยกระจายไปทั่วห้อง



“นายหาอะไรของนาย” เด็กสาวถามขึ้น เธอพร้อมที่จะช่วยเขา แต่ “ปึง!!”  หนังสือเล่มหนึ่งถูกขว้างมากระทบประตูอย่างแรง



“บอกแล้วไง มันไม่ใช่เรื่องของเธอ!! ไม่ต้องมายุ่งยัยเลือดสีโคลน!!” เขาตวาดเสียงดัง  เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้ง ไม่เคยมีใครทำกับเธอแบบนี้  เสียแรงที่เธอเป็นห่วงเขา...มันไม่จำเป็นเลยจริงๆ....ขอบตาของเด็กสาวร้อนผ่าว  น้ำตาของเธอกำลังจะไหล  มันไม่ควรเลย ที่เธอจะต้องมาเสียน้ำตาให้กับคนแบบนี้  เฮอร์ไมโอนี่วิ่งออกไปทันที  เธอวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไปจนถึงห้องๆหนึ่ง เธอเข้าไปหลบในนั้นพลางหายใจหอบ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม



“ฮือๆๆๆ..ฮึกๆ”  



เดี๋ยว!!?? เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก นี่ไม่ใช่เสียงร้องไห้ของเธอนี่  เธอไม่ได้สะอึกสะอื้นขนาดนั้นซะหน่อย เด็กสาวมองหาที่มาของเสียงทันที



“ลูมอส”  ภายในห้องนั้นโล่งมีโต๊ะกับเก้าอี้อยู่2-3ตัว  “ฮึกๆๆ...ฮือ..” เสียงร้องไห้ยังคงดังมาจากที่ไหนสักแห่งในห้องนี้ล่ะ  เฮอร์ไมโอนี่สูดหายใจเข้าลึกๆ



“คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”  เธอถามพลางหันซ้ายหันขวา  



“.....” เสียงร้องไห้เงียบไปแล้ว



“โอ....เด็กสาวกริฟฟินดอร์!”  คราวนี้เสียงของเธอแสดงถึงความดีใจเต็มเปี่ยม



“ข้าอยู่ตรงผนังห้องด้านนี้”  เฮอร์ไมโอนี่เดินตามไปที่เสียงนั้นเรียกอย่างหวาดๆ  เธอเดินมาจนถึงผนังห้องพลางกวาดสายตา



“ข้างบนนี่จ้ะ”  เธอพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง  เฮอร์ไมโอนี่มองตามขึ้นไปก็พบนาฬิการูปวงรีเรือนหนึ่ง  มันเป็นนาฬิกาเรือนสีขาวที่สวยงาม ลายสลักอ่อนช้อย เข็มนาฬิกาเดินปกติและบอกวันที่ของวันนี้ ที่สำคัญ ด้านบนของตัวเรือนสลักคำว่ากริฟฟินดอร์?



“เธอ...สวยเหลือเกิน”  เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงประทับใจพร้อมกับรอยยิ้ม



“ขอบใจ..เด็กสาว..เจ้าเองก็เช่นกัน” มันยิ้มให้เธออย่างน่ารัก ดวงตาเป็นประกาย



“ฉัน...ไม่เคยรู้มาก่อนว่านาฬิกาพูดได้ด้วย...เอ้อ...แล้วเธอเสียใจเรื่องอะไรหรอ” เธอพูดเมื่อนึกขึ้นได้  ถึงตอนนี้ดวงตาที่เปล่งประกายก็หมองลง...



~~*~~*~~



มัลฟอยกำลังอารมณ์เสียอย่างหนัก เขาขว้างปาข้าวของไปทั่วเพื่อระบายอารมณ์มาได้พักใหญ่แล้วตั้งแต่เฮอร์ไมโอนี่วิ่งออกไป  เขาหยุดยืนหายใจหอบแรงๆ  ทำไมถึงทำแบบนั้นกับเธอนะ! เธอร้องไห้..ใช่..เขาเห็นน้ำตาของเธอ แต่เขาไม่อยากให้เธอมายุ่งด้วยเพราะเธออาจจะโดนคำสาปไปด้วยอีกคน.....



“ไม่!!! ฉันไม่ได้ห่วงเธอ...เกรนเจอร์...ฉันแค่..ชอบทำอะไรด้วยตัวเองคนเดียว”  เขาตะโกนออกมาเหมือนจะให้ทุกประโยคซึมซับเข้าสู่เซลล์สมองแล้วสั่งการให้มันคิดอย่างนั้น  เด็กชายยกมือขึ้นเสยผมที่ร่วงลงมาให้กลับขึ้นไปแล้วเขาก็เห็นเลขสองที่ข้อมือขวาอีกครั้ง เขาเดือดขึ้นมาทันที



“ปัดโถ่!ทำไมหาไม่เจอสักทีนะ ไอ้นาฬิกาวงรีสีขาวบ้าๆนั่น!!” เขาเตะโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้สุดแรง



~~*~~*~~



“เอ๊ะ! เธอเสียใจเรื่องคนรักของเธออย่างนั้นหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างทึ่งๆขัดขึ้นมา



“ใช่..” นาฬิกาสาวตอบด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย



“ขอโทษนะ...แต่...พวกเธอมีความรักได้ด้วยอย่างนั้นหรอ” เด็กสาวถามพลางทำหน้าเสียใจ



“ได้สิ..” นาฬิกาสาวยิ้ม  “คนรักของข้าเป็นรูปจันทร์เสี้ยว...เขาช่างแข็งแกร่งและค่อนข้างจะ..เอ้อ..อารมณ์ร้อน..คือเขาทำมาจากหินปะทุของภูเขาไฟทางตอนเหนือน่ะ  เมื่อเราพบกันครั้งแรกหลังจากที่ตื่นขึ้นมา เรารู้เลยว่าเราต่างเป็นคู่ของกันและกัน”



“เพราะเธอจะประกบกันได้พอดีเลยสินะ”  เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางนึกภาพของรูปวงรีกับจันทร์เสี้ยวมาประกบกัน ก็จะได้เป็นรูปวงกลมพอดี เธอยิ้ม ช่างเป็นความคิดที่น่ารักเหลือเกิน เด็กสาวขยับตัวแล้วก็นั่งลงกับพื้นเพราะเธอชักจะเริ่มรู้สึกเมื่อยคอซะแล้ว



“ถูกแล้ว..เด็กสาวกริฟฟินดอร์  เธอฉลาดมากนะ”  เฮอร์ไมโอนี่ยืดตัวขึ้นนิดหน่อย เธอพอใจกับคำกล่าวชมนี้



“แต่...” ถึงตรงนี้น้ำเสียงกลับฟังดูเศร้าเหลือเกิน “ทุกอย่างมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด..ความรักของเรามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย...”  เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงหยดน้ำใสๆมากระทบศีรษะของเธอ - - น้ำตา?



“ ตัวข้าเองเกิดจากหิมะที่ไม่มีวันละลายตอนใต้...แต่..แต่หากว่าสองสิ่งนี้ประกบกันแล้วล่ะก็..จะเกิดการสูญสลาย...”



“เธอ..เธอหมายถึงว่าเธอจะตายงั้นหรอ” เด็กสาวถามด้วยความตกใจ



“ใช่...” เสียงตอบแผ่วเบา



“อะไรกัน....มันไม่ยุติธรรมเลยนะ แล้วนี่เธอยังจะตามหาเขาอีกงั้นหรอ”  เฮอร์ไมโอนี่ส่ายศีรษะอย่างระอา



“ได้โปรด เด็กสาว..ได้โปรด..เวลาของเราเหลือน้อยเหลือเกิน...หากเลยไปแล้วล่ะก็ เราจะไม่มีวันได้เจอกันอีกเลย และชีวิตของข้าก็ต้องดับสูญไปอยู่ดี”



“อะไรนะ”



“เดิมทีข้าเป็นเวลาของอดีต ข้าจะเดินทวนเข็มไปเรื่อยๆ และเขา..เป็นเวลาของอนาคต เราเดินตรงข้ามกันตลอด  เวลาของเราไม่มีวันมาบรรจบกันได้ แล้ววันนั้นที่มีคนซื้อเรามา เขาให้สัญญากับเราไว้ว่าเขาจะช่วยเราจึงใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเปลี่ยนวิถีทางเดินของเรา  เขาบอกว่าจะประกบคู่ให้วิญญาณเราอยู่ด้วยกันเมื่อถึงเวลา..แต่แล้ว...เขากลับหักหลัง” น้ำเสียงสุดท้ายเหมือนปนสะอื้นเล็กน้อย



“โหดร้าย!!” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างโมโห



“ใช่...เซเวอรัส...เจ้าช่างโหดร้ายเหลือเกิน”  น้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ เฮอร์ไมโอสะดุ้งทันที



“อะไรนะ  ใครซื้อเธอมานะ” เธอถามอย่างร้อนรน



“เซเวอรัส...เซเวอรัส  สเนป”  เฮอร์ไมโอนี่คราง  สเนป! สเนป! คนโหดร้าย อำมหิต!



“เรื่องมันนานมาแล้ว...เขาเองก็น่าสงสาร..เขาหลงรักสาวกริฟฟินดอร์คนหนึ่งและจะมอบข้าเป็นของขวัญแก่เธอ...แต่เธอกลับไปมีคนรักซะก่อน..เขาโมโหมาก เลยจับข้ากับโรเมโอแยกกัน..”



“หืม...งั้นเธอก็คือจูเลียตสินะ”



“ใช่  คนเก่ง..ชื่อนี้เธอของเซเวอรัสตั้งให้”  จูเลียตยิ้มอย่างเศร้าๆ  



เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกสงสารเธอจับใจแต่เธอเองก็ยังอึ้งไม่หายกับการที่คนอย่างสเนป!!จะเคยมีความรัก  ความรักที่ไม่สมหวังซะด้วย....เด็กสาวนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง



“โอเค..ฉันจะช่วยเธอเอง  เรามีเวลาอีกกี่วันหรอ” 



“อีกสองวัน เด็กสาว อีกสองวันข้ากับเขาจะวนกลับมาถึงวันกำเนิด”  เฮอร์ไมโอนี่ตาเบิกโพลง “สองวัน!!!” โอ! เวลามันช่างน้อยเหลือเกิน เธอคิดพลางลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นออกจากกระโปรง



“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” จูเลียตถามเมื่อเฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมือมาจับ



“ฉันจะพาเธอออกไปด้วยน่ะสิ” เธอตอบอย่างงงๆ “เอ๊ะ!”



“คาถาติดแน่นน่ะ” จูเลียตตอบเศร้าๆ



“โหดร้าย” เฮอร์ไมโอนี่กัดฟันกรอด



“จริงสิ...ข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้าเลย..”



“เฮอร์ไมโอนี่...เฮอร์ไมโอนี่  เกรนเจอร์” เธอตอบพร้อมกับรอยยิ้มและจูเลียตก็ยิ้มตอบเช่นกัน



“งั้น..ฉันไปก่อนนะ แล้วจะรีบหาเขาให้เจอ”



“ขอบใจจ้ะ เฮอร์ไมโอนี่” ทั้งคู่ยิ้มให้กันแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็หันหลังกลับ เธอเดินไปได้สองก้าวแล้วก็หยุด



“จูเลียต..ฉันขอถามอะไรอย่างได้มั๊ย” เธอหันกลับมาอีกครั้ง



“ได้สิ”



“ทำไมพวกเธอถึงเลือกทางนี้ล่ะ..พวกเธออาจจะต้องตายทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันเลยก็ได้นะ”



จูเลียตยิ้มอย่างอ่อนโยน “ความรัก..เฮอร์ไมโอนี่...ความรัก...บางครั้งคนเราก็เลือกที่จะตายแต่ได้รัก  มากกว่าที่จะอยู่รอดแต่ต้องพลัดพรากกันอยู่อย่างนี้” เธอตอบเสียงเศร้า



“สักวันหนึ่ง..เมื่อเจ้ามีรักเกิดขึ้นในจิตใจ  เจ้าจะมีคำตอบของทุกสิ่งที่พวกข้าทำไป...”



เฮอร์ไมโอนี่นิ่งอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ เธอไม่เคยมีความรักมาก่อนจึงไม่รู้หรอกว่ามันร้ายกาจเพียงใด หรือช่างแสนดีเพียงไร...



“โอ...อย่าเพิ่งตกใจไปเด็กน้อย....ความรักไม่ใช่ว่าจะต้องลงเอยด้วยความตายทั้งหมดนี่ เพียงแต่คำตอบของข้าและเขา..มันดีที่สุดแล้วเท่านั้นเอง…อันที่จริง เจ้าอย่าเรียกว่าความตายเลย..สำหรับพวกข้ามันเป็นการเริ่มต้นต่างหาก” จูเลียตยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่าคิดมากสิ เวลาจะช่วยให้เจ้าเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น แล้ววันหนึ่ง...เจ้าก็จะเข้าใจมันได้เอง”




เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มรับและหันกลับเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ...





"ตอนที่ 3: ความหลังของสเนป"


กลางดึกที่เงียบสงัดภายในห้องนั่งเล่นรวมบ้านสลิธีริน นักเรียนส่วนมากขึ้นหอนอนกันไปหมดแล้ว แต่ยังมีบางคนที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เสียงของประตูภาพเหวี่ยงตัวเปิดออกทำให้เด็กหนุ่มตัวใหญ่ยักษ์สองคนสะดุ้งสุดตัว ค่อยๆหันไปตามที่มาของเสียงอย่างกลัวๆกล้าๆ  สายตาที่เลิกลั่กของทั้งคู่สบกับดวงตาสีซีดที่เฉยชาแฝงแววน่ากลัวเพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านของเจ้าของ



“พวกแกหาเจอรึเปล่า” มัลฟอยถามลูกสมุนของเขาที่นั่งรออยู่ที่ห้องนั่งเล่นพักหนึ่งแล้ว



“มะ...ไม่เจอเลยมัลฟอย” แครบตอบอย่างกลัวๆเพราะทำงานที่ได้รับไม่สำเร็จ



“แกล่ะ กอยล์”



“ไม่....ไม่เจอเหมือนกัน มัลฟอย” กอยล์ตอบด้วยใบหน้าขาวซีด  ทั้งคู่แยกย้ายกันไปหาสิ่งนั้นตลอดทั้งวันแต่ก็ไม่พบสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการ  เขาแค่‘สั่ง’ให้ไปหานาฬิกาวงรีสีขาวพูดได้แต่ไม่บอกเหตุผลว่าทำไม



“...” เด็กหนุ่มผิวสีซีดไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แครบกับกอยล์ก็ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดดังอย่างชัดเจน



“...มัล...”



“พวกแกจะไปไหนก็ไป!!!!” มัลฟอยตวาดเสียงดัง ลูกสมุนทั้งสองสะดุ้งเฮือกแล้วรีบละล่ำละลักปีนขึ้นหอนอนไปทันที



มัลฟอยถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินไปนั่งโซฟาตัวที่อยู่ใกล้เตาผิง  “แกได้ยินแล้วนี่  ยังหากันไม่เจอ”  เขาพูดเสียงยานคางพลางหยิบห่อผ้าออกจากเสื้อคลุมวางไว้บนโต๊ะ  เขาแกะผ้าที่พันอยู่ออกเผยให้เห็นนาฬิการูปจันทร์เสี้ยวสีแดงเพลิงกำลังแสยะยิ้ม “นั่นมันหน้าที่ของเจ้า...และเจ้าต้องหาเธอให้เจอ...”



เขาก้มมองดูเลขสองที่ข้อมืออย่างกังวลใจ ‘จดหมายที่ส่งไปหาพ่อยังไม่ได้รับการตอบกลับ  พ่อคงจะยุ่งจนไม่ได้สนใจมัน’ หรือไม่ก็เหตุผลอื่นที่เขาไม่อยากคิดถึงมัน  เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด



“แล้วถ้าพรุ่งนี้ก็ยังหาไม่เจอล่ะ”



“เมื่อข้าพลัดพราก...เจ้าก็ต้องพลัดพรากด้วยเช่นกัน..” โรเมโอพูดขู่ด้วยน้ำเสียงดุดัน ใบหน้าถมึงทึง



มัลฟอยกัดริมฝีปากจนเจ็บ  เขาไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ในเมื่อหามันมาทั้งวันแล้วแต่ก็ยังไม่เจอ  เมื่อกี๊เขาเพิ่งจะหลบฟิลช์กลับมาได้อย่างหวุดหวิด  เด็กหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่งอย่างใช้ความคิด เมื่อตัดสินใจได้แล้วเขาก็เก็บนาฬิกาหนุ่มกลับเข้าเสื้อคลุมแล้วปีนออกนอกช่องรูปภาพไปอีกครั้ง



~~*~~*~~



เฮอร์ไมโอนี่เดินอย่างเงียบเชียบภายใต้ผ้าคลุมล่องหนที่ขอยืมมาจากแฮร์รี่  เธอเล่าเรื่องที่เจอกับจูเลียต(โดยข้ามเรื่องที่มัลฟอยทำให้เธอร้องไห้ไป) และเล่าให้ฟังถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหาโรเมโอให้เจอ  ทั้งแฮร์รี่และรอนเข้าใจและอยากช่วยเธอ แต่เธอปฏิเสธเพราะมันดึกแล้วและยิ่งคนเยอะก็ยิ่งเสี่ยงกับการโดนฟิลช์จับได้  โรเมโอพูดได้เหมือนกับจูเลียต การส่งเสียงเรียกได้คงจะทำให้หาง่ายขึ้น



เสียงฝีเท้าคนเดินดังเข้ามาในโสตประสาท เด็กสาวกระชับผ้าคลุมแน่นแล้วรีบเดินให้ห่างไปอย่างเงียบเชียบที่สุดที่จะทำได้  เธอเดินเลี้ยวหัวมุมไปสักพักก็พบเด็กหนุ่มผมบลอนด์ ผิวสีซีดยืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง ผมบลอนด์ของเขายามต้องแสงจันทร์แบบนี้ช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน เฮอร์ไมโอนี่ตะลึงเล็กน้อยกับภาพตรงหน้า  ถ้าเวลาที่เขาเงียบไม่ปริปากก็ดูดีมากทีเดียว  “ตึกตัก..ตึกตัก..”  หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล  นี่มันอะไรกันนะ??



ตุบ...ตุบ..



เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกที  เรียกสติของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง  เฮอร์ไมโอนี่รีบเดินไปที่เขาอย่างรวดเร็ว...



~~*~~*~~



“!!!!”  เด็กหนุ่มตกใจเมื่อมีบางอย่างมาปิดปากแล้วดันตัวเขาอย่างแรง



“ฟิลช์มา....เดินไปที่ซอกนั่นเงียบๆ” เสียงผู้หญิงกระซิบ  เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงของเธอ เด็กหนุ่มเดินไปหลบในซอกอย่างว่าง่าย



เฮอร์ไมโอนี่ยกผ้าคลุมล่องหนขึ้นมาคลุมตัวเขาไว้อีกคน  ทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบกริบเมื่อเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเริ่มใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงแมวร้องอย่างอวดดี



“หวานใจ...หาซิ มีเด็กงี่เง่าคนไหนยังไม่เข้าหอนอนรึเปล่า หึหึหึ”  ฟิลช์พูดพลางแสยะยิ้มน่าเกลียด  เขาส่องตะเกียงมาที่ซอกที่ทั้งคู่หลบอยู่ เมื่อไม่เห็นใครก็เริ่มเดินอีกครั้ง แต่คุณนายนอร์ริสยังไม่ขยับ ดวงตาปูดโปนยังคงจับจ้องมาในซอกมืดๆ อย่างไม่วางตา



“หวานใจ?”



“เมี๊ยว...” มันร้องแล้วสะบัดหน้าเดินไปหาเจ้านายของมันทันที



เมื่อเสียงฝีเท้าเงียบลงไปแล้ว  เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจเบาๆ พลางขยับตัวอย่างยากลำบาก - - หืม?? มือ?? มัลฟอยจับไหล่ของเธอไว้  เขายังคงนิ่ง ไม่ขยับ สายตามองไปที่ทางเดินอย่างไม่ไว้ใจ  เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้ามองเขาเป็นเชิงถาม  เขาหันหน้ากลับมา ทั้งคู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงของลมหายใจ แล้วเขาก็โน้มตัวลงใกล้... เฮอร์ไมโอนี่ใจเต้นรัว  เขาซบหน้าลงกับไหล่ของเธออย่างหมดแรง



“ขออยู่อย่างนี้สักพักนะ” เขากระซิบที่หูของเธออย่างแผ่วเบา น้ำเสียงฟังดูอ่อนล้าเหลือเกิน



เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง หัวใจของเธอเต้นแรงมากจนเธอกลัวว่าเขาจะได้ยิน  มัลฟอยต้องเป็นอะไรแน่  ไม่งั้นเขาคงไม่ดูอ่อนเพลียอย่างนี้ แล้วนี่เขาออกมาทำอะไรดึกดื่นนะ?  เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากจะถามแต่เมื่อเห็นเขายังคงซบอยู่บนไหล่ของเธอนิ่ง เธอก็กลืนคำถามทั้งหมดลงไปทันที



ผ่านไปครู่หนึ่ง  มัลฟอยเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ...คิ้วขมวดเข้าหากัน



“เธอมาทำอะไรตรงนี้ เกรนเจอร์”  เขาเริ่มคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ทำให้เธอชะงัก  บรรยากาศอบอุ่นอย่างเมื่อครู่หายไปหมด กลับถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิด เฉยชาอย่างรวดเร็ว



“นายนั่นแหล่ะ มาทำอะไรมัลฟอย แล้วเมื่อกี๊ยืนบ้าอะไรอยู่ ไม่ได้ยินเสียงฟิลช์เดินรึไง” เธอถามกลับอย่างเริ่มมีอารมณ์  เขาไม่เพียงไม่ขอบใจเธอยังถามคำถามด้วยเสียงเฉยชาแบบนี้อีก



“ฉัน...”



“โครกกก....”  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องตอบแล้ว  เพราะเจ้ากระเพาะตัวดีส่งเสียงตอบแทนอย่างเริงร่า  เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันที  แต่ในซอกมันมืดเฮอร์ไมโอนี่มองไม่เห็น เธอจึงดึงเสื้อคลุมเขาลากเดินออกมาตรงทางเดิน  เขาเดินตามมาอย่างไม่เต็มใจนัก



“อย่าบอกนะ..ว่าเมื่อกี๊ยืนหิวอยู่น่ะ”  เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างขำๆ  มัลฟอยหน้าเป็นสีแดงจัด ซึ่งตอนนี้เธอเห็นมันได้อย่างชัดเจนเพราะแสงจันทร์



“หึหึหึ อะไรกันมัลฟอย มื้อเย็นนายก็กินไม่ใช่รึไง”  เธอพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ



“ยุ่งน่า!” เขาพูดใส่อารมณ์เสียงไม่ดังนัก ใบหน้าที่ซีดเซียวยังคงแดงก่ำด้วยความอาย  อันที่จริงแล้ว เขาไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่กลางวันแล้ว มื้อเช้าเขาก็แทบไม่ได้แตะ  ความหิวบวกกับความอ่อนเพลียทำให้เขาไม่มีแรงเลยต้องหยุดพักที่ริมหน้าต่างเมื่อครู่



“เธอมีของดีนี่เกรนเจอร์”  เขาปรับสีหน้าเป็นปกติ สายตาเจ้าเล่ห์มองที่ผ้าคลุมล่องหนในมือของเธอ



เฮอร์ไมโอนี่ขยับผ้าคลุมไปไว้ด้านหลัง “นั่นมันไม่เกี่ยวกับนาย มัลฟอย”



“เฮอะ! คงจะเก็บเอาไว้ทำอะไร‘ดีๆ’ กับเจ้าพอตเตอร์กับวีสลีย์ล่ะสิ” เขาประชดพลางเบะปาก



เฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีเข้มด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เธอพยายามระงับโทสะไว้เต็มที่



“แล้วทั้งดึกทั้งหิวจะออกมาเดินทำไม”  เธอถามเขาดีๆ



“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” เขาหันหลังไปทันที  เฮอร์ไมโอนี่มองเขาเคืองๆ



“มัลฟอย”



เขาหันกลับมา  



“ปึ้กก!!!” เฮอร์ไมโอนี่ใช้สันมือผ่ากลางหน้าผากเขาอย่างแรง  มัลฟอยลงไปนั่งกับพื้นยกมือกุมหน้าผาก “อูยย..”



เฮอร์ไมโอนี่นั่งลงข้างหน้าเขา  เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มอย่างยียวน 



“เวลาคนเขาพูดด้วยอย่าหันหน้าหนี” เธอเลิกคิ้วกวนๆ แล้วเอาผ้าคลุมล่องหนคลุมตัว ลุกเดินไป



มัลฟอยเอามือถูหน้าผากมองตามทางที่เธอเดินไปอย่างเคืองๆแล้วลุกเดินไปอีกทางอย่างเงียบเชียบ



~~*~~*~~



‘หาไม่เจอ!’ เด็กหนุ่มถอนใจพลางทิ้งตัวนั่งบนเตียงสี่เสา ตอนนี้เป็นเวลาตีสองแล้ว เขาต้องหามันให้เจอก่อนเที่ยงคืนวันนี้  เขาหยิบห่อผ้าวางไว้บนเตียงแล้วเอามือพลิกมันกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด



“นี่!! เจ้าหนุ่ม  เจ้าทำอะไรน่ะ!” เสียงของโรเมโอถามอย่างรำคาญ



\"เฮอะ!!\" เขากลอกตา พ่นลมทางจมูกอย่างอารมณ์เสียแล้วโยนมันไว้ข้างเตียง เขาเปลี่ยนชุดนอนแล้วเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า...



“นี่....เจ้าชอบเด็กสาวที่เจอคืนนี้ใช่มั๊ยถึงไม่บอกเธอว่าออกไปทำอะไร…กลัวข้าจะสาปเธอล่ะสิ หึหึ”



“....”



“นี่...”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



- - - - - - - - - - - -



- - - - - - 



- -

“เอ่อ...คือ...” เด็กหนุ่มผมลีบเป็นมันเยิ้มพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก  เด็กสาวผู้เป็นเจ้าของใบหน้าที่สะสวยและเรือนผมสีแดงเพลิงหันมามองด้วยใบหน้าที่แสดงถึงคำถามอย่างชัดเจน



“ต้องตั้งชื่อให้กับพวกนี้แล้ว..ฉ..ฉันตั้งไม่เก่งน่ะ เธอช่วยหน่อยได้มั๊ย”  เด็กหนุ่มผู้มีจมูกงอเหมือนตะขอกล่าวอย่างยากลำบากพลางชี้ให้ดูถึงสิ่งของในมือ



“หืม” เด็กสาวงุนงงเล็กน้อยแต่เมื่อเห็นท่าทีประหม่าของเขาก็ยิ้มออกมา “ได้สิ”



แล้วทั้งคู่ก็เดินไปหาที่นั่งที่คนไม่พลุกพล่านนัก  เธอเลือกที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งริมทะเลสาบ



“ว้าว..พวกเธอพูดได้ด้วยหรอ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงประทับใจหลังจากเปิดห่อผ้าออกแล้วสิ่งของในนั้นพูดทักทายเธออย่างอารมณ์ดี



“ใช่สิ” นาฬิกาหนุ่มพูดตอบอย่างภาคภูมิ



“พวกเธอสวยมากเลยนะ อ่าว..เป็นคู่กันไม่ใช่หรอทำไมถึงวางแยกกันล่ะ” เธอพูดพลางหยิบนาฬิกาสีขาวขึ้นมาดูใกล้ๆ



นาฬิกาสาวยิ้ม “พวกข้าประกบกันไม่ได้หรอก เด็กสาว มิฉะนั้นการสูญสลายจะบังเกิด”



“ทำไมล่ะ พวกเธอเป็นคู่กันไม่ใช่หรอ”



“ใช่...แต่ท่านแม่มดที่สร้างพวกข้าขึ้นมา ท่านเจ็บปวดกับความรักและไม่อาจเชื่อในความรักแท้ได้อีก  ท่านทำให้พวกข้าเป็นความรักต้องห้ามที่มิอาจเป็นจริงได้  หินภูเขาไฟประทุกับหิมะที่ไม่มีวันละลาย เป็นสองสิ่งที่มิอาจสัมผัสกัน เวลาจากอดีตและอนาคตเป็นกาลเวลาที่มิอาจบรรจบ  แต่พวกข้าไม่คิดเช่นนั้น เพราะทั้งอุปสรรคและความตายก็ไม่อาจพรากความรักของพวกข้าได้” นาฬิกาสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วยิ้มให้เธออีกครั้งหนึ่ง



เด็กสาวได้ฟังก็รู้สึกทึ่งในความรักของนาฬิกาทั้งคู่เหลือเกิน “พวกเธอเข้มแข็งมากเลยนะ  รู้มั๊ย..พวกเธอน่ะเหมือนโรเมโอกับจูเลียตเลยล่ะ” เด็กสาวพูดพลางยิ้มให้



“งั้นฉันตั้งชื่อให้เธอว่าโรเมโอ  ส่วนเธอก็จูเลียตละกันนะ”  เด็กสาวยิ้มอย่างขันๆเมื่อหันกลับมาแล้วเห็นใบหน้างุนงงของบุคคลตรงหน้า



“โอ..จริงสิ เธอคงไม่รู้สินะ เรื่องของโรเมโอกับจูเลียตน่ะเป็นที่ฉันชอบที่สุดเลยล่ะ เรื่องก็เกี่ยวกับสองตระกูล.....”  เด็กสาวเล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ และทำหน้าซึ้งเมื่อถึงตอนที่ตัวเอกทั้งสองรักกัน  เด็กหนุ่มนั่งฟังเธออย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนใจเนื้อหาของมันมากนัก  แต่ทุกสิ่งที่เธอพูด มันอยู่ในความสนใจของเขาหมด  รอยยิ้มจางๆปรากฏให้เห็นบนใบหน้าที่บึ้งตึงอยู่เสมอ ทำให้ดูอ่อนโยนกว่าที่เคยเป็น



“....แล้วจูเลียตก็ฆ่าตัวตายตามเขาไป  เนี่ยล่ะ เธอฟังแล้วคิดว่าไง” เธอเล่าจบก็หันมาถามพร้อมดวงตาที่เป็นประกาย



เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยกับคำถามที่ไม่ทันตั้งตัว แล้วก็เรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว



“เอ่อ...ก็..ดีนี่” เขาตอบอย่างลังเล อันที่จริงช่วงหลังๆเขาไม่ค่อยได้ฟังแล้ว เพราะมัวแต่มองหน้าของเธออยู่



“อะไรดี?”



“เอ่อ...คือ...ชื่อไง...เพราะมาก..เหมาะกับเจ้าสองตัวนี่ที่สุด!”  เขาพูดพลางชี้ไปที่นาฬิกาทั้งสองที่สงบปากสงบคำอย่างรู้หน้าที่



“หรอ  เธอชอบมันใช่มั๊ย  ดีจัง…อ๊ะ! ฉันต้องไปแล้วล่ะ  แล้วค่อยคุยกันใหม่นะ” เด็กสาวพูดอย่างรวดเร็วแล้วรีบลุกวิ่งไปทันที



“ดะ..เดี๋ยว!!!”  เขาตะโกนเรียกแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว



“เจ้าช้าเองนะ ไม่รู้จักรีบๆพูด” นาฬิกาหนุ่มที่เพิ่งจะได้นามโรเมโอมา กล่าวค่อนขอด



“เธอน่ารักดี..ข้าเต็มใจที่จะอยู่กับเธอนะ” นาฬิกาสาวพูดพลางยิ้มให้กำลังใจชายผู้เป็นเจ้าของ



“หุบปาก!!!” เขาเอาผ้าพันนาฬิกาทั้งสองเรือนอย่างลวกๆด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว - - ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้นาฬิกามาสอน!! แล้วหอบนาฬิกาทั้งคู่เดินจ้ำกลับหอนอนสลิธีรินไปด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง



~~*~~*~~



“คราวนี้เจ้าต้องให้เธอให้ได้นะ” นาฬิกาสาวพูดด้วยเสียงที่ดังพอให้ลอดผ้าที่พันอยู่



“เงียบ!” เขาพูดเสียงดังเกินความจำเป็น อาจเพราะความตื่นเต้นที่รุมเร้า หัวใจเต้นแรง เร็วกว่าปกติมาก เขาเดินหาเธอด้วยใจที่ระส่ำระส่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  วันจบการศึกษาใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานต้องจากกัน คงไม่เป็นไรถ้าเขาจะทำอะไรอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนตลอดเจ็ดปีบ้างสักครั้ง  เขาเดินหาเธอจนมาหยุดอยู่ที่ริมทะเลสาบ.... 



“!!!?”  ใบหน้าที่บึ้งตึงตอนนี้ยิ่งบิดเบี้ยวมากกว่าเดิมด้วยความเจ็บปวด แต่หาใช่ความเจ็บปวดทางกายไม่ เขาสะบัดผ้าคลุมหันกลับอย่างรวดเร็วแล้วเดินจ้ำเข้าสู่ปราสาททันที



“เจ้าเจอเธอมั๊ย” นาฬิกาสาวที่ยังคงไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง



“.....” ไม่มีคำตอบจากปากผู้เป็นเจ้าของ ถ้ามันจะได้ยินก็คงจะมีแต่เสียงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บแค้น



เด็กหนุ่มจมูกตะขอเดินจ้ำพร้อมกับจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ภาพอดีตค่อยๆไหลเข้าสู่สมองเหมือนหนังที่เล่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง ภาพบาดตาที่เขาพึ่งพบ  ภาพเก่าๆที่เคยพูดคุยกับเธอใต้ต้นไม้ รอยยิ้มของเธอ ภาพที่เธอเคยช่วยเขาตอนที่โดนพวกศัตรูแกล้ง - - เจ้าพอตเตอร์!!!!



ทำไมเธอต้องจูบกับมัน อีวานส์ !!!!



~~*~~*~~



สเนปสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก  เขาหายใจหอบแล้วถอนใจเฮือกใหญ่กับความฝันสมัยที่ยังเรียนอยู่  เขาไม่ได้นึกถึงมันมานานมากแล้ว  ความเจ็บปวดในอดีตยังคงอยู่ถึงแม้คนทั้งคู่จะตายจากไปแล้ว แต่ผลผลิตแห่งความรักของทั้งสองยังคงอยู่และก่อความรำคาญให้เขายิ่งนัก  “!!!!!” เขาสบถอย่างอารมณ์เสียที่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างนี้ พลางเสยผมที่เป็นมันเยิ้มอย่างรำคาญใจก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง



~~*~~*~~



วันนี้เฮอร์ไมโอนี่ตื่นเช้ากว่าทุกวัน  เด็กสาวเดินไปตามระเบียงทางเดินที่เดินผ่านเมื่อวานนี้ ‘ก่อนเที่ยงคืนวันนี้!’ เธอจะทำได้มั๊ยนะ เมื่อวานเธอก็หาเขาตลอดช่วงบ่ายจนถึงดึก แต่ก็ไม่เจอเลย  บางทีเธออาจจะต้องถามสเนป - - นั่นคงเป็นสิ่งสุดท้าย เขาต้องไม่พูดถึงเรื่องนี้แน่! แล้วก็เรื่องที่เธอคิดมาตลอดคืน  ‘จะเป็นไปได้มั๊ยว่าสิ่งที่มัลฟอยตามหาจะเป็นจูเลียต แต่คนอย่างเขาน่ะหรอจะมาช่วยเรื่องความรักของคนอื่น เฮอะ!’

แต่ยังไงเธอก็คิดที่จะถามเขาอยู่ดีเพื่อความแน่ใจ




เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจจะไปหาจูเลียตก่อนแล้วค่อยไปหามัลฟอย.....เธอเดินคิดไปเรื่อยๆจนถึงบันไดอีกฟากหนึ่ง  เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  ประตูห้องหายไปไหน!? เมื่อวานนี้เธอร้องไห้แล้ววิ่งเข้าไปในห้อง??? - - - มันอยู่ก่อนจะถึงบันไดนี่นา เธอเดินย้อนกลับไปก็พบแต่ผนังห้องที่ว่างเปล่า เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดทันที  อย่างนี้ถึงเธอจะหาโรเมโอเจอแต่เธอก็เข้าห้องไปหาจูเลียตไม่ได้อยู่ดี! ห้องนี้ต้องมีกลไกอะไรสักอย่าง เธอครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจที่จะไปหาสเนป เพื่อขอคำตอบ...





"ตอนที่ 4: สัญญาสงบศึก"



เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับหอกริฟฟินดอร์อย่างหมดเรี่ยวแรง  ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยน้ำตาเอ่อพร้อมที่จะรินไหล  เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะทำให้บ้านของเธอต้องโดนหักคะแนนมากมายขนาดนี้  150คะแนนเสียไปเพราะคำถามที่เธอถามเขาไปเพียงคำถามเดียว - - ‘อาจารย์....รู้จัก...นาฬิกาชื่อโรเมโอกับจูเลียตรึเปล่าคะ’ - - เขาโกรธ! สเนปทุบโต๊ะดังลั่น ขวดหมึกล้มระเนระนาด ใบหน้าบูดเบี้ยวแดงก่ำ เขากำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ ‘หักกริฟฟินดอร์150 คะแนน เนื่องจากรบกวนเวลาทำงานและถามคำถามไร้สาระ!!’  แล้วเขาก็ไล่เธอออกมา - - นี่มันอะไรกัน? เด็กสาวพึมพำรหัสผ่านกับสุภาพสตรีอ้วนอย่างเหม่อลอย เธอมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อข้ามผ่านช่องประตูมาแล้วได้ยินเสียงหนึ่งเรียกเธออย่างห่วงใย...

~~*~~*~~

สเนปนั่งหลับตาอยู่ในคุกใต้ดิน  สีหน้าของเขาเจ็บปวดและเหนื่อยล้า เขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืนหลังจากความฝันนั้น  สเนปหายใจแรงๆเพื่อระงับอารมณ์ เอนหลังเงยหน้ามองเพดานอย่างหงุดหงิด  ‘ยายเด็กนั่นรู้เรื่องนาฬิกาได้ไงนะ’ ภาพความหลังที่เจ็บปวดค่อยๆกลับมา เขาแค่นหัวเราะ ‘ คงจะตามหานาฬิกาผู้หญิงล่ะสิ  หายังไงก็ไม่มีทางเจอ’ ยังไงเขาก็ไม่มีวันบอกแน่ว่าห้องนั้นมันเข้าได้ยังไง  ไม่มีวัน!



~~*~~*~~



“เฮอร์ไมโอนี่..”



“รอน..”  เด็กสาวมองหน้าเพื่อนชายด้วยความงุนงงปนสงสัย  วันนี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติจนน่าแปลกใจ



“เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง อาจเพราะใบหน้าของเธอตอนนี้ดูไม่ดีเลย ดวงตาแดงก่ำเหมือนกับจะร้องไห้



“ไม่...เป็น..”  เด็กสาวกล้ำกลืนถ้อยคำที่เหลือลงไปพร้อมกับเสียงสะอื้น  



“เธอ..เป็นอะไร” รอนตกใจที่เห็นเธอร้องไห้ออกมา เขาละล่ำละลักพาเธอไปนั่งที่เก้าอี้ตัวใกล้ๆ 



“ใครทำเธอ!”  เขาพูดเสียงเข้ม 



“เล่าให้ฉันฟังได้มั๊ย” เสียงของเขาอ่อนลงเจือความเป็นห่วงไว้อย่างชัดเจน  เด็กสาวพยักหน้าเป็นคำตอบ  เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง



“ไอ้บ้า สเนป!!” รอนตะโกนออกมาอย่างโมโหเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ



“มันไม่ได้ทำอย่างอื่นใช่มั๊ย”



“เปล่า”  รอนยิ้มออกมานิดๆ  เฮอร์ไมโอนี่เช็ดคราบน้ำตาด้วยหลังมือ เธอรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว เด็กสาวยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ รอนมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนแล้วเอื้อมมือออกมา....



“อรุณสวัสดิ์ รอน เฮอร์ไมโอนี่”  เสียงแฮร์รี่ดังขึ้น  รอนชักมือกลับทันที



“อรุณสวัสดิ์ แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ทัก พร้อมกับรอยยิ้ม



“อรุณสวัสดิ์” รอนพูดพร้อมกับยิ้มเก้อๆ ตอนนี้หน้าเขาเป็นสีชมพู  แฮร์รี่มองอย่างงงๆ แต่เมื่อเขามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ก็ขมวดคิ้ว



“เธอร้องไห้หรอ เฮอร์ไมโอนี่”  เขาถามอย่างตกใจ แล้วมองหน้าเพื่อนทั้งสองอย่างต้องการคำตอบ



รอนกับเฮอร์ไมโอนี่มองหน้ากันแล้วยิ้ม



“เดี๋ยวฉันจะเล่าให้นายฟังระหว่างทางไปห้องโถงใหญ่ละกัน”



~~*~~*~~



“สเนป! บ้าไปแล้ว!!” แฮร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองหลังจากได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากรอน



“ใช่” เฮอร์ไมโอนี่เห็นด้วย  ตอนนี้เธอไม่เศร้าอีกแล้วถึงเธอจะเสียใจที่ทำให้บ้านต้องเสียคะแนนแต่เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่ได้ตำหนิเธอเลย  พวกเขาช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ



“แต่ที่เขาโกรธ ก็ทำให้ฉันรู้ล่ะว่าเขาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาบอกเราไม่ได้” เฮอร์ไมโอนี่วิเคราะห์อย่างใช้ความคิด



“ฉันว่าถึงบอกได้สเนปก็ไม่บอกหรอกน่า” รอนท้วง  เด็กสาวนิ่วหน้ามองเขา



“เธอบอกว่าเดินไปดูอีกทีห้องก็ไม่อยู่แล้วหรอ” แฮร์รี่ถาม



“ใช่”



“จะเป็นไปได้มั๊ยว่าห้องมันย้ายที่น่ะ”



“อ๊ะ! โธ่ แฮร์รี่ เธอทำให้ฉันกลัว...ขอให้อย่าเป็นอย่างนั้นเลย ไม่งั้นฉันหาตายเลยนะ” เด็กสาวบ่นอุบ



แฮร์รี่ยิ้มกว้าง “ เอาน่า เดี๋ยวฉันกับรอนจะช่วยหา....แต่คงได้แค่ถึงตอนเย็นนะ”



“อ่าว”



“คือ..ตอนค่ำพวกเรามีนัดแล้วล่ะ” แฮร์รี่ยิ้มแหยๆ รอนทำหน้าสยดสยอง “กับฟิลช์น่ะ  เมื่อคืนเราแอบออกไปช่วยเธอหาแล้วโดนฟิลช์จับได้”



เฮอร์ไมโอนี่ตาโต “หา!พวกเธอ...โดนกักบริเวณกับฟิลช์หรอ” เฮอร์ไมโอนี่โพล่งออกมา ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ 



“เธอไม่ต้องย้ำก็ได้น่า” แฮร์รี่บ่น 



“ขอโทษ” เธอพูด ยิ้มเจื่อนๆ  แล้วเดินไปดักหน้าเพื่อนทั้งสองคน 



“ฉันขอบใจพวกเธอมากนะที่ช่วย  แล้วก็คืนนี้ระวังตัวด้วยนะ ฟิลช์คงโมโหมากที่เดียวแหล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้าง



แฮร์รี่กับรอนยิ้มไม่ออก  ได้แต่ยิงฟันให้  คืนนี้ของพวกเขาคงเหมือนตกนรกแน่ๆ



“งั้นเวลาพักเราแยกย้ายกันหานะ  เดี๋ยวคืนนี้ฉันจัดการเอง  แต่ก็ภาวนาให้เจอก่อนที่จะค่ำเถอะ” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเมื่อนึกถึงเวลาที่น้อยลงทุกที



~~*~~*~~



หลังจากเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์แล้ว สามสหายก็แยกย้ายกันไปหาตามห้องต่างๆ เฮอร์ไมโอนี่ย้ำลักษณะของนาฬิกาทั้งสองให้แฮร์รี่และรอนฟังหลายรอบจนทั้งคู่จำได้ขึ้นใจ  เด็กสาวรู้สึกหนักใจมากขึ้นทุกขณะเพราะเวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ตอนนี้เธอยังหาไม่เจอทั้งโรเมโอทั้งจูเลียต  แล้วเวลาพักก็หมดลง สองคาบต่อไปพวกเธอต้องเรียนวิชาปรุงยากับสเนป  เด็กสาวไม่อยากคิดเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง - -  ลางร้ายได้เริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่งแล้ว



“หักกริฟฟินดอร์ 30 คะแนน  เนื่องจากเป็นตัวอย่างแย่ๆในการเข้าเรียนสาย” สเนปพูดขึ้นเมื่อพวกเธอก้าวเข้าห้องช้าไปไม่ถึงนาที  รอนพึมพำอะไรสักอย่าง แฮร์รี่มองสเนปอย่างเกลียดชัง เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้งตึง ทั้งสามเดินไปที่นั่งกันอย่างเงียบกริบ



“แล้วนี่ มิสเตอร์มัลฟอยหายไปไหน” 



แครบกับกอยล์มองหน้ากันเลิกลั่ก  พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายหายไปไหน



“อ่ะ ..เอ่อ  มัลฟอย  มัลฟอยไม่สบายครับ” แครบพูดออกมาอย่างยากลำบาก กอยล์ถอนใจโล่งอก



“งั้นรึ ไม่เป็นไร” สเนปพูดแล้วเดินไปบริเวณของกริฟฟินดอร์  รอนหันหน้าไปอีกทางเบะปากอย่างรังเกียจ



บรรยากาศภายในห้องเป็นไปอย่างตึงเครียด สเนปยังคงหาเรื่องหักคะแนนกริฟฟินดอร์อย่างต่อเนื่อง และในครั้งนี้ดูเขาจะจับผิดเฮอร์ไมโอนี่เป็นพิเศษด้วย



“มิสเกรนเจอร์ เธอแล้งน้ำใจปล่อยให้ลองบัทท่อมปรุงยาผิดได้ยังไงกัน  หักกริฟฟินดอร์10คะแนน” 



เฮอร์ไมโอนี่เหวอ ครั้งนี้เธออุตส่าห์สงบปากสงบคำกว่าทุกครั้งแล้วนะ แต่สเนปก็ยังไม่วายหาเรื่องเธออีกจนได้  เธอกัดริมฝีปากแน่น หันไปหาเนวิลล์แล้วสอนเขาเบาๆ



“แล้วนี่ใครใช้ให้เธอบอกเขา  หักกริฟฟินดอร์ 5 คะแนน โทษฐานสู่รู้”  สเนปแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย



“ฉันคงต้องอบรมเธอสักหน่อยแล้วมิสเกรนเจอร์  วันนี้เธอทำให้บ้านของเธอต้องถูกหักคะแนนไปมากเหลือเกิน   กักบริเวณหนึ่งคืน!”



เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้ง  กักบริเวณ! ให้ตายสิ! สเนปตามจองล้างจองผลาญเธอไม่เลิก  เขารู้!ว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว  จงใจแกล้งกันชัดๆ!! เฮอร์ไมโอนี่จ้องเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ  แฮร์รี่กับรอนปลอบเธอเบาๆให้ใจเย็นๆ  พลางส่งสายตาเกลียดชังไปยังสเนปและเด็กบ้านสลิธีรินที่ส่งเสียงเฮรับ



ในที่สุดคาบเรียนที่แสนทุกข์ทรมานของเด็กกริฟฟินดอร์ก็จบลง  เฮอร์ไมโอนี่เดินหน้าบูดออกจากคุกใต้ดิน  ปากบ่นพึมพำไปตลอดทาง  แฮร์รี่กับรอนได้แต่ชำเลืองมองเพื่อนสาวเป็นระยะๆ  พวกเขายังไม่กล้ากวนใจเธอตอนนี้ เพราะอาจตายได้  แต่อารมณ์ของผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง  เฮอร์ไมโอนี่หันขวับมาพูดกับทั้งสองอย่างรวดเร็ว



“แฮร์รี่ รอน ฝากด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปหาต่อทางฝั่งโน้น” ท่าทางของเธอเปลี่ยนจากหมีอารมณ์บูดมาเป็นหมีขยันขันแข็งทันทีจนเพื่อนทั้งสองตามอารมณ์แทบไม่ทัน



“เดี๋ยว เฮอร์ไมโอนี่  ไม่เป็นไรแน่นะ เธอน่ะ” รอนถามก่อนที่เธอจะวิ่งไป



เด็กสาวหันมามองอย่างงงๆ แล้วก็ยิ้มให้เขา “ฉันจะไม่อ่อนแอ แล้วถ้าพวกเราหาโรเมโอกับจูเลียตเจอล่ะก็ สเนปก็จะแพ้  ถึงเขาจะกักฉันไว้ทั้งคืนยังไงก็ไม่เป็นผล” เธอพูดด้วยสายตามุ่งมั่น



“งั้นเจอกันตอนมื้อค่ำเลยนะ” พูดจบเธอก็วิ่งออกไป  แฮร์รี่กับรอนโล่งใจที่เห็นเธอไม่คิดมาก พวกเขาคุยกันนิดหน่อยแล้วแยกย้ายกันไปหาตามที่ที่ได้ตกลงกันไว้



~~*~~*~~



อันที่จริงแล้ว ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นกับแฮร์รี่และรอนก็เถอะ  แต่ตัวเธอเองรู้ดีว่ามันยากเหลือเกิน ตอนนี้เธอเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงก่อนไปหาสเนปกับการต้องหานาฬิกาสองเรือนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนในโรงเรียนที่กว้างใหญ่แห่งนี้  ห้องหับมีเป็นร้อยๆห้อง แล้วไหนจะห้องที่เคลื่อนที่ได้หรือไม่ก็ต้องมีวิธีเข้า ทางลับต่างๆ  เด็กสาวถอนใจหนักๆ เดินจ้ำไปอย่างใช้ความคิด



ตุ้บ!!



“โอ๊ย ขอโทษค่ะ”  เฮอร์ไมโอนี่ละล่ำละลักขอโทษคนที่เธอเดินชน จนไม่ได้มองว่าเป็นใคร



“นอกจากเลือดสีโคลนแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะ เกรนเจอร์”  น้ำเสียงยานคางกล่าวดูถูกแบบนี้คงมีแค่คนเดียว



“มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้ง



“เออ”



เธอกำลังจะอ้าปากต่อว่าเขาแต่ก็ชะงักไว้เพราะนึกถึงเรื่องที่สำคัญกว่า “นายก็สบายดีนี่ โดดเรียนล่ะสิ” เธอมองเขาด้วยหางตา



“อย่ามามองฉันอย่างนั้นนะ เกรนเจอร์ แล้วถึงฉันโดดเรียนมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด” เขาพูดน้ำเสียงไม่พอใจ



“นี่  นายบอกฉันได้มั๊ยว่าหาอะไรอยู่”  เฮอร์ไมโอนี่เข้าเรื่องทันทีก่อนที่อารมณ์ของทั้งสองจะบูดมากไปกว่านี้



“ไม่ได้หา”



“โกหก”



“เธออย่ามาหาเรื่องดีกว่า เกรนเจอร์ ฉันไม่มีเวลาว่างมาเสวนากับคนอย่างเธอมากนักหรอกนะ” เขาพูด ดวงตาสีซีดเป็นประกายสื่อถึงอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่น



เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ เธอเองก็ไม่ได้ว่างรึว่าอยากคุยกับเขามากนักหรอกนะ 



“นายหานาฬิกาสีขาวอยู่รึเปล่า” เธอกลั้นใจถามออกมาในที่สุด



มัลฟอยจ้องหน้าเด็กสาวด้วยความสนเท่ “เธอรู้ได้ยังไง เกรนเจอร์”



เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มและร้องออกมาด้วยความดีใจ “เป็นความจริงหรอ มัลฟอย ไชโย!!”



“ไหน..โรเมโออยู่ที่ไหน มัลฟอย”  เธอถลาไปจับแขนเขาเขย่าอย่างลืมตัว



“โรเมโอ??” มัลฟอยทวนคำงงๆ  เขาไม่เคยรู้ชื่อของนาฬิกาเรือนนี้มาก่อน เขาเรียกโรเมโอว่า แก ตลอด และโรเมโอเองก็เรียกเขาว่าเด็กหนุ่ม



“นาฬิการูปจันทร์เสี้ยวสีแดงเพลิงไง” เธอพูดอย่างตื่นเต้น



“.....”



“ไหนล่ะ อยู่ไหน”



“เออ ก็ปล่อยก่อนเซ่” เขาพูดพลางสลัดแขนเฮอร์ไมโอนี่ที่ทำตัวเหมือนแพนซี่เข้าไปทุกที  เด็กสาวหน้าแดง พลางปล่อยมือที่เกาะเขาไว้  “ขอโทษ” เธอพึมพำ



มัลฟอยล้วงมือไปในเสื้อคลุมแล้วหยิบห่อผ้าออกมา  เขาแกะปมผ้าออก  นาฬิกาจันทร์เสี้ยวสีแดงเพลิงค่อยๆปรากฏต่อสายตาของเธอ  โรเมโอจ้องจ้องมองเธออย่างไม่วางตา



“เด็กสาว...เจ้าเจอจูเลียตแล้วหรือ”  โรเมโอเริ่มคำถามทันทีอย่างไม่รอช้า



“ใช่  ฉันเจอเธอเมื่อวานนี้ เธอเล่าให้ฉันฟังแล้วให้ช่วยตามหาคุณ ไม่นึกเลยว่าจะมาอยู่กับมัลฟอย  ฉันตามหาจนทั่วโรงเรียนเลย” เฮอร์ไมโอนี่พูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง



“เออ เจอก็ดีแล้ว ที่ไหนล่ะ เกรนเจอร์”  มัลฟอยขัดขึ้น



“เอ่อ..” เฮอร์ไมโอนี่หน้าเสีย  เธอไม่รู้จะตอบเขายังไงดีเหมือนกัน



“ไม่รู้..” เธอตอบอย่างลังเล



“เธอบ้ารึเปล่า!” มัลฟอยตะคอก



“ก็ห้องมันย้ายที่ไปแล้วนี่ ฉันไปอีกทีมันก็ไม่มีประตูแล้วจะให้ฉันทำยังไง!” เธอโต้กลับเสียงดังบ้าง



“โกหก!” 



“ฉันไม่ได้โกหก!”  เธอตะโกน หายใจหอบ ทั้งโมโหทั้งเหนื่อยในคราวเดียวกัน



“พอ!!!!” โรเมโอพูดด้วยเสียงดังมีอำนาจ



“เจ้านำทางเด็กหนุ่มไปที่นั่นได้มั๊ย เด็กสาว” เขาพูดเสียงเรียบ



“ก็ได้” เธอส่งสายตาตำหนิไปที่เขา แล้วเดินนำไป



“อ้อ มัลฟอย เอาผ้าคลุมโรเมโอไว้ด้วย ก่อนที่สเนปจะเห็น” เธอหันมาบอกเขา เสียงเคืองๆ



“สเนป ไม่มีทางว่าฉันหรอก เกรนเจอร์”  เขายิ้มเยาะ น้ำเสียงเป็นต่อ



“หึ แต่คงไม่ใช่ครั้งนี้แน่ มัลฟอย เพราะคนก่อเรื่องทั้งหมดก็คือเขา” 



“หมายความว่าไง”



“ก็หมายความว่า เจ้าของที่เอาโรเมโอกับจูเลียตแยกกันไปซ่อนไว้จนเราหากันหูตาเหลือกน่ะก็คือเขา” เฮอร์ไมโอนี่พูดโกรธๆ



“บ้าเอ๊ย สเนปทำไปทำไมน่ะ” เขาถามอารมณ์เสีย



“พวกเจ้ารู้จักเซเวอรัสด้วยอย่างนั้นรึ” โรเมโอพูดขึ้นบ้าง



“ใช่ เขาเป็นอาจารย์ของเราเอง”



“เจ้านั่น ยังอยู่ที่นี่อีกรึนี่ ข้าจะฆ่ามัน”  น้ำเสียงของเขาเหี้ยมเกรียม



“ฉันเข้าใจ  แต่ว่าคุณควรรีบไปเจอจูเลียตดีกว่า ดังนั้นคุณต้องหลบก่อนนะ ถ้าไม่อยากมีปัญหา” เธอพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองมัลฟอย



“นายเอาผ้าคลุมเขาก่อน แล้วเดี๋ยวฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังระหว่างทาง” เฮอร์ไมโอนี่เตือนเขาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้พยักหน้ายอมทำตามแต่โดยดี



~~*~~*~~



“สเนปอกหักเรอะเนี่ย” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากเธอ



เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วมองเขาอย่างตำหนิ



“อะไร” เขาถาม



“เปล่า  แล้วนี่นายกินยาผิดรึไงล่ะถึงได้ช่วยเรื่องความรักของคนอื่นได้น่ะ” 



“เฮอะ ฉันโดนเจ้านี่สาปตะหากเกรนเจอร์  ไม่งั้นฉันไม่ยุ่งหรอก” เขาพูดพลางเบะปาก 



“ตรงนี้แหล่ะ” เธอชี้ให้เขาดูตรงผนังห้องว่างเปล่าที่เคยมีประตูบานหนึ่งอยู่  มัลฟอยจ้องผนังห้องอย่างใช้ความคิด



“มัลฟอย” เขาหันมาหาเธอ ขมวดคิ้ว 



“เรามาสงบศึกกันก่อนมั๊ย เผื่ออะไรมันจะดีขึ้น ยังไงเราทั้งคู่ต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือช่วยพวกเขา”



“เปล่า..ฉันไม่ได้อยากช่วยซะหน่อย เกรนเจอร์” เขามองเธอด้วยสายตาดูหมิ่น



เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากแน่น เธอยื่นมือไปให้เขา คิดในใจว่าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเขาไม่จับก็ไม่ต้องมาดีกัน - - หนึ่ง - - สอง - - สะ...เขายื่นมือมาจับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก  เธอยิ้มอย่างโล่งใจ



“ก็แค่ตอนนี้นะ เกรนเจอร์” เขาพูดเสียงยานคางแบบรำคาญๆแต่มือยังคงจับมือของเธอไว้ไม่ยอมปล่อย ‘นิ่มดีแฮะ’ เขาคิดขณะก้มมองมือบอบบางที่อยู่ในมือแข็งแกร่งของเขา



“รู้แล้วน่ะ” เธอพูด พยายามจะชักมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผล เขายิ้มเจ้าเล่ห์  ยกมือเธอขึ้นพร้อมกับประทับริมฝีปาก เฮอร์ไมโอนี่ตกตะลึง  เธอดึงมือกลับมาแล้วไปซ่อนไว้ข้างหลัง ใบหน้าแดงก่ำ



“ทำอะไรของนาย!” เธอแหว พลางเช็ดมือกับเสื้อคลุม



“อ่าว..เธอเป็นคนขอดีกับฉันเองนะ เกรนเจอร์” เขาเลิกคิ้วกวนๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้



“ฉันหมายถึงเราไม่ต้องทะเลาะกันตะหากเล่า!”



“งั้นเธอก็อย่าโกรธเพราะเรื่องแค่นี้สิ เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันไง” 



เฮอร์ไมโอนี่กลอกตา “ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว  อ๊ะหมดเวลาแล้วนี่ โถ่ มัลฟอย เพราะนายคนเดียว”  เด็กสาวบ่น  คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน



“อะไรกัน มื้อเย็นยังพอมีเวลานี่” เด็กหนุ่มดูนาฬิกาแล้วมองเธองงๆ



“ฉันโดนสเนปกักบริเวณ” เธอพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก  มัลฟอยอ้าปากค้าง



“ฉันไปถามเขาเรื่องโรเมโอกับจูเลียต  เขาไม่ยอมบอกแถมยังขัดขวางฉันอีกต่างหาก” เด็กสาวพูดอย่างหงุดหงิด



“นี่ฉันต้องหาคนเดียวเหรอเนี่ย” เขาบ่น



“แฮร์รี่กับรอนก็ช่วยหาด้วย ไม่แน่ว่าเขาอาจหาเจอแล้วก็ได้ เรานัดกันไว้ที่ห้องโถงใหญ่”



“เฮอะ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าพวกนั้นสักนิด” เขาพูดเสียงดูถูก เออร์ไมโอนี่ฉุนกึก



“นั่นมันเรื่องของนาย เวลาก็ไม่มีแล้วยังเรื่องมากอีก ขอให้โดนคำสาปจนตายไปเลย” เธอพูดใส่อารมณ์แล้วเดินจ้ำหนี




“เธออย่ามาแช่งฉันนะ เกรนเจอร์”  เขาตะโกนไล่หลังเฮอร์ไมโอนี่ที่วิ่งเอามืออุดหูหนีไปแล้ว




"ตอนที่ 5: ห้องแห่งน้ำตากับช่วงเวลาแห่งรัก"



“ฉันเจอโรเมโอแล้วล่ะ แฮร์รี่ รอน!” เฮอร์ไมโอนี่วิ่งมาที่โต๊ะอาหาร พูดอย่างดีใจ รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์



“อิงอ๋อ เอออี้ไอ๋อ่ะ” รอนถามทั้งอาหารเต็มปาก  เฮอร์ไมโอนี่ส่งสายตาตำหนิไปให้เขา



“ที่มัลฟอย” เธอตอบเสียงเรียบ



แฮร์รี่สำลักน้ำฟักทอง รอนรีบเอามือปิดปากก่อนที่อาหารจะพุ่งใส่หน้าของแฮร์รี่ เขาไอเสียงดัง



“อะ อะไรนะ เธอว่าอะไรนะ” รอนถามหลังจากที่พยายามกลืนอาหารทั้งหมดลงไปแล้ว



“ฉันบอกว่า ฉันเจอโรเมโอที่มัลฟอย เรื่องอื่นไว้คุยทีหลังละกันนะ พวกเธอเจอจูเลียตมั๊ย” เฮอร์ไมโอนี่ถามร้อนรน



“ไม่เจอเลย ขอโทษนะ” แฮร์รี่พูด เขารู้สึกผิดหวังที่ทำไม่สำเร็จ



“ฉันก็ไม่เจอ” รอนตอบทำหน้าเชิงขอโทษ



เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มแห้งๆ “ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ และก็ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”



“เธออย่าพูดอย่างนั้นสิ เราเป็นเพื่อนรักกันไม่ใช่หรอ” แฮร์รี่พูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ รอนพยักหน้ารับ เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้าง เธอรู้สึกประทับใจกับมิตรภาพระหว่างพวกเธอเหลือเกิน



“อ๊ะ! ฉันต้องไปแล้วล่ะ เดี๋ยวสเนปจ้องเล่นงานอีก พวกเธอก็อย่าลืมไปหาฟิลช์นะ” เธอพูดเสร็จก็ดื่มน้ำฟักทองรวดเดียว หยิบขนมปังติดมือไปหนึ่งก้อน แล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว



“ทำไมต้องเตือนด้วยนะ” รอนบ่นอุบ แฮร์รี่ถอนใจหน่ายๆ



~~*~~*~~



“มิสเกรนเจอร์  นั่นงานของเธอ” สเนปพูดขึ้นเมื่อเธอก้าวเข้ามาเหยียบคุกใต้ดิน เฮอร์ไมโอนี่มองตามสายตาเขาไปก็พบกับแมงมุมเก้าขานอนแอ้งแม้งอยู่กองใหญ่เบ้อเร่อ  เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากค้าง ถ้าให้เธอตัดขาที่เก้าของมันจนหมดนี่ล่ะก็คงไม่มีทางเสร็จก่อนเที่ยงคืนแน่ๆ เธอถอนใจหนักหน่วงแล้วเริ่มทำงานไปเงียบๆ  เด็กสาวนั่งตัดขาแมงมุมด้วยรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างมาก  เธอไม่สามารถทำอะไรได้เลย  ทั้งๆที่สเนปรู้วิธีเข้าห้องนั้นแต่เธอก็เค้นเขาไม่ได้ ทั้งๆที่เธอเคยเข้าห้องนั้นได้แล้วแต่เธอกลับเข้าอีกครั้งที่สองไม่ได้ ทั้งๆที่เธอควรจะไปตามหาจูเลียตแต่เธอกลับต้องมาตัดขาแมงมุมบ้าๆพวกนี้! ความรู้สึกผิด รู้สึกอ่อนแอประดังถาโถมใส่เธอ  เด็กสาวหลับตาอย่างอ่อนใจ...



ก๊อก ก๊อก



เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดภายในห้อง สเนปละสายตาจากงานตรงหน้าสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด



“เข้ามา”   คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก



“มีอะไรมิสเตอร์มัลฟอย”



“ผมอยากมาถามเรื่องที่เรียนไปวันนี้ครับ” เขาพูดเสียงราบเรียบ



“ทำไมมาดึกดื่นป่านนี้”



“เวลาอื่นผมเกรงว่าคงต้องซ้อมควิชดิชครับ”



สเนปพยักหน้า “มิสเกรนเจอร์ มาสอนเรื่องที่เรียนไปวันนี้ให้มิสเตอร์มัลฟอยซิ”



เฮอร์ไมโอนี่หันมามองเขาอย่างเคืองๆ มัลฟอยนึกขำกับกองขาแมงมุมของเธอ แต่พอสเนปหันมาเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม



“ทำไมนายไม่รีบไปหาจูเลียต” เฮอร์ไมโอนี่กัดฟันพูดเสียงเบาขณะหยิบรากเดซี่ให้ยื่นเขา  ทั้งคู่ยืนปรุงยาอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าห่างจากสเนปไม่มากนัก



“ฉันไม่มีข้อมูลเลย เกรนเจอร์ มันยากมากที่จะหาเจอ” เขากระซิบตอบพลางหั่นรากเดซี่



“ลองคิดซิว่าตอนนั้นเธอทำอะไรบ้าง ประตูบ้านั่นถึงโผล่มาน่ะ” 



เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก เธอไม่อยากบอกเขาเลยว่าตอนนั้นเธอทำอะไรถึงต้องวิ่งโร่เข้าห้องนั้น



“ว่าไง” เขาถามซ้ำอีก



“ฉัน....” เธอก้มหน้าอ้อมแอ้มเสียงเบา “ตอนนั้นฉันวิ่ง.....และก็ร้องไห้” เธอกระซิบประโยคหลังเสียงเบากว่าเดิม



มัลฟอยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย  ใช่..เธอร้องไห้ เขาจำมันได้ดีเพราะเขาเองที่เป็นต้นเหตุของน้ำตาของเธอ - - น้ำตา??



“ใช่...บางทีอาจจะเป็นนั่นก็ได้เกรนเจอร์” เขากระซิบน้ำเสียงตื่นเต้น



“อะไร” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาที่หันมาสบตากับเธอ



“น้ำตา”



เด็กสาวมองหน้าเขาคิ้วขมวด “เป็นไปไม่ได้หรอกมัลฟอย”



“ทำไม” เด็กหนุ่มเริ่มมีอารมณ์จนลืมตัวไปว่าต้องกระซิบตอบ  เสียงดังไปเข้าหูสเนปจนเขาเงยหน้าขึ้นมามอง



“ทำไมถึงสอนแย่อย่างนี้เกรนเจอร์ เธอแกล้งฉันรึไง” เขาโวยวาย  สเนปหน้าบึ้งตึง ดูเขาหงุดหงิดมากขึ้นอีก  “หักกริฟฟินดอร์ 5 คะแนน ทำตัวดีๆหน่อยมิสเกรนเจอร์” พอได้หักคะแนนเด็กกริฟฟินดอร์ดูเขาจะอารมณ์ดีขึ้นเลยทำงานต่อได้ 



เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้งมองสเนปแล้วกลับมาค้อนมัลฟอยที่ยืนคนน้ำยาในหม้อ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้



“นี่....นายคิดว่าน้ำตาสามา..” เธอพูดค้างไว้เพราะนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นพอดี  ผนังว่างเปล่าตรงนั้นเธอเคยวิ่งผ่านมันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  นอกจากครั้งนั้นที่เธอวิ่ง...ร้องไห้...  - - ‘ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนนะ!?’



“อาจจะจริงของนาย” เธอยอมรับเสียงค่อย



“ยังไงก็ต้องลองดูเกรนเจอร์ ไม่มีเวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเครียด



“อืม” เธอพยักหน้า



“ศาสตราจารย์สเนปครับ  เสร็จแล้วครับ”  มัลฟอยหันไปพูดกับสเนป  เขาเดินมาตรวจน้ำยาสีเหลืองนวลอยู่ครู่หนึ่ง



“เยี่ยมมากมิสเตอร์มัลฟอย” เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างพอใจ



“มิสเกรนเจอร์ ไปทำงานของเธอต่อได้แล้ว” สเนปพูดเสียงเย็นชา 



แล้วเสียงดัมเบิลดอร์ก็ดังขึ้น “ศาสตราจารย์สเนป มาพบฉันที่ห้องหน่อย” ช่างเป็นเหมือนเสียงสวรรค์เหลือเกิน  อิสรภาพกำลังกลับมาหาเธออีกครั้งหนึ่ง  เฮอร์ไมโอนี่แอบยิ้มอย่างดีใจ



“มิสเตอร์มัลฟอย  เฝ้ามิสเกรนเจอร์ไว้ ห้ามให้เธอใช้เวทมนตร์เด็ดขาด” 



“ได้ครับ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ พอคล้อยหลังสเนปไปแล้วมัลฟอยก็ร่ายคาถาใส่กองแมงมุมพวกนั้น  ขาที่เก้าของพวกมันหลุดลอยไปรวมกับกองที่เฮอร์ไมโอนี่ตัดไว้อย่างรวดเร็ว 



“นี่นาย!” เฮอร์ไมโอนี่อึ้ง



“เขาห้ามเธอใช้คนเดียวนี่ เอาล่ะ ไปกันได้แล้วเกรนเจอร์” พูดจบเขาก็ลากเฮอร์ไมโอนี่ไปทันที



เด็กสาวตามเขาไปอย่างไม่ขัดขืน จริงๆเธอรอเวลาที่จะเป็นอิสระจากคุกใต้ดินมานานแล้ว  เธอแอบนึกเล็กๆว่าดัมเบิลดอร์อาจจะจงใจช่วยเธอก็เป็นได้ เด็กสาวเหลือบมองนาฬิกาแล้วถอนใจ  เวลาเหลือไม่มากอย่างที่มัลฟอยว่าจริงๆ  สเนปทำเกือบสำเร็จ เขากักตัวเธอไว้ได้นานเหลือเกิน เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแต่อุปสรรคช่างมากมาย ทั้งฟิลช์ สเนป และยังไม่รู้ว่าข้อสันนิษฐานของมัลฟอยจะถูกรึเปล่า แต่หากเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ห้องนั้นก็ต้องเป็น...



~~*~~*~~



‘ห้องแห่งน้ำตา’ 



จู่ๆสเนปก็นึกถึงห้องนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล  มันเป็นที่ที่เขาเอานาฬิกาสาวไปซ่อนแล้วลงคาถาติดแน่นไว้ เขาไม่ต้องการให้ใครมาเจอมันอีก เพื่อฝังอดีตอันขมขื่นที่เขาไม่อยากยอมรับ - - เขาร้องไห้ - -  ไม่!! ที่จริงมันยังไม่ใช่การร้องไห้  มันก็แค่มีน้ำตาคลอเพราะความเจ็บใจเท่านั้น....เท่านั้นเอง



สเนปสะบัดหัวแรงๆไล่ความคิดฟุ้งซ่าน เขายิ้มเยาะกับความรักที่ไม่มีทางสมหวังของนาฬิกาทั้งคู่แล้วไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีกเลย



~~*~~*~~



เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยวิ่งลัดเลาะไปตามทางเดินที่ปราศจากผู้คน ทั้งคู่วิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะต้องคอยระวังเสียงที่เกิดขึ้น  เวลาดึกดื่นขนาดนี้ไม่ใช่เวลาที่นักเรียนจะออกจากหอนอนมาเดินเล่นหากไม่อยากต้องเจอประสบการณ์สยดสยองกับฟิลช์  ความเงียบทำให้แม้แต่เสียงฝีเท้าเบาๆก็กลายเป็นเสียงดังได้  ทั้งคู่ระวังตัวมากขึ้นเพราะไม่อยากจะโดนจับได้ตอนนี้   ระยะทางใกล้เข้ามาทุกที แต่เวลาที่เหลือน้อยก็กระชั้นเข้ามาเช่นกัน   ทุกอย่างเหมือนราบเรียบไม่มีอุปสรรคอย่างที่คิดหวังไว้  ที่เหลือก็แค่เพียงเธอวิ่งไปร้องไห้หน้าห้องนั้นเท่านั้น แล้วจูเลียตกับโรเมโอก็จะได้อยู่ด้วยกัน  เธอคิดในใจชื้นขึ้นทุกขณะ ความสำเร็จอยู่ตรงหน้าแค่เอื้อมเท่านั้น ขอแต่อย่ามีอุปสรรคใดๆรออยู่ข้างหน้าก็พอ...



แต่ใครจะรู้...



ทั้งคู่พยายามวิ่งให้เสียงเบาที่สุดเพื่อที่ฟิลช์จะได้ไม่ได้ยิน  เหลือเพียงแค่ขึ้นบันไดไปชั้นบนนั่นเท่านั้น เด็กสาวเงยหน้ามองปลายทางเต็มเปี่ยมด้วยความหวังในใจ 



แกร๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



ทันใดนั้นเองชุดเกราะที่อยู่ตรงหน้าทั้งคู่ก็ล้มลงระเนระนาดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณทางเดินที่เงียบเชียบ  ตามด้วยเสียงหัวเราะโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง



พีฟส์!!!!



เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดเผือดจ้องเจ้าผีเกเรอย่างใจหาย มันขว้างปาข้าวของและเอาของมากั้นไม่ให้เธอและมัลฟอยขึ้นไปได้



“ไอ้ผีบ้า แกไปไกลๆเลยนะ”  มัลฟอยตะโกนอย่างโมโห



“แบร่ๆๆๆ ไอ้เด็กซีด  ไม่ยอมนอน  ฉันจะให้ไอ้บ้านั่นมาจัดการแก แบร่ๆๆๆ”  มันพูดกวนโมโหไม่หยุด ลอยตีลังกาไปมาอย่างอวดดี



“ฉันจะฟ้องบารอนเลือด!!!”  เขาขู่ในสิ่งที่พีฟส์กลัวที่สุด  ผีประจำบ้านสลิธีรินนั่นเอง



“เชอะ! คิดว่ากลัวเรอะ ไอ้เด็กซีดขี้ฟ้อง  แบร่ๆ” ถึงมันจะพูดอย่างนั้น แต่มันก็หัวเราะเสียงดังแล้วไปก่อกวนทำเสียงดังทางอื่นแทน



มัลฟอยพาเฮอร์ไมโอนี่ทุลักทุเลขึ้นบันไดไปชั้นบนได้จนสำเร็จ  เขาหยิบโรเมโอออกจากเสื้อคลุมแล้วละล่ำละลักแกะผ้าออก  เขาดูเข็มนาฬิกาเดินอย่างร้อนใจเวลาที่มีค่าของเขาได้เสียไปกับผีบ้านั่นมากเหลือเกิน  เด็กหนุ่มได้ยินเสียงฟิลช์ตะโกนอยู่ไม่ไกลนัก แต่นี่ไม่ใช่เวลามากลัวเสียงดังอีกแล้ว เขาลากเธอออกวิ่งทันที



ทั้งคู่พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดที่จะทำได้  ความรักที่ยิ่งใหญ่ของนาฬิกาคู่หนึ่งอยู่ในมือของเธอและเขา  แต่คงมีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้น....



คำพูดของจูเลียตที่เคยพูดกับเธอแว่บผ่านเข้ามาในความนึกคิด ‘หัวใจรักสองดวงบังเกิดขึ้นท่ามกลางเส้นขนาน  ต่างโอบอุ้ม ประคับประคอง แต่มิได้ครอบครอง  หากเพียงแค่นี้ก็สุขใจที่ได้รัก...’



~~*~~*~~



จูเลียตอยู่เดียวดายในห้องแห่งน้ำตาร้องไห้อย่างหมดหวัง  เธอหลับตาลง ทำใจยอมรับในโชคชะตาของเธอและเขา  วันเวลาที่หมุนผ่านไปเธอขอจดจำมันไว้ด้วยจิตวิญญาณ  ความรักครั้งนี้ถึงแม้จะไม่สมหวังแต่เธอไม่เสียใจเลยที่ได้รัก...เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เสียงเข็มวินาทีขยับแต่ละครั้งเหมือนร่ำร้องเสียงร่ำไห้ที่รวดร้าว- -  อีกเพียงนาทีเดียวเท่านั้น - - 



“ข้ารักเจ้า โรเมโอ....ข้ารักเจ้า....” หยดน้ำตาไหลรินเป็นทางสะอื้นเสียงร่ำร้องครั้งสุดท้ายในชีวิต เธอขอเพียงแค่ได้พบเขาอีกครั้งก็พอแล้ว...  



“โรเมโอ  โรเมโอ  โรเมโอ....โรเมโอ...โร....เม...โ...อ”



ห้องแห่งน้ำตาเงียบสงัดลงอีกครั้ง ในความมืดมิด ในความเดียวดายที่อ้างว้าง หัวใจรักดวงหนึ่งได้จากไปอย่างสงบพร้อมกับความรักที่จะอยู่กับเธอตลอดไป...



~~*~~*~~



“กำแพงตรงนั้น มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดร้อนรน ทั้งคู่วิ่งมาอย่างไม่กลัวเสียงดังอีกแล้ว  มัลฟอยวิ่งเต็มกำลัง เขาเหลือบมองเข็มวินาทีเดินไปเลขห้าอย่างเป็นกังวล



“แก...เดินช้าๆหน่อยเซ่!”  เขาพูดอย่างหงุดหงิดทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้



โรเมโอหลับตาลงอย่างปวดร้าว...เขาสงสารจูเลียตจับใจที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายในห้องนั้น หยดน้ำตาไหลออกมาช้าๆจากดวงตาที่แข็งกร้าว “ขอบใจ เด็กหนุ่ม” เขาพึมพำ  ตัวเลขหนึ่งที่ข้อมือขวาของมัลฟอยค่อยๆจางลงๆแล้วเลือนหายไปในที่สุดโดยที่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว



“ปัดโถ่ว๊อยย” มัลฟอยเร่งฝีเท้าขึ้นอีก  เขายืนหอบอยู่หน้าผนังที่เคยเป็นที่ตั้งของประตูบานนั้น ยกมือกุมซี่โครงที่เจ็บจี๊ดทุกครั้งจากการเหนื่อยหอบหายใจแรงๆ



“เร็วเข้า เกรนเจอร์!”



“ข้า...” เสียงของโรเมโอขาดห้วง - - - 



“ถึงแล้ว!” เฮอร์ไมโอนี่น้ำตาคลอ หันไปหาเขา



“รัก..” 



“เจ้า......จู...เลีย..ต”  โรเมโอพยายามที่จะกล่าวประโยคนี้ออกมาจนสำเร็จในวินาทีสุดท้ายของชีวิต



ไม่ทันแล้ว...



โรเมโอเงียบเสียงลงและหยุดเดิน เข็มทั้งสามหยุดอยู่ที่เลขสิบสอง   เฮอร์ไมโอนี่พูดอะไรไม่ออก  เธอเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน มัลฟอยมองนาฬิกาเรือนแดงในมือนิ่ง  แล้วหันไปมองเด็กสาวที่ร้องไห้เสียใจอย่างสับสน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ โอบกอดเธอไว้  บานประตูห้องค่อยๆปรากฏขึ้น  ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องที่เงียบเชียบ “ลูมอส” แสงสว่างส่องให้เห็นนาฬิกาสีขาวที่หยุดเดินอยู่บนผนัง เธอสงบนิ่งกลายเป็นนาฬิกาที่ตายแล้วเรือนหนึ่ง  ทั้งคู่มองเธออย่างใจหาย คราบน้ำตายังคงเกาะอยู่ที่ตัวเรือนสีขาว เฮอร์ไมโอนี่สะอื้นเสียงดัง  มัลฟอยนำโรเมโอขึ้นไปประกบกับจูเลียต ทั้งคู่รวมกันกลายเป็นวงกลมดวงหนึ่ง ดูราวกับโรเมโอโอบกอดจูเลียตเอาไว้ ทันใดนั้นร่างของนาฬิกาทั้งสองเรือนก็ฉายแสงสีชมพูวูบใหญ่แล้วกลายเป็นดวงไฟสีชมพูเล็กๆลอยนิ่งอยู่ ดวงไฟขยับเล็กน้อยเหมือนจะกล่าวขอบคุณก่อนที่จะลอยทะลุผนังห้องออกไป  มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่มองตามดวงไฟสีชมพูไปอย่างใจลอย  แล้วทั้งคู่ก็รู้สึกตัวเมื่อมีอะไรบางอย่างเย็นๆมาสัมผัสแก้ม - - หิมะ?- - หิมะสีชมพูค่อยๆตกลงมาทั่วห้องที่ทั้งคู่อยู่  นี่อาจเป็นคำขอบคุณจากโรเมโอกับจูเลียตหรือไม่ก็สารจากสวรรค์ที่ต้องการจะบอกว่าคำอธิษฐานของเขาทั้งคู่กลายเป็นจริงแล้ว  อากาศค่อยๆปรับตัวเย็นลง หากแต่ภายในจิตใจของทั้งคู่กลับรู้สึกอบอุ่นมากขึ้นๆทุกที...เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้กับมัลฟอยทั้งน้ำตา  เขาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา แล้วยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นไปทั้งหัวใจ มัลฟอยหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาแล้วพึมพำคาถา ผนังห้องทึบก็กลายเป็นผนังห้องโปร่งๆเผยให้เห็นถึงทัศนียภาพภายนอกได้อย่างชัดเจน  ดวงจันทร์กลมโตทอแสงนวล รายล้อมด้วยหิมะสีชมพูที่ค่อยๆโรยตัวลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทัศนียภาพที่งดงามแปลกตาทำให้คนทั้งคู่ถึงกับตกตะลึง



“สวยจัง..” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ สายตายังคงจับจ้องกับภาพตรงหน้า



“อ๊ะ!!” เด็กสาวละสายตาจากภาพภายนอกทันทีเมื่อโดนสารท้าให้เริ่มสงคราม  เธอปัดก้อนหิมะออกจากศีรษะพลางหันไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่มที่ยืนปั้นหิมะก้อนใหม่อย่างไม่รู้ไม่ชี้



“นาย!....”



“แผล่ะ!” ก้อนหิมะสีชมพูอีกก้อนโดนหน้าของเฮอร์ไมโอนี่เต็มๆก่อนที่เธอจะพูดจบ  เธอปัดหิมะออก ใบหน้าเป็นสีชมพู  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีของหิมะรึว่ามาจากอารมณ์เคืองของเธอกันแน่



“ฮ่าๆๆๆ” เขาหัวเราะเสียงดัง



“แผล่ะ!”  



เฮอร์ไมโอนี่ขว้างหิมะใส่เขาบ้าง ทั้งคู่เล่นปาหิมะใส่กันอย่างสนุกสนาน  ช่วงเวลาที่สนุกสนานผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทั้งคู่ไม่ได้นึกถึงสิ่งต่างๆที่เคยขัดเคืองต่อกัน ไม่มีกริฟฟินดอร์  ไม่มีสลิธีริน ไม่มีเลือดบริสุทธิ์ หรือว่าสีโคลน - - เป็นช่วงเวลาที่มีแค่เธอและฉัน - -เป็นช่วงเวลาที่มีเพียง‘เรา’สองคน...



“มัลฟอย...ทั้งคู่จะได้อยู่ด้วยกันใช่มั๊ย”  เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นเมื่อทั้งคู่นั่งพักดูทิวทัศน์ภายนอกด้วยกัน  ตอนนี้หิมะหยุดตกแล้วเหลือไว้แต่สรรพสิ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีชมพูเป็นประกายงดงาม



“อืม..ฉันเชื่ออย่างนั้น...เกรนเจอร์?” เขาหันมาหาเธอที่น้ำตาเริ่มเอ่ออีกครั้งหนึ่ง



“แต่...ถ้าไม่...ก็เป็นเพราะฉัน”  เธอกล่าวเสียงเบา น้ำตาไหลรินอาบแก้ม



“ไม่..ไม่ใช่เธอคนเดียว...เกรนเจอร์..แต่เราเป็น‘เรา’ต่างหากล่ะ”  เขาพูดพลางสบตากับเธอ  เฮอร์ไมโอนี่สบตาเขานิ่ง เธอไม่อาจบรรยายความรู้สึกในช่วงเวลานี้ได้เลย  ความรู้สึกดีๆที่มีเขาอยู่เคียงข้าง เฮอร์ไมโอนี่โผเข้ากอดเขาร้องไห้โฮ มัลฟอยได้แต่โอบเธอไว้ ลูบศีรษะและกระซิบเบาๆว่า ไม่เป็นไรๆ



เวลาเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุดนิ่ง ตอนนี้เป็นเวลาตีสามแล้ว เฮอร์ไมโอนี่เหม่อมองหิมะสีชมพูที่เริ่มละลาย เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เหลือไว้เพียงความทรงจำ ความรักที่ยิ่งใหญ่ของนาฬิกาทั้งสอง ปรากฏการณ์หิมะสีชมพู หรือแม้แต่เขา- - เดรโก มัลฟอยที่แสนเย็นชาและหยาบคาย คนที่เธอเคยเกลียดที่สุด แต่เขากลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ  เมื่อทุกสิ่งจบลง ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเธอกับเขาก็คงจบลงด้วยเช่นกัน เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจเบาๆ



“มัลฟอย  เรากลับกันเถอะ”



“อืม”  



มัลฟอยเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู เขาเงี่ยหูฟังเสียงภายนอกทางเดิน เมื่อไม่มีเสียงอะไรผิดปกติก็เปิดประตูแล้วก้าวออกไป - - เมื่อก้าวออกจากห้องนี้ ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงอดีต- - เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก แต่แล้วก็ค่อยๆก้าวออกนอกประตูไป เมื่อบานประตูปิดสนิทก็ค่อยๆจางหายไป  เฮอร์ไมโอนี่ยืนมองมันด้วยความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างมาบีบหัวใจของเธอ  ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในห้องนั้น และก็จบลงในนั้น พรุ่งนี้เธอตื่นขึ้นมาเธอจะเชื่อได้มั๊ยนะว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน



“เกรนเจอร์”



“อะไร”



“ฉันไปนอนล่ะนะ  เธอจะยืนดูกำแพงทั้งคืนก็เรื่องของเธอ” เขาพูดแล้วหาวนิดๆ



เฮอร์ไมโอนี่หน้ายุ่งขึ้นมาทันที - -แต่ - -  ฮ้าววว - - พอเห็นคนหาวแล้วเธอมักจะหาวตาม...อันที่จริงเธอก็ชักง่วงแล้วแฮะ  เอาเถอะๆ มันจะความจริงหรือว่าฝันเธอก็ไม่อยากสนใจแล้วล่ะ เพราะดูเหมือนเจ้าตัวเขายังไม่ใส่ใจกับมันเลยนี่นา เชอะ!



“อ่า...งั้นราตรีสวัสดิ์นะมัลฟอย” เธอพูดแล้วหันหลังเดินไป



“เกรนเจอร์”



“หืม”



มัลฟอยหอมแก้มเธอทีเผลอ เฮอร์ไมโอนี่ตะลึงทำอะไรไม่ถูกยกมือขึ้นมาจับแก้มที่เริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ



“ถอนสัญญาสงบศึกน่ะ” เขายิ้ม



“คนฉวยโอกาส!”



“อ่าว..เธอก็เหมือนกันน่ะแหล่ะ ยายหัวฟู ในห้องนั้นเธอยังมากอดฉันเองเลยนะ” 



เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง “นั่นมัน...”



“เอาล่ะๆ ...เอ้านี่” เขาพูดพร้อมกับยื่นขวดแก้วเล็กๆปิดจุกไม้ที่ใส่อะไรสักอย่างสีชมพูเอาไว้ให้ - - เมื่อเธอเห็นมันชัดถึงได้รู้ว่ามันคือหิมะสีชมพู! เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาที่ตอนนี้เป็นสีชมพูระเรื่อเช่นกัน



“รับมันไป  ถ้าเธอคิดเหมือนฉัน” เขาพูด



เด็กสาวขมวดคิ้ว “ถ้าเธอไม่บอก แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอคิดเหมือนฉันรึเปล่า”



มัลฟอยยิ้มกว้าง “เออ คิดเหมือนกันเลย” เขาพูดพลางยัดขวดแก้วที่ลงเวทมนต์ไว้ไม่ให้หิมะละลายใส่มือของเธอแล้วหันหลังเดินไปทันที



เฮอร์ไมโอนี่ยังงงๆกับเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ เธอยกขวดแก้วขึ้นมาดูแล้วอมยิ้ม  วันเวลาในอดีตถึงจะกลายเป็นความทรงจำที่อาจเลือนลางไปตามกาลเวลา แต่ของสิ่งนี้จะยึดเธอให้รำลึกถึงช่วงเวลาที่แสนดีนี้ตลอดไป...



~~*~~*~~



กาลเวลายังคงเดินทางไปเรื่อยๆ ความรักเองก็เช่นกัน เรื่องราวความรักของคนทั้งสองจะดำเนินต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนทั้งคู่  รักครั้งนี้จะเป็นรักแท้รึเปล่าก็ไม่มีใครอาจรู้ได้ เรื่องราวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำในอดีตและปัจจุบัน  เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับกลายเป็นความทรงจำในวันหน้า  ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าคู่แท้ของแต่ละคนอยู่แห่งหนใด  ต่างต้องค้นหา พิสูจน์ เรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น  เวลาและความรักจึงเดินทางเคียงคู่กันไปเพื่อเป็นบทพิสูจน์แห่งรักแท้เสมอมา...และจะตลอดไปตราบที่ในใจของหัวใจทุกดวงมีรัก..




The End

No comments:

Post a Comment