Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Wednesday, September 10, 2014

Rhythm of the Relations Series IV


Series 4 d’amour – love affair

Author: Jamy



*****1*****


"ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อย ฉันจะไปรับที่เดิม เวลาบ่ายสามโมงตรง" 

นายลูเซียส มัลฟอย สั่งลูกชายคนเดียวของเขาเสียงเฉียบ ก่อนจะสะบัดผ้าคลุม หมุนตัวเข้าไปในร้านของนายบอร์เจ็น 
ในตรอกน็อกเทิร์น เด็กชายผมสีบลอนด์แสดงสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินออกมาแต่โดยดี 
ใจเขายังอยากจะอยู่ดูสินค้าแปลกๆ ในร้านต่ออีกสักนิด แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะขัดใจพ่อบังเกิดเกล้าของเขา 

เดรโก มัลฟอย เดินออกมาจากตรอกน็อกเทิร์นอย่างเบื่อหน่าย เขาตรงไปที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกทันที 
เขานึกไม่ออกว่าเวลาที่เหลือหลังจากซื้ออุปกรณ์การเรียนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เขาจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหน
 เพราะกว่าบิดาของเขาจะจัดการกิจธุระของตนเสร็จ และมารับเขา ก็กินเวลาอีกหลายชั่วโมง 

มัลฟอยรู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะเสกคาถาแรงๆ ใส่คนขายของข้างทาง ที่กำลังคะยั้นคะยอให้เขาซื้อสินค้า
 และพยายามบรรยายสรรพคุณยาวเหยียดให้เขาฟัง เด็กชายหันไปส่งสายตาอันดุดันใส่ชายผู้นั้นจนเขาสะดุ้งสุดตัว 
และรีบถอยกรูดไปเสนอขายสินค้าให้คนอื่นแทนอย่างรวดเร็ว 

ไม่ช้ามัลฟอยก็เดินมาถึงร้านตัวบรรจงและหยดหมึก เขาก้าวเข้าไปในร้านและล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมเพื่อหยิบ
ใบรายการหนังสือที่ต้องซื้อในปีนี้ 

"สวัสดีครับคุณหนู ฮอกวอตส์ ปีห้า ใช่มั๊ยครับ" เจ้าของร้านทักด้วยอัธยาศัยอันดี แต่มัลฟอยไม่ตอบ
 เขายื่นใบรายการให้เจ้าของร้านด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เขาไม่มีอารมณ์ที่จะสนทนากับใครนัก 

"เล่มนี้ราคาเท่าไหร่คะ" เสียงใสๆ คุ้นหูดังขึ้น มัลฟอยหันไปมองอย่างแปลกใจ 

"เกรนเจอร์…" 

เด็กหญิงผมสีน้ำตาลฟูฟ่อง กำลังก้มๆ เงยๆ เลือกหนังสืออยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน เขาคาดไม่ถึงว่าจะเจอเธอในช่วงเวลานี้ 
เฮอร์ไมโอนี่หันขวับมามองเขาอย่างแปลกใจเช่นกัน 

"มัลฟอย.." เธอพูดเหมือนคราง แล้วหน้าก็เริ่มเป็นสีชมพู 

มัลฟอยมองไปรอบๆ ร้านราวกับต้องการจะสำรวจดูว่าเพื่อนคู่หูทั้งสองของเธออยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า 
เขาไล่สายตาไปจนทั่วแล้วมาหยุดลงที่เฮอร์ไมโอนี่ เขามองหน้าเด็กหญิงแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ เป็นเชิงถาม
 เฮอร์ไมโอนี่เหมือนจะเข้าใจความหมาย เธอรีบละล่ำละลักตอบ 

"ฉะ…ฉันมาคนเดียว" มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างสงสัย 

"แปลก.." เขายักไหล่เล็กน้อย มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากซีดเซียวของเขา 

"แปลกยังไง" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก 

"ก็ทุกทีเห็นเธอจะมากับพรรคพวก ช่วงใกล้ๆวันเปิดเทอมไม่ใช่เหรอ" มัลฟอยเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยนามบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น
 ‘ศัตรู’ ของเขา 

"ถ้านายหมายถึง แฮร์รี่ กับ รอน ละก็..พวกเขาจะมาช่วงนั้นเหมือนเดิมแน่ๆ ถ้าอยากเจอพวกเขา ก็มาใหม่อีกรอบสิ" 
เฮอร์ไมโอนี่ตอบโดยเน้นชื่อเพื่อนทั้งสองอย่างจงใจ เธอมองหน้ามัลฟอยอย่างท้าทาย มัลฟอยหรี่ตาลงอย่างร้ายๆ 
ก่อนจะเบะปากและเบือนหน้าหนี พอดีกับที่เจ้าของร้านจัดหนังสือตามใบสั่งซื้อเสร็จเรียบร้อย 
เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนให้มัลฟอย 

"จะฝากไว้ที่นี่ก่อนมั๊ยครับ เห็นยังมีของอีกหลายรายการที่จะต้องซื้อ" 

"ก็ดี" มัลฟอยรับคำสั้นๆ แล้วหมุนตัวออกจากร้านไปทันที 

"แล้วของคุณหนูล่ะครับ" เจ้าของร้านหันมาถามเฮอร์ไมโอนี่บ้าง 

"เอ้อ…ค่ะ…ขอบคุณมากค่ะ" เด็กหญิงตอบรับอย่างเกรงใจ เธอหันไปมองทางประตูที่มัลฟอยเพิ่งเดินออกไป
 พลางนึกแปลกใจที่คราวนี้เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอเหมือนทุกครั้ง แต่เด็กหญิงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก
 เธอยังคงดูหนังสือเล่มโน้นเล่มนี้อยู่อีกสักพัก ก็ออกมาจากร้านบ้าง ทันทีที่เธอก้าวพ้นร้าน มือๆ
 หนึ่งก็มาฉุดแขนเธอแล้วกระชากเข้าไปในช่องว่างระหว่างตึก เขาเอามือปิดปากเธอไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะหวีดร้อง
 มัลฟอยบีบปากเธอแน่นอย่างลืมตัว 

"ไม่ได้เจอกันนานนะเกรนเจอร์..นานจนเธอลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันไม่ชอบให้เธอเอ่ยชื่อเจ้าพวกนั้นต่อหน้าฉัน"
 เขาคำราม "ชอบยั่วฉันเรื่อยนะเกรนเจอร์..อยากถูกทำโทษใช่มั๊ย!" มัลฟอยหรี่ตามองเธออย่างเจ้าเล่ห์ 
แต่แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ แล้วจึงเปลี่ยนใจ ค่อยๆ คลายมือของเขาออก แล้วถามว่า 

"ซื้อของเสร็จเธอรีบไปไหนหรือเปล่า" 

เฮอร์ไมโอนี่ส่ายศีรษะ มองเขาอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก 

"ดี" เขาว่า แล้วลดมือลง 

"งั้นอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อน" 

เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย 
"ทำไม" 

"ไม่ต้องถาม ฉันจำเป็นต้องรายงานเธอทุกเรื่องเหรอ เกรนเจอร์" เขาพูดอย่างรำคาญ 

"ถ้างั้นก็เชิญนายอยู่คนเดียวแล้วกัน มัลฟอย!" เด็กหญิงตอบอย่างหงุดหงิด แล้วเตรียมจะผละจากไป 
มัลฟอยรีบรั้งแขนเธอไว้อย่างรวดเร็ว 

"เดี๋ยว!" 

เฮอร์ไมโอนี่หันกลับมามองเขาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม แต่เด็กชายกลับยังคงนิ่งไม่ตอบ 

"ถ้านายไม่พูดออกมาตรงๆ ฉันก็ไม่อยู่ด้วยแน่" เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงเฉียบ 

"เอ่อ…" มัลฟอยอึกอัก เขายืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดต่อ 

"คือ..ฉันต้องรอพ่อมารับจนถึงบ่ายสามโมงตรง" เด็กชายหน้าเป็นสีชมพูนิดๆ เขาตอบโดยไม่ได้มองหน้าเธอ 
เอานิ้วเขี่ยจมูกตัวเองเบาๆ ด้วยความเขิน รู้สึกอาย ที่ต้องบอกกับเธอว่าเขาต้องรอพ่อมารับเหมือนเด็กๆ
 เฮอร์ไมโอนี่เห็นดังนั้นก็อมยิ้ม 

"ได้สิ..ฉันเองก็ต้องรอพ่อกับแม่มารับเหมือนกัน" เธอบอกเสียงใส มัลฟอยมองหน้าเด็กหญิง อย่างน้อย..ตอนนี้เขาก็
มีอะไรทำระหว่างรอพ่อของเขาแล้ว เด็กชายยิ้มมุมปาก คว้ามือเธอมาจับไว้ แล้วออกเดินทันที เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง
 เธอรีบละล่ำละลักถาม 

"เอ่อ..มัลฟอย..นายจะไปไหน" เขาหันมามองเธออย่างเบื่อๆ 

"ก็ไปซื้ออุปกรณ์การเรียนต่อน่ะสิ หรือเธอซื้อเสร็จแล้ว" เฮอร์ไมโอนี่ส่ายศีรษะ พลางนึกน้อยใจกับท่าทางอันแข็ง
กระด้างของเขา มัลฟอยออกเดินต่อไปโดยไม่ได้ปล่อยมือจากเด็กหญิง เขาเดินเร็วจนดูเหมือนเฮอร์ไมโอนี่ถูกลาก
มากกว่าจูง เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาจนหอบแฮ่ก 

"เดี๋ยว.." เด็กหญิงพูดขึ้นในที่สุด มัลฟอยหยุดเดิน แล้วหันมาเลิกคิ้วมองเธออย่างรำคาญใจ 
เฮอร์ไมโอนี่ยืนหอบอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้น 

"นายเดินให้มันช้ากว่านี้หน่อยได้ไหม จะรีบอะไรกันนักหนา" มัลฟอยยกมือขึ้นมามองดูนาฬิกาเรือนเงิน
ที่ข้อมือของตัวเอง เขาไม่ได้ตอบอะไรเธอ แล้วเริ่มออกเดินอีกครั้ง โดยระวังไม่ให้เร็วเกินไปนัก 

………………………………………….. 

เมื่อซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ จนครบหมดเรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงชวนมัลฟอยไปร้านไอศกรีม
 ของฟลอเรียน ฟอร์เตสคิว แต่เขารู้สึกคอแห้ง อยากดื่มน้ำมากกว่า เขาจึงเดินจูงเฮอร์ไมโอนี่ไปทางทิศตรงข้าม
กับร้านไอศกรีมทันทีอย่างคนเอาแต่ใจ เฮอร์ไมโอนี่ดึงผ้าคลุมเขาให้หยุดอย่างมีโทสะ 

"ถ้านายอยากไปหาอะไรดื่มที่ร้านนั้นก็เชิญนายไปคนเดียว ฉันจะไปร้านไอศกรีม" มัลฟอยหันมามอง 

"เธอต้องไปกับฉัน!" เขาพูดหน้าตาเฉย เฮอร์ไมโอนี่ไม่พอใจทันที 

"อย่ามาทำนิสัยแย่ๆ แบบนี้กับฉันนะมัลฟอย นายนี่ช่างไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย" 

มัลฟอยจ้องหน้าเธอเขม็ง เขาบีบมือเด็กหญิงแน่นอย่างลืมตัว แต่เฮอร์ไมโอนี่จ้องกลับ สู้สายตาของเขา แล้วพูดต่อ 

"ถ้านายไม่อยากให้เวลาที่เหลือเสียไปเปล่าๆ โดยการทะเลาะกับฉัน.." เด็กหญิงเว้นจังหวะ แล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย 

"ฉันคิดว่า ร้านของคุณฟอร์เตสคิว คงจะไม่ได้ขายไอศกรีมอย่างเดียวหรอกนะ!" มัลฟอยชะงัก เขาลืมคิดไปว่า
 ร้านนั้นก็มีเครื่องดื่มขายเช่นกัน 

"เชอะ..ก็ได้" เขาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก มีสีชมพูบางๆ ปรากฏที่แก้มของเขาให้เห็นเล็กน้อย เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มอย่าง
ผู้มีชัย แล้วกลับหลังหัน เดินนำเขาไปที่ร้านไอศกรีมทันที 

มัลฟอยเบ้หน้า เมื่อเห็นกิริยาพออกพอใจของเฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เธอเห็นไอศกรีมที่อยู่ตรงหน้า 
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเหมือนนึกอะไรได้ จึงหันมาถามเฮอร์ไมโอนี่ 

"ทำไมเธอมาซื้อของเร็วแบบนี้ล่ะ เกรนเจอร์" เด็กหญิงชะงักช้อนที่กำลังจะตักไอศกรีม แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบเขา 

"ฉันจะไปเที่ยวต่างประเทศกับคุณพ่อคุณแม่น่ะ แล้วนายล่ะ" เธอถามเขากลับ 

"ก็คล้ายๆ เธอแหละ" เขาตอบเนือยๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วเริ่มนั่งเท้าคางอย่างเบื่อๆ มองออกไปข้างนอกร้านอีกครั้ง
 เฮอร์ไมโอนี่เห็นท่าทางของเขาก็ส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอา แล้วลงมือจัดการกับไอศกรีมถ้วยโตของเธอต่อไป 

เมื่อใกล้จะถึงเวลานัด ทั้งสองจึงพากันเดินกลับไปยังร้านตัวบรรจงและหยดหมึก เพื่อไปรับหนังสือที่ฝากไว้ 

"เดี๋ยว" มัลฟอยฉุดแขนเฮอร์ไมโอนี่ไว้ทัน ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปในร้าน 

"ฉันมีเรื่องจะถามเธอ เกรนเจอร์" เขายิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย 

"สงสัยมาตั้งแต่ตอนงานเลี้ยงเต้นรำแล้ว" เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างแปลกใจ 

"นายสงสัยอะไร" 

"ก่อนจะถาม..ฉันขอพิสูจน์ดูอีกทีก่อนนะ" 

ว่าแล้วเขาก็ดึงเฮอร์ไมโอนี่เข้าไปในซอกตึกอีกครั้ง รวบร่างเธอเข้ามากอด แล้วกดริมฝีปากของเขาเข้ากับเธอ
อย่างรวดเร็วและหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เฮอร์ไมโอนี่ตกใจ เธอทั้งหยิกทั้งทุบ ดิ้นรนจนเขาต้องยอมปล่อย 

"นายนี่มันไว้ใจไม่ได้เลย" เธอพูดเสียงหอบสั่นเพราะความตกใจ มัลฟอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะถามเธอว่า 

"ฟันเธอเล็กลงหรือเปล่า เกรนเจอร์" 

เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เธอเงื้อมือขึ้นหมายจะฟาดลงบนใบหน้าอันยียวนของเขา
 แต่มัลฟอยก็ยกมือขึ้นมาจับแขนเธอไว้ได้อย่างรู้ทัน 

"ไม่ตอบ..งั้นขอพิสูจน์อีกครั้งได้มั๊ย" เขาพูดและยิ้มล้อเลียน เฮอร์ไมโอนี่สะบัดแขนออกจากเขา 
จ้องหน้าเขาด้วยความโมโหปนอาย 

"นายมัน…" เธอพูดเสียงกึ่งตะโกน 

"หยาบคายที่สุด!" 

พูดจบเธอก็กลับหลังหัน แล้ววิ่งเข้าไปที่ร้านตัวบรรจงและหยดหมึกทันที มัลฟอยมองตามเข้าไปในร้าน
 ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่กำลังลุกลี้ลุกลนรวบรวมข้าวของ ของตัวเองอยู่ ไม่ช้า เขาก็เห็นสองสามีภรรยาเกรนเจอร์เดินมารับเธอ
 เด็กหญิงเหลือบตามองมาทางช่องตึกที่เขายืนอยู่ เมื่อเห็นเขากำลังมองมาทางเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก็เชิดหน้าใส่เขา
แล้วรีบเดินตามพ่อกับแม่ของเธอไปทันที 

มัลฟอยเห็นท่าทางของเธอก็ยิ้มอย่างขำๆ เขายังคงมองเธอจนกระทั่งเธอเดินลับไปจากสายตา เด็กชายค่อยๆ 
ยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากตัวเอง มองเหม่อไปตามทางที่เฮอร์ไมโอนี่เพิ่งเดินจากไป แล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ 

"ฉันคิดถึงเธอนะ ยายหัวฟู.."

*****2***** 

ปราสาทหลังใหญ่ในเมือง ลีเซอกส์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่น้อย ที่ขึ้นรกปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ
 เหมือนจะช่วยปิดกั้นเพื่อนบ้านในละแวกนั้นที่อยู่ห่างอยู่แล้ว ให้ดูห่างไกลออกไปอีก ซึ่งบ้านหลังที่ใกล้ที่สุด
 ก็ยังอยู่ห่างไกลจากตัวปราสาทออกไปอีกถึง 3-4 ไมล์

ปราสาทบนพื้นที่เกือบหนึ่งพันเอเคอร์นี้ เป็นของตระกูล ยีลล์ ซึ่งนับว่าเป็นตระกูลพ่อมดแม่มดที่เก่าแก่
ที่สุดตระกูลหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส มาดามลอว์รองซ์ ยีลล์ ผู้เป็นเคานเทสของปราสาทหลังนี้ 
กำลังสั่งการให้เอลฟ์ประจำบ้านจัดเตรียมห้องพักที่ดีที่สุดให้แขกคนสำคัญที่กำลังจะเดินทางมาถึงในวันรุ่งขึ้น
 บรรดาเอลฟ์กว่าหนึ่งร้อยชีวิตต่างวิ่งวุ่นทำงานของตนกันอย่างขะมักเขม้น บ้างก็จัดสรรอุปกรณ์สำหรับเตรียมอาหาร
 บ้างก็เตรียมห้องพัก ไม่นาน ทุกอย่างก็เรียบร้อย พร้อมสำหรับต้อนรับเพื่อนสนิทของนายของพวกมัน

"เห็นว่าคราวนี้ลูเซียสจะพาพ่อหนูเดรโกมาด้วยนะ ฟรังก์ซัวร์" มาดามยีลล์ หันไปพูดอย่างรื่นเริงกับนายยีลล์ 
สามี ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พ่อมดอยู่  

"อืมม…ป่านนี้คงโตเป็นหนุ่มแล้วกระมัง" เขารับคำ ละสายตาจากหนังสือ 

"ครั้งสุดท้ายที่เจอ เจ้าหนูนั่นเพิ่งจะห้าขวบเอง" นายยีลล์ทำท่านึก "ป่านนี้คงสูงกว่าพ่อแล้วมั้ง" 

มาดามยีลล์หัวเราะเบาๆ เธอหันไปสั่งเอลฟ์ให้จัดน้ำชามาให้สามีเธอ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องข้างๆ ในเวลาต่อมา 

………………………………………………………… 

นายเกรนเจอร์นำกระเป๋าใบสุดท้ายใส่ลงไปในท้ายรถ ก่อนจะหันมาถามลูกสาวคนเดียวของเขา 

"ไม่ลืมอะไรแล้วนะ เฮอร์ไมโอนี่" เด็กหญิงหันมายิ้มแก้มแทบปริ 

"พร้อมออกเดินทางแล้วค่ะ" 

เฮอร์ไมโอนี่ดีใจเป็นที่สุด ที่จะได้ไปเที่ยวต่างประเทศคราวนี้ เธอคิดถึงทัศนียภาพอันงดงามของเมืองนอร์มังดี 
จนแทบจะทนนั่งอยู่ในรถไม่ไหว เด็กหญิงนึกเสียดาย ที่ไม่สามารถเดินทางโดยผงฟลูไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ 
และอยากจะมีใบอนุญาตหายตัวเสียเดี๋ยวนี้เลย 

ทันทีที่นางเกรนเจอร์ก้าวเข้ามานั่งในรถ และปิดประตูรถเรียบร้อย เฮอร์ไมโอนี่ก็เร่งเร้าให้พ่อของเธอรีบออก
เดินทางในทันที เด็กหญิงนั่งชมทัศนียภาพสองข้างทางอย่างสบายอารมณ์ นายเกรนเจอร์ขับรถด้วยความเร็วคงที่
 พาพวกเขาข้ามพ้นอาณาบริเวณของประเทศอังกฤษ มุ่งเข้าสู่เขตแดนของประเทศฝรั่งเศส 

เฮอร์ไมโอนี่ชี้ชวนให้นางเกรนเจอร์มองดูฝูงแกะและโคนมอย่างตื่นเต้น ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ 
ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างดูสดชื่นไปหมด ดอกทิวลิปสีต่างๆ กำลังแข่งกันผลิดอกอวดความสวยงามของพวกมันเต็มท้องทุ่ง 
ถัดมาเป็นทุ่งมัสตาร์ดซึ่งออกดอกเป็นช่อสีเหลืองอร่ามเป็นพรืดไกลสุดลูกหูลูกตา ส่วนอีกฝั่งของถนน ก็มีดอก
ไม้สีชมพูบานเย็นสวยสด ขึ้นเรียงรายดูละลานตาไปหมด 

"โอ้โห..สวยจัง..ดูซิคะคุณแม่!!" เด็กหญิงชี้ให้มารดาของเธอมองดูดอกไม้สีชมพูที่ดูบอบบางนั้น

"อ๋อ..นั่นเค้าเรียกว่า ดอกโรโดเดนดรอนจ้ะลูก" เฮอร์ไมโอนี่ทำตาโต "ชื่อเพราะจัง" 

"น่าแปลกนะมีเรื่องที่ เฮอร์ไมโอนี่คนเก่งของแม่ไม่รู้ด้วยเหรอเนี่ย" นางเกรนเจอร์เย้าลูกสาว เด็กหญิงหัวเราะเสียงใส 

"แหม…หนูไม่เคยศึกษาเรื่องดอกไม้พวกนี้มาก่อนนี่นา แต่เดี๋ยวกลับไปหนูคงต้องหามาอ่านบ้างแล้วหละ" เธอตอบ 

"อืมม.. ดอกโรโดเดนดรอนเนี่ยประเทศทางแถบร้อนจะเรียกว่ากุหลาบพันปีจ้ะ" นายเกรนเจอร์เสริมขึ้นบ้าง
 เด็กหญิงขมวดคิ้ว 

"กุหลาบพันปีเหรอคะ ดูยังไงก็ไม่เห็นเหมือนดอกกุหลาบเลยซักนิด" 

แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับชื่อของดอกไม้สีสวยสดเหล่านั้นนัก ความงดงามของพวกมันต่างหาก 
ที่ดูจะดึงดูดใจของเธอให้มองมันอย่างไม่ละสายตาได้ 

นายเกรนเจอร์ขับรถมาเรื่อยๆ จนทั้งสามเข้ามาในเขตเมืองลีเซอกส์ ซึ่งอีกไม่นาน ก็จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว 
พวกเขาขับผ่านไร่แอ็ปเปิ้ล ซึ่งกำลังเริ่มผลิดอกสีขาว เฮอร์ไมโอนี่เปิดหน้าต่างแล้วชะโงกหน้าออกไปสูด
อากาศบริสุทธิ์อย่างรื่นเริง 

"เฮอร์ไมโอนี่ อย่าทำแบบนี้สิจ๊ะ มันอันตรายนะ" นางเกรนเจอร์ปราม นายเกรนเจอร์เหลือบตามองเฮอร์ไมโอนี่ทาง
กระจกหลังอย่างเป็นห่วง แต่เมื่อเขาผละสายตากลับมามองทางอีกครั้ง เขาก็ต้องตกใจและรีบหักพวงมาลัย
หลบอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นกระต่ายป่าสองสามตัวกำลังกระโดดหย็องแหย็งข้ามถนนอยู่ ทำให้รถเสียหลักพุ่งลง
ข้างทางฝั่งที่เป็นป่าหนาทึบ เฮอร์ไมโอนี่ที่ยื่นศีรษะออกไปนอกรถผวาด้วยความตกใจ เธอพยายามจะเลื่อนตัวกลับ
เข้าไปข้างในรถ นายเกรนเจอร์พยายามเหยียบเบรคเต็มที่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ช่วยอะไร เพราะทางนั้นเป็นเนินเขา
ที่ลาดชันลงไป ทำให้รถพุ่งทะยานลงไปด้วยความเร็ว 

"ระวัง!!" นางเกรนเจอร์กรีดร้องเสียงหลง ก่อนที่รถจะพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างแรง 

จากแรงกระแทก ทำให้นายและนางเกรนเจอร์หมดสติไป ส่วนเฮอร์ไมโอนี่นั้นกระเด็นออกไปนอกตัวรถ 
และหล่นลงไปตามโพรงที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ศีรษะของเฮอร์ไมโอนี่กระแทกกับอะไรบางอย่างอย่างแรง
 ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะดับวูบลง 

…………………………………………………………………. 

"ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์ตระกูลยีลล์อีกครั้งลูเซียส" นายฟรังก์ซัวร์ ยีลล์ กล่าวต้อนรับนายลูเซียส มัลฟอย 
ทันทีที่เขาเดินทางมาถึง เสียงเปรียะดังขึ้นอีกครั้ง ที่เตาผิงในห้องนั่งเล่นของปราสาท ร่างสูงเพรียวระหงของ
แม่มดที่มีหน้าตาสะสวยทว่าหยิ่งยะโสปรากฏขึ้น 

"คุณนายมัลฟอย" นายยีลล์กล่าวอย่างสุภาพ พลางค้อมศีรษะให้นางมัลฟอยอย่างให้เกียรติ ไม่นานนัก 
เดรโก มัลฟอย ก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน 

"โอ้…เจ้าหนูเดรโก" เสียงนายยีลล์ร้องขึ้นอย่างพออกพอใจ เขาผายมือสองข้างออก
 หวังจะให้เด็กชายโผเข้ามากอดเขา แต่มัลฟอยกลับมองด้วยสายตาเหยียดๆ เขารู้สึกไม่พอใจที่ถูกเรียกว่า 
"เจ้าหนู" นายลูเซียสเห็นกิริยาของมัลฟอยจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ 

"เดรโก ไม่เห็นรึว่า คุณยีลล์กำลังให้การต้อนรับเจ้าอยู่น่ะ" 

มัลฟอยชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ต้องเดินไปให้นายยีลล์กอดอย่างไม่เต็มใจนัก เขาไม่เคยกล้าขัดคำสั่งพ่อเลยสักครั้ง
 ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกต่อต้านเพียงใดก็ตาม นายยีลล์กอดรัดมัลฟอยแน่นและหัวเราะลงลูกคออย่างพออกพอใจ
 มัลฟอยเบ้หน้าอย่างรังเกียจ และเริ่มรู้สึกโกรธ 

"ไหน…มากันแล้วเหรอ..โอ้…พ่อหนูเดรโก.." เสียงมาดามยีลล์ดังขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของห้อง 
มัลฟอยขมวดคิ้วหันไปมอง เขารู้สึกว่า คำว่า "พ่อหนู" ถึงจะยังฟังไม่ถูกหูเขาเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีกว่า "เจ้าหนู" 
เป็นกอง

"แหม..โตเป็นหนุ่ม รูปหล่อไม่แพ้พ่อเลยนะ" มาดามยีลล์พูดกลั้วหัวเราะ พลางยื่นมือออกมาให้เขา 

มัลฟอยโตและมีมารยาทพอที่จะรู้ว่า เขาต้องทำอย่างไร เด็กชายเอื้อมมือไปจับมือมาดามยีลล์ เขาค้อมตัวลง
แล้วยกมือเธอขึ้นมาจุมพิตอย่างสุภาพ ขณะที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้น เขานึกไปถึงตอนที่เขาจุมพิตมือเล็กๆ 
บอบบางของเฮอร์ไมโอนี่ที่ริมทะเลสาบเมื่อเทอมที่แล้ว เด็กชายยิ้มมุมปากอย่างลืมตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าของเธอ
ในตอนนั้น พลางนึกไปว่า ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ สำหรับเขาแล้ว การที่ได้เจอเฮอร์ไมโอนี่เมื่อครั้งที่ไปที่ตรอก
ไดแอกอน ทำให้เขายิ่งรู้สึกคิดถึงเด็กหญิงมากกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้
 จึงต้องจำใจตามพ่อแม่เขามาที่บ้านนายยีลล์นี้ 

นายและนางยีลล์พาครอบครัวมัลฟอยขึ้นไปที่ห้องพักที่ได้จัดเตรียมไว้ นายยีลล์พาพวกเขามาที่ห้องรับรองของ
นายและนางมัลฟอยก่อน แล้วจึงพาไปอีกห้องหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงห้องนั้น เดรโก มัลฟอย ก็มองอย่างค่อนข้างพอใ
จเมื่อเห็นความโอ่อ่าสวยงามของห้องนอนของเขาที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างดี เขาปิดประตูห้อง
 แล้วเดินสำรวจดูก็พบว่าเสื้อผ้าของเขาถูกจัดให้อยู่ในตู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนของใช้ส่วนตัวอื่นๆ
 ก็ได้จัดวางอย่างเป็นระเบียบในที่ที่ควรอยู่แล้วเช่นกัน 

เด็กชายถอดเสื้อคลุมออกโยนลงบนเตียง เขาได้ยินเสียงนายยีลล์คุยกับบิดาของเขาอยู่หน้าประตู 
แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป มัลฟอยทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหน่ายๆ การที่เขาได้มาอยู่ที่นี่เป็นเพราะนายลูเซียส
 มัลฟอย พ่อของเขาสนิทสนมกับนายยีลล์ พ่อมดศาสตร์มืดที่เก่าแก่ที่สุดตระกูลหนึ่งของฝรั่งเศส และแน่นอน 
มันย่อมไม่ใช่การมาเยี่ยมเยียนกันธรรมดา พ่อของเขาคงมาด้วยเรื่องของ คนที่รู้ว่าใคร ที่กำลังคืนชีพขึ้นมา 

เด็กชายถอนใจหนักๆ เขาไม่คิดว่าจะได้มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่หรอก เขาจำได้ว่า พ่อเคยพาเขามาที่นี่เมื่อตอน
ที่เขาอายุห้าขวบ และเขาก็ต้องติดแหง็กอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนทั้งนั้น 
ครั้งนึงเขาเดินออกไปทางซีกขวาของปราสาท พบห้องๆ หนึ่งที่ปิดล็อคกุญแจดูแน่นหนา เขาสนใจห้องนั้นมาก 
แต่เพียงแค่เขายืนอยู่หน้าห้องนั้น พวกผู้ใหญ่ก็เอ็ดตะโรกันยกใหญ่ และรีบพาเขากลับเข้าห้องอย่างรวดเร็ว
 แถมท้ายด้วยการโดนพ่อของเขาทำโทษเข้าอีกด้วย 

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ มัลฟอยก็ผุดลุกขึ้น หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากเสื้อคลุมแล้วเดินไปที่ประตู 
เขาแง้มประตูออกดูเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้ว ดวงตาสีซีดของเขาเป็นประกาย รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก
 เด็กชายค่อยๆ ย่องออกมาจากห้อง เดินตรงไปยังปีกขวาของปราสาททันที 

ประตูบานนั้นยังคงดูลึกลับและถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจดอกโตเช่นเคย เพียงแต่ดูเก่าและทึมทึบกว่าเดิมมาก
 มัลฟอยหันมองซ้ายขวาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดคน แล้วร่ายคาถาปลดกุญแจและรีบก้าวเข้าไปในห้องนั้นอย่าง
รวดเร็ว หลังจากที่จัดแจงให้กุญแจปิดล็อคเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันมาดูภายในห้อง 
เด็กชายรู้สึกหัวใจพองโตด้วยความตื่นเต้น ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยของศาสตร์มืดที่ดูหายากและเขา
ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาค่อยๆ เดินสำรวจของทีละชิ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ เขาเอื้อมมือไปลูบโหลดองชิ้นส่วนของ
สิ่งมีชีวิตที่เขาไม่รู้จัก และมองดูอย่างกระหายใคร่รู้ มัลฟอยไล่สายตาไปเรื่อยๆ ผ่านขวดน้ำยาที่มีขนาดและ
สีแตกต่างกันออกไป โหลดองชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งของพืช สัตว์ และมนุษย์เรียงรายอยู่เต็มไปหมด
 อีกฝั่งหนึ่งของห้องถูกจัดวางด้วยชั้นหนังสือขนาดมหึมา ที่มีแต่หนังสือศาสตร์มืดที่ดูเก่าคร่ำคร่าเรียงรายอยู่เป็นพรืด 

มัลฟอยกวาดสายตามองรอบห้องอย่างทึ่งจัด เขาเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น แต่ทันทีที่หนังสือเลื่อน
หลุดมาอยู่ในมือของเขา ชั้นทั้งชั้นก็เลื่อนตัวออกจากกำแพง เผยให้เห็นบันไดหินที่ลึกลงไปคล้ายคุกใต้ดินอยู่ภาย
หลังชั้นหนังสือยักษ์นั้น มัลฟอยใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขามองลงไปตามทางที่มืดมิดอย่างชั่งใจ เด็กชายหันกลับ
ไปมองทางประตูที่เขาเข้ามาราวกับจะดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครมาพบเห็นการกระทำของเขา เขาหันกลับมามองทางลึก
ดำมืดนั้นอีกครั้ง ก่อนจะกระชับไม้กายสิทธิ์แน่น และตัดสินใจเดินลงไปตามบันไดหินนั้นทันที 

"ลูมอส" มัลฟอยกระซิบกับไม้กายสิทธิ์ของตัวเองเบาๆ ไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ปลายไม้กายสิทธ์นั้น เขาก้าวลงบัน
ไดอย่างระมัดระวัง บรรยากาศรอบๆ เริ่มมืดมัวและหนาวเย็นมากขึ้น ตอนนี้เด็กชายที่สวมอยู่แค่เสื้อเชิ้ตบางๆ
 เริ่มคิดถึงเสื้อคลุมที่วางพาดอยู่บนเตียงขึ้นมาบ้างแล้ว มัลฟอยก้าวเดินลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าบันไดนั้นลึกลงไป
แค่ไหน และจะพาเขาไปที่ใด ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาลืมนึกถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในสถานที่ที่เขา
ไม่รู้จักนี้ 

เมื่อเขาลงมาถึงบันไดขึ้นสุดท้าย รอบๆ ตัวยังคงมืดสนิท แสงไฟจากปลายไม้กายสิทธิ์ไม่ได้ช่วยให้เขาเห็นอะไร
ได้ทั่วถึงนัก เด็กชายค่อยๆ เดินอย่างระวังมากขึ้น เขาก้าวเดินลึกเข้าไปในห้องลึกลับนั้น
 แล้วเขาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง มัลฟอยใจหายวูบ เขารีบส่องไฟไปยังวัตถุนั้นทันที
 แสงไฟช่วยให้เขาพอจะมองออกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นร่างของมนุษย์! เขาเริ่มใจเสีย 
แต่ก็พยายามรวบรวมความกล้า ค่อยๆ ไล่แสงไฟด้วยมือที่สั่นระริกขึ้นไปที่ใบหน้าของร่างนั้น เมื่อแสง
ไฟส่องสว่างไปถึงใบหน้าของเจ้าของร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่นั้น มัลฟอยถึงกับตกตะลึงตาค้าง
 หัวใจเต้นระทึก เขาเพ่งมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่อย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ 

"เกรนเจอร์!"
*****3***** 

มัลฟอยถลาเข้าไปยังร่างไร้สติของเฮอร์ไมโอนี่ เขาเขย่าตัวเธออย่างร้อนรน แต่เด็กหญิงก็ยังคงไม่ได้สติ
 เขาพยายามประคองศีรษะของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมา แล้วก็ใจหาย เมื่อสัมผัสถูกน้ำเหนียวๆ ที่ศีรษะของเธอ 

"เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เกรนเจอร์" เขาพึมพำกับตัวเองอย่างว้าวุ่น พลางตบแก้มเธอเบาๆ เพื่อเรียกให้เธอตื่น 
แต่ก็ยังคงไม่มีการตอบสนองจากเธอแม้แต่น้อย เขาพยายามเรียกเธออยู่เป็นพัก ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงเฮอร์
ไมโอนี่ครางอือเบาๆ จากนั้นเธอก็เริ่มลืมตา เด็กหญิงยังคงมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอพยายามจะลุกขึ้นแล้ว
ก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่ง แสงไฟจากปลายไม้กายสิทธิ์ทำให้เธอพอจะมองเห็นเจ้า
ของแขนที่ประคองเธออยู่ได้อย่างถนัดตา 

"มัลฟอย" เธอผลักเขาออกอย่างตกใจพลางระล่ำละลักถาม "นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" มัลฟอยขมวดคิ้ว 

"นั่นควรจะเป็นคำถามของฉันมากกว่านะเกรนเจอร์" เขาย้อน เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ เธอเริ่มมองไปรอบๆ
 ตัวเธอที่มืดสนิท แล้วใจหาย เธอหันไปถามเขาอย่างหวาดๆ 

"ที่นี่ที่ไหน" 

"บ้านเพื่อนพ่อฉัน เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ยายหัวกระเซิง" มัลฟอยมองไปที่ศีรษะของเธอ ซึ่งยังมีเลือดซึมอยู่
 เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นแตะศีรษะตัวเองแล้วอุทานออกมา 

"เลือด!!" มัลฟอยมองเธออย่างทึ่ง "นี่เธอไม่รู้ตัวเลยเหรอ" เฮอร์ไมโอนี่ส่ายศีรษะ 

"ฉันรู้สึกเจ็บระบมไปหมดทั้งตัวเลย ไม่รู้ว่าชนถูกอะไรบ้างก่อนจะตกลงมาถึงที่นี่" เฮอร์ไมโอนี่หยุดเว้นจังหวะ
 นึกลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 

"รถฉันประสบอุบัติเหตุ แต่ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" มัลฟอยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า 

"คงต้องจัดการกับแผลเธอก่อน แล้วค่อยหาทางกลับออกไป เพราะฉันคงพาเธอขึ้นไปข้างบนไม่ได้แน่ คงเข้าใจนะ
 ว่าเพราะอะไร" เฮอร์ไมโอนี่หน้าสลดลงทันที เธอรู้ว่าเขาหมายความว่า เธอเป็นพวก เลือดสีโคลน
 และเพื่อนของพ่อเขา ก็คงจะเป็นพวก เลือดบริสุทธิ์ และบรรดาเลือดบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างบนนั่นคงไม่ให้การต้อนรับ
เธอเป็นแน่ 

"อีกอย่าง.." เขากล่าวขึ้นมาอีก "ห้องนี้ถือเป็นห้องลับของบ้านนี้ มันคงไม่ดีแน่ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอมานอนสลบอยู่ที่นี่ 
และฉันเป็นคนมาพบเธอแบบนี้" พูดจบเขาก็จัดแจงเสกผ้าพันแผลมาพันศีรษะให้เธอ 

"ขอบใจนะ" เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยใบหน้าชมพู มัลฟอยมองท่าทางของเธออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รวบร่างเธอเข้ามากอด
 แล้วประทับริมฝีปากเข้ากับเธออย่างรวดเร็วและหนักหน่วง เฮอร์ไมโอนี่ตกใจรีบผลักเขาออกแล้วพูดด้วยความโมโห 

"ในสถานการณ์แบบนี้ นายยังมีหน้ามาทำแบบนี้อีกเหรอ" 

มัลฟอยมองตาเธอนิ่งแล้วพูดเบาๆ "เธอนึกไม่ออกหรอกว่า ฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน เกรนเจอร์" 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับนิ่งอึ้ง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอมองตาอีกฝ่ายซึ่งจ้องตอบกลับอย่างมีความหมาย
 มัลฟอยก้มหน้าลงมาหาเด็กหญิงอีกครั้ง เขาค่อยๆ แตะริมฝีปากลงบนจมูกเธอเบาๆ เป็นเชิงหยั่งใจ แล้วจ้องลึกลง
ไปในดวงตากลมโตของเธอเป็นเชิงถาม แทนคำตอบ เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ ปิดเปลือกตาของเธอลง 
มัลฟอยจึงเลื่อนริมฝีปากลงไปแนบกับริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา เขาส่งมอบความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความ
คิดถึงและโหยหาผ่านจุมพิตที่แนบแน่นและเนิ่นนานนั้น เด็กชายกระชับร่างเธอแน่นอีกครั้งอย่างหวงหา
 ก่อนจะคลายริมฝีปากออก และกระซิบเบาๆ เหนือริมฝีปากของฝ่ายหญิง 

"ฟันเธอเล็กลงจริงๆ ด้วย" เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง เธอผลักเขาออกทันที แล้วจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
 มัลฟอยหัวเราะเบาๆ 

"แรงยังดีอยู่นี่ แสดงว่าไม่เป็นอะไรมาก" เขาขยับเข้าไปหาเธออีกครั้ง แต่อีกฝ่ายขยับตัวหนี 

"พอเลย" เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างไม่พอใจ มัลฟอยมองเธออย่างล้อๆ แล้วคว้าข้อมือเธอมาจับไว้ แล้วเริ่มออกเดิน 
ถึงแม้จะยังรู้สึกโกรธเขาอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี เพราะเธอเริ่มนึกเป็นห่วงพ่อแม่ของเธอขึ้นมาแล้ว 

"เธอเอาไม้กายสิทธิ์ออกมาจุดไฟอีกอันสิ ของฉันคนเดียวแสงคงไม่พอ" 

"ฉันไม่ได้เอามา" มัลฟอยหันไปมองหน้าเธอด้วยความแปลกใจ 

"เธอเป็นแม่มดประสาอะไร ไม่พกไม้กายสิทธิ์ แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกมักเกิ้ลนักหรอก" เฮอร์ไมโอนี่สะบัด
มือออกจากเขาทันที 

"ฉันมาเที่ยว มัลฟอย มาเที่ยวในโลกที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโลกเวทมนตร์เลยซักนิดด้วย และฉันก็มอง
ไม่เห็นเลยด้วยว่า มันจะมีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องพกไม้กายสิทธิ์มาด้วย" มัลฟอยมองเธออย่างไม่พอใจ
ที่เธอสะบัดมือออกจากเขา เขาเบ้ปากนิดๆ "เชอะ..เที่ยวแบบพวกมักเกิ้ล" เฮอร์ไมโอนี่เริ่มหน้าแดงด้วยความโมโห 

"เที่ยวแบบมักเกิ้ลแล้วเป็นยังไง มัลฟอย" มัลฟอยยักไหล่ เขาเอื้อมมือจะจับมือเด็กหญิงอีกครั้ง แต่เฮอร์ไมโอนี่เอามือ
ไปไพล่หลังไว้ ไม่ยอมให้เขาจับ เธอยังคงพูดต่อด้วยความโกรธ 

"ฉันไม่คิดว่าตัวเองต้องพกไม้กายสิทธิ์ไปไหนต่อไหนให้พวกมักเกิ้ลจับได้หรอกนะ อีกอย่างครอบครัวฉันไม่ได้
มีศัตรูอยู่รอบตัวเหมือนครอบครัวนาย ถึงต้องพกไม้กายสิทธิ์ไว้กับตัวตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลาไปเที่ยว!" 

ทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่พูดประโยคสุดท้ายจบ มัลฟอยก็กระชากคอเสื้อเธอแล้วดึงเข้ามาหาตัวอย่างรวดเร็ว 

"หุบปากของเธอไปได้เลย ยายเลือดสีโคลน อย่ามาสบประมาทครอบครัวฉัน นอกเสียจากว่าเธออยากจะอยู่ในนี้ต่อ!" 

เฮอร์ไมโอนี่ปัดมือของเขาออกด้วยความโมโห 

"ถ้างั้นจะไปไหนก็เชิญ นายเลือดบริสุทธิ์ ฉันหาทางออกเองก็ได้" มัลฟอยหรี่ตามองเฮอร์ไมโอนี่อย่างร้ายๆ 

"ได้!" แล้วเขาก็สะบัดหน้าเดินกลับไปทางเดิมทันทีด้วยอารมณ์ร้อนรุ่ม 

เฮอร์ไมโอนี่เห็นท่าทางของเขาก็เริ่มใจเสีย ในสถานการณ์อย่างนี้ และไม่มีไม้กายสิทธิ์ เธอจะมามัวหยิ่งไม่ได้
 เด็กหญิงลังเลใจอยู่สักพัก จึงตัดสินใจเรียกเขา 

"มัลฟอย" แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา รอบๆ ตัวเธอมืดสนิท ไม่มีแสงไฟจากปลายไม้กายสิทธิ์ของเขามาคอยส่องทาง
ให้เธออีกแล้ว ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาเกาะกุมจิตใจของเด็กหญิงอย่างช่วยไม่ได้ 

"มัลฟอย!" เฮอร์ไมโอนี่เริ่มตะโกนอย่างเสียขวัญ แต่ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับมาจากชายผิวซีดที่เธอเรียกหา 
เธอมองไปรอบๆ ตัวที่มีแต่ความมืดมิด แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ราวกับเธอตาบอด
 เฮอร์ไมโอนี่เริ่มใช้มือคลำทางเพื่อหาทางออก พลางนึกน้อยใจในความใจร้ายของมัลฟอยที่ทิ้งเธอไว้แบบนี้
 เมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนหน้านี้ เขายังทำตัวดีอยู่เลย แต่ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ กลับทำให้เขาโมโหขนาดนี้ 
มัลฟอยไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ เด็กหญิงคิดอย่างเหนื่อยใจ ถึงแม้จะต้องถกเถียงกันยังไง เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะ
ใจดำขนาดปล่อยเธอไว้ได้ลงคอ

เฮอร์ไมโอนี่เดินสะเปะสะปะจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะความมืดรอบๆ ตัวเธอ ฉับพลันเธอเห็นแสงไฟเป็นจุดเล็กๆ
 อยู่ข้างหน้า เด็กหญิงหัวใจพองโตด้วยความดีใจ มัลฟอยกลับมาช่วยเธอแล้ว!! 

เฮอร์ไมโอนี่รีบออกเดินอย่างรวดเร็วไปหาแสงนั้นด้วยความดีใจ ดูเหมือนแสงไฟที่เธอเห็นก็ค่อยๆ เลื่อนเข้ามา
ใกล้เธอด้วย เด็กหญิงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทางเพื่อให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด โดยลืมนึกไปว่า ที่มาของแสงนั้น
 เป็นทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่มัลฟอยเดินกลับไป! 

*****4***** 

มัลฟอยเดินมาถึงบันไดหินแล้ว เขากำลังจะก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องจากทางเบื้องหลัง
 เขาใจหายวูบ รีบกลับหลังหันแล้วออกวิ่งไปทางต้นเสียงทันที ทุกย่างก้าวที่เขาวิ่งไป 
ใจเขาเต้นเร็วรัวอยากให้ไปถึงเฮอร์ไมโอนี่ให้เร็วที่สุด นี่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย 

เมื่อวิ่งไปถึง แสงจากปลายไม้กายสิทธิ์ช่วยให้เขาเห็นร่างของเฮอร์ไมโอนี่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ 
มีอะไรที่ดูคล้ายหนวดปลาหมึกยักษ์พันรอบตัวเธออยู่ เบื้องหลังเธอเป็นพืชประหลาดขนาดยักษ์ที่มีหงอนยื่นออกมา
 ปลายหงอนมีไฟล่อเหยื่อ รูปร่างคล้ายหงอนของปลามาคูลาทัส* ส่วนปลายของหนวดที่ยื่นออกมา 
มีตาข่ายที่เป็นเส้นใยสีขาวมีลักษณะคล้ายใยแมงมุมขนาดยักษ์ และมันกำลังม้วนหนวดที่รัดรอบตัวเฮอร์ไมโอนี่เ
ข้าไปหาตาข่ายนั้น 

มัลฟอยรีบเสกคาถาสะกดนิ่งใส่เจ้าหนวดนั่นทันที แต่ดูเหมือนจะไร้ผล เพราะมันเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย
 ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าหาตาข่ายนั้นอีกครั้ง 

"มัลฟอย ช่วยฉันด้วย!" เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนก้อง ร่างกายของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยเมือกเหนียวสีเขียวของเจ้า
หนวดยักษ์นั่น เธอพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการนั้น 
มัลฟอยพยายามเสกคาถาที่เขาพอจะนึกได้ใส่เจ้าหนวดนั่น แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดูเหมือนว่ามันจะได้รับการลงคา
ถากันภัยไว้เป็นอย่างดี จึงทำให้มันชะงักเพียงเล็กน้อยเมื่อโดนคาถาของเขาเท่านั้น 

เจ้าหนวดยักษ์นั่นม้วนตัวเร็วขึ้นทันทีที่มีจังหวะ มันรีบโยนร่างเฮอร์ไมโอนี่เข้าไปตรึงที่ตาข่ายทันที
 มัลฟอยพยายามจะกระโดดเข้าไปรับตัวเธอไว้ แต่ด้วยแรงเหวี่ยง ทำให้ทั้งสองปลิวไปติดอยู่ที่ตาข่ายยักษ์นั่นทั้งคู่ 
เมือกจากหนวดที่เปื้อนอยู่ทั่วร่างเฮอร์ไมโอนี่ทำให้เธอติดหนึบอยู่กับตาข่ายนั่นอย่างแน่นหนา ส่วนด้านมัลฟอย 
เขายังสามารถช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นออกมาจากตาข่ายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เขาพยายามช่วยเฮอร์ไมโอนี่
ให้หลุดออกมาด้วย แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะเมือกสีเขียวนั้นเหนียวและติดแน่นอยู่กับใยของพืชประหลาดนี้
 เฮอร์ไมโอนี่พยายามมองสำรวจเส้นใยรอบๆ ตัวเธออย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ 

"มัลฟอย ใช้คาถาจุดไฟ" เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนอย่างตื่นเต้น "เจ้าใยนี่ท่าทางจะไม่ทนไฟ รีบจุด เร็ว!" 

มัลฟอยได้ยินดังนั้นก็รีบเสกคาถาจุดไฟ เขาสะบัดปลายไม้กายสิทธิ์ไปที่เส้นใยนั่นทันที มีเสียงกรีดร้องแหลม
โหยหวนดังขึ้น แล้วใยนั่นก็เริ่มละลาย แต่นั่นกลับทำให้เกิดเรื่องที่แย่ลงกว่าเดิม เมื่อเส้นใยที่ตรึงร่างของเฮอร์ไม
โอนี่อยู่ละลาย ทำให้ร่างของเด็กหญิงร่วงหล่นลงไปในหลุมดำลึกที่อยู่ภายหลังตาข่ายนั่นทันที 

"มัลฟอย!!" เฮอร์ไมโอนี่กรีดร้องเสียงหลง มัลฟอยตกตะลึงตาค้าง มีทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะช่วยเฮอร์ไมโอนี่ได้.
.เด็กชายหลับตาปี๋ กลั้นใจกระโดดตามเธอลงไปทันที 

เมื่อร่างกายของเขาเข้าไปอยู่ในหลุมดำนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนถูกดูดมากกว่าหล่นลงไป ตามโพรงดำมืดนั้นมีเสียง
หวีดแหลมแสบแก้วหูดังอยู่ตลอดเวลา โพรงที่เขาโดดลงมาดูเหมือนมีชีวิต เสียงที่ดังอยู่รอบๆ
 ตัวเขาสะท้อนก้องสลับไปสลับมา ทำให้เด็กชายรู้สึกตาลายและวิงเวียนเป็นอย่างมาก 
เขาถูกโพรงนั่นเหวี่ยงไปมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ร่างกายของเขาจะสัมผัสถูกพื้น สติสัมปะชัญญะของเขาก็ดับวูบลง 

................................................................................................................ 

มัลฟอยค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อรู้สึกถึงแสงที่กระทบลงมาบนเปลือกตาของเขา เด็กชายค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างอ่อนล้า
 พยายามปรับสภาพดวงตาให้เข้ากับแสงสว่างรอบๆ ตัว ดวงตาสีซีดของเขาจับจ้องไปรอบบริเวณนั้นอย่างงงๆ
 กำลังพยายามลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาจะมาอยู่ที่นี่ พลันสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของเด็กหญิงผมสีน้ำตาล
 ซึ่งตอนนี้มีเมือกสีเขียวเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วตัวนอนแน่นิ่งอยู่ 

"เกรนเจอร์!" 

มัลฟอยร้อง พลางรีบวิ่งไปยังร่างที่ไม่ไหวติงนั้น เมื่อไปถึง เขาชะงักนิดนึงก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ 
และช้อนร่างเธอไว้ในอ้อมแขน เพราะถึงแม้เขาจะรู้สึกขยะแขยงเมือกเหนียวน่าสะอิดสะเอียนนั้นเพียงใด
 แต่ความรู้สึกห่วงใยในตัวเด็กหญิงนั้นมีมากกว่า มัลฟอยใช้มือลูบแก้มที่เปรอะเปื้อนของเธอ 
พลางเรียกชื่อเธอเบาๆ เขามองไปตามเนื้อตัวของเธอที่มีแต่รอยบอบช้ำแล้วกอดเธอไว้แน่นด้วยความสงสารจับใจ 

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงเสียงลมหายใจที่หอบกระชั้นกำลังโอบกระชับร่างเธออยู่ และได้ยินเสียงหัวใจของใครบาง
คนเต้นถี่อยู่ข้างหู เด็กหญิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองอย่างยากลำบาก เมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง 
เธอก็ครางชื่ออีกฝ่ายออกมาเบาๆ แล้วซบหน้าลงกับอกของเขาอย่างลืมตัว เธอรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน.. 

มัลฟอยมองดูกิริยาของเด็กหญิงที่ทำท่าจะหลับต่อ ก็รีบเขย่าตัวเธอเบาๆ 

"เธอจะนอนตอนนี้ไม่ได้นะเกรนเจอร์" แล้วเขาก็เริ่มมองไปรอบๆ อาณาบริเวณที่ดูแปลกตานี้อีกครั้ง
 เขารู้สึกเหมือนที่นี่คือป่าต้องห้าม 

"เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้" เขาหันมาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่ต่อ "แล้วหลังจากนั้น เธอจะนอนต่อทั้งวัน
ก็ไม่มีใครว่า" เฮอร์ไมโอนี่ลืมตา เธอรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วร่าง มัลฟอยค่อยประคองให้เธอลุกขึ้น 

"ที่นี่ที่ไหน" เป็นคำถามแรกที่หลุดออกมาจากปากอันซีดขาวของเด็กหญิง เธอมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดๆ 

"ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนว่า น่าจะเป็นที่ลับ ที่เราไม่สมควรจะมา" มัลฟอยเริ่มมองสำรวจรอบบริเวณอีกครั้ง
 "ท่าทางเจ้าต้นไม้พิลึกนั่น จะเป็นตัวคอยดักไม่ให้คนหลุดเข้ามาพบกับที่แห่งนี้" เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าช้าๆ 
อย่างเห็นด้วย 

"แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ" เธอถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล 

"เธอไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ" เขามองสภาพอันมอมแมมของเฮอร์ไมโอนี่แล้วยิ้ม 
"เลอะเทอะแบบนี้ฉันกอดไม่ลงหรอก" เฮอร์ไมโอนี่ค้อนเขาขวับหนึ่งก่อนออกเดิน พลางคิดไปว่า แล้วเมื่อกี้ใครล่ะ
 ที่กอดเธออยู่ แล้วเธอก็หน้าแดง เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เธอเผลอตัวไปซบเขาเมื่อครู่  

ทั้งสองเดินไปได้สักพักก็พบลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มองเห็นจากที่ที่พวกเขาตกลงมา เฮอร์ไมโอนี่ตรงเข้าไปล้าง
หน้าล้างตาทันที มัลฟอยเองก็ไม่รอช้า เขารีบเดินตรงไปทำความสะอาดตัวเองบ้าง โดยทิ้งระยะห่างจากเฮอร์
ไมโอนี่เล็กน้อย เด็กชายล้างเมือกที่เปรอะตัวเขาตอนที่กอดเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสีหน้าขยะแขยง เขาเหลือบมองเด็กหญิง
แล้วพูดขึ้น 

"ฉันว่าเธอลงไปแช่ทั้งตัวเลยดีกว่า ยายหัวฟู" แล้วเขาก็หยุดชะงัก พลางยิ้มมุมปากก่อนจะพูดใหม่
 "อ้อ..ไม่สิ...คงต้องบอกว่า ยายหัวแฟ่บซะแล้ว" เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง เธอรู้ตัวดีว่าตอนนี้สารรูปเธอคงดูไม่ได้เลย
 เพราะเมือกเหนียวนั่นเลอะเทอะอยู่ทั่วตัวเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เด็กหญิงมองลงไปในน้ำอย่างลังเลครู่หนึ่ง
 จึงตัดสินใจเดินลงไปทั้งชุดนั้น 

มัลฟอยจัดแจงล้างเนื้อตัวจนสะอาดเรียบร้อย เขาก็ขึ้นจากลำธาร กำลังจะเสกให้เสื้อผ้าตัวเองแห้ง ก็ได้ยินเสียงร้อง
 เขารีบหันขวับไปมอง เห็นเฮอร์ไมโอนี่ตะกุยตะกายผืนน้ำเหมือนถูกตัวอะไรฉุดขาไว้ เด็กชายรีบวิ่งไปฉุดมือเธอขึ้น 
พร้อมกับร่ายคาถาดังลั่น ตัวกรินดี้ โลว์ ร้องอย่างไม่พอใจที่ถูกมัลฟอยเสกคาถาใส่ เขารีบลากเฮอร์ไมโอนี่
ขึ้นมาจากน้ำอย่างทุลักทุเล เด็กหญิงสำลักน้ำไอค่อกแค่ก หอบจนตัวโยน 

"เธอไม่เป็นไรใช่มั๊ย" มัลฟอยถามอย่างร้อนรน พลางมองสำรวจเฮอร์ไมโอนี่แล้วก็ต้องหน้าแดง
 เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เฮอร์ไมโอนี่สวมใส่อยู่ตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ และนั่นทำให้มันแนบชิดลำตัวเธอจนเห็นรูปร่าง
ได้อย่างชัดเจน ถ้าไม่นับจากการสัมผัส..เด็กชายเพิ่งสังเกตเห็นด้วยตาชัดๆ ก็ครั้งนี้ว่า เด็กหญิงที่ยืนอยู่ตรง
หน้าเขากำลังโตเป็นสาวแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ผมสีน้ำตาลที่เคยพองฟูตอนนี้ลีบลู่ลง มีน้ำหยดลงมาจากปลายผม
ของฝ่ายหญิง ทำให้เสื้อผ้าเธอที่เปียกปอนอยู่แล้วดูชุ่มชื้นยิ่งขึ้น มัลฟอยมองดูเธออยู่พักหนึ่งก่อนจะกลืนน้ำ
ลายแล้วรีบหันหน้าหนี เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกงงกับท่าทางของเขา แต่เธอก็ตอบไปว่า 

"ฉันไม่เป็นไรแล้วหละมัลฟอย แล้วนายล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า.." 

เฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมืออันเย็นเยียบและสั่นเทาไปสัมผัสแขนของอีกฝ่าย เหมือนมีกระแสไฟช็อตทั่วร่างของเขา
 มัลฟอยรู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่าง ใจเต้นแรงเหมือนพร้อมจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เขาหันกลับไปประจัน
หน้ากับเด็กหญิง แล้วคว้าเธอมากอดไว้ รวบร่างเธอแนบชิดกับตัวเขาแล้วกดริมฝีปากแนบแน่นเข้า
กับเธออย่างรวดเร็วและรุนแรง เฮอร์ไมโอนี่ตกตะลึงกับการจู่โจมราวสายฟ้าแลบของเขา เธอผลักเขาออกอย่างแรง 
หอบหายใจอย่างตื่นๆ 

"นายทำบ้าอะไร!" เด็กหญิงตวาดลั่นด้วยใบหน้าแดงจัด ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังมีกะใจมาทำเรื่องแบบนี้อีก
 มัลฟอยกัดริมฝีปากมองเรือนร่างของอีกฝ่ายแล้วสะบัดหน้าหนี เขาพูดเสียงดังด้วยอารมณ์ร้อนรุ่ม 

"ที่ฉันทำเมื่อกี้น่ะ ยังไม่เรียกว่าบ้าหรอก" มัลฟอยหันมามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่แดงจัดไม่แพ้เธอ 

"แต่ถ้าขืนเธอยังยืนตัวเปียกอยู่แบบนั้น ฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ!" 

ว่าแล้วเขาก็สะบัดไม้กายสิทธิ์ไปที่เด็กหญิง แล้วเสกคาถาให้เสื้อผ้าของเธอแห้งในทันที แล้วจึงหันมาจัดการกับเสื้อผ้า
ของตัวเองบ้าง เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ มัลฟอยเห็นหน้าตาเหรอหราของเธอก็ถอนใจหนัก 
เขาส่ายศีรษะช้าๆ หลับตาอย่างระงับอารมณ์ 

"ไปหาทางออกกันต่อดีกว่า" เขากล่าวขึ้นในที่สุด แล้วสาวเท้านำหน้าเธอไปทันที 
คำอธิบายท้ายเรื่อง 

* ปลามาคูลาทัส (Maculatus) เป็นปลาใต้ทะเลลึก อยู่ในสายพันธุ์จำพวก Antennarius ซึ่งจะมีหงอนสำหรับล่อเหยื่อ
 หงอนแต่ละชนิดของปลาสายพันธุ์นี้จะมีหลายแบบแตกต่างกันออกไป บางชนิดจะเป็นเหมือนดอกไม้ทะเล 
บางชนิดจะเหมือนพู่ บางชนิดจะมีจะงอยที่เป็นแสงไฟลักษณะคล้ายโคมไฟเล็กๆ ปลาชนิดนี้ดำรงค์ชีวิตอยู่ใต้ทะเลลึก
 370 เมตร

*****5***** 

มัลฟอยเดินจ้ำนำหน้าเฮอร์ไมโอนี่ไปอย่างพยายามระงับความรู้สึกอันร้อนรุ่มที่มีต่ออีกฝ่าย ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้อง
กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาอย่างลำบาก เพราะเธอยังคงปวดระบมไปทั้งร่าง เฮอร์ไมโอนี่อดสงสัยกับท่าทางประหลาดๆ 
ที่ดูจะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ของเขาไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกไป เพราะการเสาะหาทางออกจากป่าปริศนานี้ 
เป็นเรื่องสำคัญที่ควรให้ความสนใจมากกว่า และเธอเองก็ไม่ต้องการจะถกเถียงกับเขาในที่แบบนี้ด้วย 

ทั้งสองเดินลึกเข้าไปในป่าที่เริ่มมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบยิ่งขึ้น แสงสว่างที่สาดส่องลงมาเริ่มลดน้อยลง
 ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมอาณาบริเวณที่ทั้งสองก้าวย่ำผ่าน เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งตอนนี้เดินตามมัลฟอย
ได้อย่างยากลำบากกว่าเดิม เพราะต้นไม้ที่รกครึ้มตลอดทาง เริ่มหมดความอดทนกับท่าทางฮึดฮัดของเขา
 ประกอบกับเธอเดินเกือบจะไม่ทันเขาแล้ว จึงเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้น 

"มัลฟอย รอฉันหน่อยได้ไหม ทำไมต้องเดินห่างขนาดนั้นด้วย ฉันจะตามนายไม่ทันแล้วนะ" เฮอร์ไมโอนี่พูดรัวเร็ว
พลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มัลฟอยชะงักฝีเท้า เขาหยุดเดิน แล้วค่อยๆ หันมาหาฝ่ายหญิง 
เด็กชายเอียงคอนิดๆ หรี่ตามองเธออย่างร้ายๆ 

"ฉันให้ความมั่นใจกับเธอไม่ได้หรอกนะเกรนเจอร์ ว่าตอนนี้ในป่าบ้าๆ นี่กับฉัน อะไรจะอันตรายกว่ากัน
 สำหรับเธอ!" เขาจ้องหน้าเฮอร์ไมโอนี่นิ่ง ก่อนจะพูดต่อ "ตอนนี้เธออยู่ให้ห่างฉันไว้จะปลอดภัยกว่า" 
เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้าเขากลับพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่แล้วก็กลับหน้าแดง เมื่อนึกลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
 ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจความหมายคำพูดแปลกๆ ของเขาเมื่อครู่แล้ว เด็กหญิงโพล่งออกมาอย่างลืมตัว 

"ตอนนี้ตัวฉันไม่ได้เปียก!" แล้วเธอก็รีบก้มลงมองสำรวจตัวเองโดยอัตโนมัติ มัลฟอยได้ยินดังนั้นก็หน้าแดงเช่นกัน 
เขาหันหน้าหนีเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะพูดพึมพำออกมา 

"นั่นไม่เกี่ยวหรอกนะตอนนี้น่ะ...ความรู้สึกของฉันมันไม่ได้หายไปได้ง่ายๆ เหมือนเสกให้เสื้อแห้งนี่ เกรนเจอร์" 

เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าแดงจัดยิ่งกว่าเดิม ถึงตอนนี้ เธอเข้าใจความหมายที่เขาพูดออกมาทุกคำพูดอย่างชัดเจน
 เด็กหญิงยืนนิ่งอึ้ง ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามาเกาะกุมเขาทั้งสองอีกครั้ง 
กระทั่งมีเสียงคล้ายสัตว์ป่าหายใจฟืดฟาดอยู่ใกล้ๆ ดังขึ้น พร้อมกับพื้นที่สะเทือนน้อยๆ เฮอร์ไมโอนี่หันขวับไ
ปมองหน้ามัลฟอย ซึ่งตอนนี้หันกลับมามองเธอเช่นกัน แต่ดวงตาของเขาเบิกโพลง และสายตาของเขาที่จับจ้องอยู่นั้น
 กลับไม่ใช่เฮอร์ไมโอนี่ 

"อยู่เฉยๆ เกรนเจอร์ อย่าขยับ!" มัลฟอยพูดเสียงแผ่วเครือ เร็วรัว เฮอร์ไมโอนี่ตัวแข็งค้าง รู้สึกชาไปทั้งตัว..
.นี่เขาเห็นอะไร! 

มัลฟอยกำไม้กายสิทธิ์ในมือแน่น เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่ช้าๆ สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหลัง
ของอีกฝ่ายนิ่ง 

"อย่าหันไปมอง!" เขารีบพูดแทบไม่หายใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังจะหันไปมองดูสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า
 เขาเกรงว่าเธอคงขวัญกระเจิงเป็นแน่ ถ้ารู้ว่ามีตัวอะไรอยู่ข้างหลัง 

แกรปฮอร์น*โตเต็มวัย ผิวสีม่วงเทา ยืนหลังค่อมอยู่ตรงนั้น เขาที่ยาวและแหลมคมทั้งสองเขาของมันดูน่าสยดสยอง
 มันกำลังทำท่าเหมือนมองหาเหยื่ออยู่ หน้าตาอันดุร้ายของมันค่อยๆ หันมองดูรอบๆ ตัวอย่างหิวกระหาย 
เจ้าแกรปฮอร์นส่งเสียงครางดังสนั่น เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเฮือก แต่ก่อนที่เธอจะหันไปมองเจ้ายักษ์สีช้ำเลือดช้ำหนองนั้น 
มัลฟอยก็รวบตัวเธอเอาไว้แล้ว 

"มานี่! เกรนเจอร์" เขาส่งเสียงดุๆ ใส่เธอ แล้วจับศีรษะเธอให้หันไปทางตรงข้ามกับแกรปฮอร์น แต่ความอยากรู้ทำ
ให้เธอขืนตัวและหันไปมองข้างหลังทันที 

เท้าขนาดยักษ์ที่มีนิ้วข้างละสี่นิ้ว กำลังลากอย่างหน่ายๆ ไปอีกทาง เด็กหญิงมองเจ้ายักษ์ตาค้าง เธอยืนนิ่งขึงอยู่ตรงนั้น
 พลางอุทานออกมาอย่างทึ่งจัด "ตัวแกรปฮอร์น!!" เธอกระตุกแขนเสื้อมัลฟอยแล้วชี้มือไปที่เจ้ายักษ์นั่นอย่างตื่นเต้น 
"ดูสิมัลฟอย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย!" 

"ที่ไม่อยากจะเชื่อเลยน่ะเธอต่างหาก! ต้องรอให้มันหันมาเห็น แล้วเอาเธอเป็นอาหารเย็นก่อนใช่มั๊ย เธอถึงจะเชื่อ" 
มัลฟอยตัดบท แล้วลากเฮอร์ไมโอนี่ ออกไปจากตรงนั้นทันที ผิดคาดที่เขาคิดว่าเธอจะกลัว เธอกลับตื่นเต้นที่
ได้เห็นเจ้ายักษ์ใหญ่ซะนี่! 

เสียงกิ่งไม้ที่พวกเขาเหยียบย่ำ ทำให้เจ้าแกรปฮอร์นหันกลับมามองทั้งสอง มันส่งเสียงคำรามอย่างสงสัย
 พลางก้มตัวลงมาเพ่งมองพวกเขา มันพ่นลมหายใจเหม็นคลุ้งพรืดออกมา 

"มัลฟอย" เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงหลง เมื่อเจ้ายักษ์เอื้อมมือมาทางนั้น มัลฟอยหันมาร่ายคาถาใส่มันทันที 

"ไม่มีประโยชน์! หนังของมันทนคาถาได้" เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนเสียงลั่น ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
 มัลฟอยกัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจแล้วรีบฉุดเฮอร์ไมโอนี่วิ่งทันที 

แกรปฮอร์นลากเท้าตามทั้งสองอย่างเชื่องช้า มันเอื้อมมือมาอีกครั้ง เพื่อคว้าทั้งสองไว้ มัลฟอยผลักเฮอร์ไมโอนี่ไปอีกทาง 

"มาทางนี้ เจ้าหน้าโง่!" เขาร้องบอกเจ้ายักษ์ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของมันจากเฮอร์ไมโอนี่ 
ที่ตอนนี้เธอดูเจ็บระบมกับแผลจนแทบไม่มีแรงวิ่งแล้ว 

ได้ผล..แกรปฮอร์นหันมาสนใจเขาทันที มันตวัดมือเพื่อคว้าเขาไว้ แต่มันก็คว้าไปเพียงอากาศ
 มัลฟอยกระโดดหลบมือขนาดมหึมานั้นได้ทัน แต่โชคร้ายที่มืออีกข้างของเจ้าแกรปฮอร์นตะปบเข้ามาที่เขาทันที 
เฮอร์ไมโอนี่เห็นดังนั้นก็ตะโกนคาถาออกมาอย่างลืมตัว "วิงกาเดียม เลวีโอซ่า!!" เธอต้องการเสกให้มัลฟอยลอย
พ้นออกมาจากตรงนั้น โดยที่ลืมนึกไปว่า เธอไม่มีไม้กายสิทธิ์!! 

"อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!" มัลฟอยร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ร่างของเขาไถลไปอีกทาง 

"ไมมมมมมมมมมมมมมมมมมม่!!" เฮอร์ไมโอนี่กรีดร้องเสียงสนั่น เธอถลาเข้าไปหามัลฟอยอย่างขวัญเสีย
 เขากระเด็นออกไปจากตรงนั้นไกลพอดู จนเจ้าแกรปฮอร์นมองหาเขาไม่เห็น มันคำรามพลางเอามือปัดป่ายไปทั่ว
บริเวณนั้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ด้วยมันสมองระดับเดียวกับโทรลล์ภูเขา จึงทำให้มันไม่รู้ว่ามัลฟอยกระเด็นไปทางไหน
 มันยกมือใหญ่ยักษ์ขึ้นเกาหัวทึ่มๆ ของมัน ก่อนจะสอดส่ายสายตาหามัลฟอยในทิศทางตรงข้าม แล้วค่อยๆ 
ลากขาของมันเดินห่างออกไป 

เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองเจ้ายักษ์อย่างหวาดๆ ก่อนจะหันมามองมัลฟอยที่ตอนนี้แขนขวาของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด 

"ไม่....มัลฟอย..นายต้องไม่เป็นอะไร.." เธอละล่ำละลักพูดด้ยความตระหนกมัลฟอยเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้ว
ส่ายศีรษะช้าๆ 

"ฉันไม่เป็นอะไร เกรนเจอร์" โดยไม่คาดคิด..เฮอร์ไมโอนี่โผเข้ากอดเขา แล้วร้องไห้โฮเสียงดัง จนมัลฟอยตกใจ 

"ฮือออ...ฉันช่วยอะไรนายไม่ได้เลย..ฉันขอโทษ...." เธอโพล่งออกมาอย่างสุดกลั้น 

"ฉันไม่.........ไม่มีไม้กายสิทธิ์!!" เฮอร์ไมโอนี่สะอึกสะอื้นจนตัวโยน ก่อนจะครางออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ 

"มัลฟอย...ฉัน...." เธอเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาราวเสียงกระซิบ "....กลัว......" 

มัลฟอยใจเต้นระทึก เขากอดร่างอันสั่นเทิ้มแนบแน่น เด็กชายซุกหน้าลงบนศีรษะของฝ่ายหญิงอย่างสงสารจับใจ
 เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากเฮอร์ไมโอนี่ ที่เคยเก่งกล้าอยู่เสมอ 

"ไม่ต้องกลัว...ฉันอยู่นี่แล้ว" เขากระซิบเบาๆ โอบกระชับร่างที่สั่นเทาให้แน่นขึ้นอีก เขากอดเธอแน่นราวกับว่า
เธอกำลังจะหลุดหายไปไหน เฮอร์ไมโอนี่ยังคงซุกหน้าอยู่บนอกอันแข็งแกร่งของเขา 

"ฉันไม่มีวันยอมให้เธอเป็นอะไรไปแน่ๆ มันต้องข้ามศพฉันไปก่อน" เขากัดกรามคำรามออกมา 

คำพูดของเขาทำให้เธอกังวลใจเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย และคลายความกลัวลงได้บ้าง
 เพราะอย่างน้อย เธอก็ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง 

สักพักเฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มสงบลงจากความตื่นกลัว เธอค่อยๆ คลายวงแขนออกจากมัลฟอย แต่เขายังไม่มีทีท่าว่าจะ
ปล่อยมือออกจากเธอเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่คลายวงแขนที่รัดแน่นให้กอดเธอไว้อย่างหลวมๆ 
เฮอร์ไมโอนี่เอียงศีรษะพิงกับอกของเขา แล้วซุกตัวอยู่อย่างนั้นอยู่เป็นพัก ความเงียบเริ่มย่างกรายเข้ามาปกคลุมคนทั้งสอง
 หากแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น มัลฟอยกอดเฮอร์ไมโอนี่ไว้อย่างหวงแหน 

"ฉันอยากจะสัมผัสเธอได้เสมอ..แม้เธอจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนแบบนี้......." เขากระซิบออกมาเบาๆ ที่ข้างหูเด็กหญิง 

"...เฮอร์ไมโอนี่......" มัลฟอยก้มหน้าลงมองดวงตากลมใสของอีกฝ่าย เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอด้วยชื่อต้นแบบนี้ 
เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขาช้าๆ ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างลึกซึ้ง แล้วเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยก็ค่อยๆ
 ขยับเปลือกตาลงอย่างช้าๆ เธอรู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่ถี่กระชั้นเข้ามาใกล้ และเริ่มประสานเข้าเป็นลมหาย
ใจเดียวกันกับเธอ ทันทีที่เปลือกตาเธอปิดสนิท ริมฝีปากอุ่นๆ ของอีกฝ่ายก็แนบลงมาเบาๆ บนริมฝีปากอันสั่นเทาของเธอ
 มัลฟอยจุมพิตเธออย่างแผ่วเบาและอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง 

เมื่อริมฝีปากของทั้งสองค่อยๆ เลื่อนหลุดอออกจากกัน มัลฟอยกระซิบเบาๆ เหนือริมฝีปากของฝ่ายหญิง 

".....ฉัน................" เขาหยุดนิ่งไป เฮอร์ไมโอนี่กลั้นหายใจรอฟังคำพูดของเขาด้วยใจระทึก เธอคิดว่า
 เธอพอจะคาดเดาได้ว่า เขากำลังจะพูดอะไรกับเธอ มัลฟอยมองตาเธอนิ่งอย่างชั่งใจ เขากัดริมฝีปากตัวเอง 
แล้วหันหน้าหนีอีกฝ่ายเอาดื้อๆ

เด็กชายผละออกจากเฮอร์ไมโอนี่ แล้วคว้าไม้กายสิทธิ์ที่ตกอยู่ข้างลำตัวขึ้นมา เขาสำรวจดูแผลที่แขนของตัวเอง
 ก่อนจะพูดขึ้น 

"เราไปหาทางออกกันต่อเถอะเกรนเจอร์" ตอนนี้เขาไม่ได้เรียกเธอด้วยชื่อต้นอีกแล้ว.. 

เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าช้าๆ มีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลของเด็กหญิง เธอมองดูมัลฟอยที่กำลังทำแผล
ให้ตัวเองเงียบๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย 

"เราสองคนจะไปจบลงตรงไหนกันนะ..มัลฟอย.." เฮอร์ไมโอนี่ปาดน้ำตา แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตามเขาไป 
ด้วยจิตใจอันสับสนและอ่อนล้า โดยที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลย... 

................................................................................................... 

เฮอร์ไมโอนี่เดินตามหลังมัลฟอยไปเงียบๆ เขาเหลือบตามองเด็กหญิง แล้วคว้ามือเธอมากุมไว้มั่น ไม่มีคำพูดใดๆ 
เอ่ยออกมาจากคนทั้งสองอีก แต่ความรู้สึกที่มีต่อกัน ส่งผ่านมือที่ประสานกันไว้นั้น มีความหมายมากมายกว่าคำพูดใดๆ
 นัก
มือที่ใหญ่และแข็งแรงสมกับเป็นนักกีฬาของเขา ที่กุมมือเล็กๆ ของเธอไว้นั้น ทำให้จิตใจเธอสงบและอบอุ่นได้อย่าง
น่าประหลาด พวกเขาเดินไปด้วยกันเงียบๆ สักพัก เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มสังเกตเห็นเลือดที่ยังคงซึมผ่านผ้าพันแผลสีขาว
ที่เขาเสกขึ้นมาพันแผลของตัวเองไว้ เธอบีบมือเขาเบาๆ เป็นเชิงเรียก มัลฟอยหันมามอง 

"พักสักหน่อยไม่ดีหรือมัลฟอย ท่าทางแผลเธอจะหนักเอาการเลยนะ" เด็กหญิงพูดเบาๆ มัลฟอยมองไปรอบบริเวณ
ที่รกครึ้ม เขาไม่พูดว่าอะไร พลางจูงเฮอร์ไมโอนี่เดินต่อไปอีกนิด แล้วเลือกที่จะนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง 
โดยที่ยังไม่ได้ปล่อยมือจากฝ่ายหญิง 

เฮอร์ไมโอนี่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา ตอนนี้เองที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นเหงื่อที่ผุดออกมาเต็มใบหน้าอันซีดเซียวของเขา
 ริมฝีปากบางที่ปกติก็มีสีซีดอยู่แล้ว กลับดูซีดขาวลงกว่าเดิมมาก เขาหายใจหอบนิดๆ 

"มัลฟอย เธอโอเคหรือเปล่า" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างร้อนรน 

"เธอรู้จักตัวแกรปฮอร์นดีแค่ไหน เกรนเจอร์" แทนคำตอบ เขากลับถามคำถามนี้ออกไป เธอทำหน้าฉงน
 แต่ก็ตอบเขาไปว่า "ฉันเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับมันอยู่บ้าง มีอะไรเหรอ" 

"เล็บของมันมีพิษหรือเปล่า" เขาถามด้วยสีหน้าหวั่นวิตก แต่ก็พยายามบังคับน้ำเสียงให้ดูเป็นปกติที่สุด
 เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังรู้สึกกลัวอยู่นิดๆ กับความเจ็บปวดของพิษบาดแผลที่เขาได้รับ 

"เล็บเหรอ….." เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าคิด พลางพึมพำออกมาเหมือนพยายามทบทวนความจำจากหนังสือที่เธอเคยอ่านพบ 

"เขาของแกรปฮอร์นนำมาบด ใช้ปรุงยาได้…หนังของมันหนาและเหนียว สามารถป้องกันเวทมนตร์คาถาได้….
แต่ฉันไม่เคยได้ยินว่าเล็บของมันมีพิษเลยนะ" ว่าจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็คว้าแขนข้างขวาของเขา ปลดผ้าพันแผลออก
ด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถูกอีกฝ่ายจับอย่างทุลักทุเล แล้วมองดูบาดแผลภายใต้แขนเสื้อที่ขาดวิ่นอย่างพินิจ 

"ฉันว่ามันไม่เกี่ยวกับพิษหรอกนะมัลฟอย…แต่แผลค่อนข้างลึก เธอคงจะเริ่มไข้ขึ้นเพราะความฉกรรจ์ของบาด
แผลมากกว่าน่ะ" เฮอร์ไมโอนี่นิ่งไปสักพัก เธอกำลังครุ่นคิดถึงวิธีที่จะช่วยเหลือเขา 

"ปล่อยมือฉันก่อนได้ไหม.." เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยใบหน้าสีชมพูพลางหรุบตาลงต่ำ "แล้วเอาไม้กายสิทธิ์มาให้ฉัน..
ฉันจะได้รักษาแผลให้เธอ.." 

มัลฟอยยิ้มอย่างอิดโรย ก่อนจะปล่อยมือเฮอร์ไมโอนี่อย่างว่าง่าย เด็กหญิงพึมพำคาถา ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่แผล
ของเขาแล้วเคาะเบาๆ เลือดที่ซึมออกมาค่อยๆ กอดตัวกันเป็นก้อนแล้วแห้งกรังไปในที่สุด ความเจ็บปวดดูเหมือน
จะทุเลาลงด้วย แต่เพื่อความแน่ใจ เธอจึงเสกผ้าพันแผลขึ้นมาพันไว้อีกครั้ง 

"คาถาสมานแผลน่ะ ฉันเคยอ่านเจอ นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้เลยนะ" เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างภูมิใจในผลงานของตน 

"แต่เธอคงต้องดื่มยา และใช้คาถาระดับสูงกว่านี้ช่วยรักษานะ…….ฉันอยากให้มาดามพอมฟรีย์อยู่ที่นี่ด้วยจัง.."
 เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจ

"ฉันไม่เห็นอยากให้มีใครมาอยู่ที่นี่ด้วยซักนิด" มัลฟอยพูดแล้วดึงเฮอร์ไมโอนี่เข้ามากอดอย่างคนเอาแต่ใจ

 "ฉันง่วงจังเกรนเจอร์ ขออยู่แบบนี้ซักพักได้ไหม"

เฮอร์ไมโอนี่นิ่งอึ้งอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าช้าๆ เธอซุกหน้าลงบนอกอุ่นนั้น เสียงหัวใจของเขาที่ดังอยู่ข้างหู
 ทำให้เธอรู้ว่า ตอนนี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวเร็วไม่ต่างจากเธอ เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจที่หอบถี่ของเขา
 ที่ประสานเข้ากับลมหายใจของเธอเป็นท่วงทำนองเดียวกัน มัลฟอยโอบกอดเธอกระชับแน่นขึ้นอีกนิด
 เขาพึมพำออกมาเบาๆ 

"j’ai pense beaucoup ? toi" ** 

เด็กหญิงชะงัก แน่นอน เธอรู้ความหมายของวลีภาษาต่างประเทศนี้เป็นอย่างดี แต่เธอก็นึกแปลกใจอยู่ไม่
ที่มัลฟอยเองก็เข้าใจภาษานี้ เธอค่อยๆ เงยหน้าที่เป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมองเขา แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะผล็อยหลับไปแล้ว 
เฮอร์ไมโอนี่อมยิ้มน้อยๆ แล้วก้มหน้าลงซุกกับอกของเขาอีกครั้ง ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณนั้น 
ความรู้สึกกลัวที่เคยเกาะกุมอยู่ในจิตใจดูเหมือนจะจางหายไปแทบหมดสิ้น เฮอร์ไมโอนี่ปล่อยความคิดล่องลอย
ไปอย่างไร้จุดหมาย ความอ่อนล้าทำให้หนังตาเธอเริ่มหนัก ไม่ช้า เธอก็ผล็อยหลับไปเช่นกันด้วยความอ่อนแรง… 

* อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 4



** "j’ai pense beaucoup ? toi" (เชอ ปองส์ โบกู อา ตัว) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "ฉันคิดถึงเธอมากเหลือเกิน" 

*****6***** 

เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างงัวเงีย เธอขยับตัวน้อยๆ อย่างเกียจคร้าน แล้วซุกหน้าลงบนสิ่งที่เธอคิดว่าเป็น
 "หมอน" อีกครั้ง ก่อนจะรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เธอมองดูหน้าอกที่เธอใช้หนุนนอนเมื่อคืน
 กำลังขยับขึ้นลงช้าๆ ตามจังหวะหายใจ แล้วก็ต้องตกตะลึง ที่หน้าอกนั้นเปลือยเปล่า! 

เฮอร์ไมโอนี่ผงะถอยหลัง แล้วผลักมัลฟอยออกทันที เป็นผลให้เขาตกใจตื่น มัลฟอยขมวดคิ้วมองเธออย่างไม่พอใจ 

“ทำอะไรน่ะเกรนเจอร์” 

“ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถาม!” เด็กหญิงกล่าวอย่างมีอารมณ์ พลางมองไปที่เสื้อเชิ๊ตที่ไม่ได้ติดกระดุมของเขา
 มัลฟอยก้มลงมองตาม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มมุมปาก พลางเหลือบมองเธอด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ที่สุด
ในความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่ เป็นผลให้เธอหน้าแดง และดูโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม มัลฟอยไม่ได้ตอบว่าอะไร 
เขากลับฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายอารมณ์พลางติดกระดุมเสื้อตัวเอง แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เฮอร์ไมโอนี่มองเขาแล้ว
พูดเสียงสั่นอย่างพยายามระงับอารมณ์ที่สุด 

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ว่านายจะเป็นคนฉวยโอกาสแบบนี้!” 

มัลฟอยเหลือบมองเฮอร์ไมโอนี่ รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากบางซีดนั้น 

“เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนนะ” เขาพูดอย่างมีเลศนัยน์ 

“ไม่จริง! นายมันบ้า! สกปรกที่สุด!!” เฮอร์ไมโอนี่ตะเบ็งเสียงใส่เขาอย่างเหลืออด น้ำตาเริ่มเอ่อมาที่ขอบตาเธอทันที
 มัลฟอยเห็นท่าไม่ดี จึงรีบพูดขึ้น 

“เธอคิดอะไรอยู่ เกรนเจอร์..เมื่อคืนฉันเห็นเธอตัวสั่นเพราะความหนาว ก็เลยปลดกระดุมเสื้อ แล้วเอามาห่อตัวเธอไว้
 ก็เท่านั้น” เขาหรี่ตามองเธอแล้วอมยิ้มแบบร้ายๆ “นี่เธอคิดไปถึงไหนกัน…” แล้วเขาก็ฮัมเพลงต่ออย่างยั่วยวนกวน
ประสาทเธอเป็นที่สุด 

เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็หน้าแดงจัดด้วยความอาย เธอเพิ่งได้ทันสังเกตว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
ไปแม้แต่น้อย เด็กหญิงนึกโกรธที่มัลฟอยแกล้งยั่วให้เธอคิดไปถึงไหนๆ เธออยากจะปาอะไรใส่ใบหน้าอันยั่วยวนของ
เขานัก มัลฟอยยังคงส่งรอยยิ้มยียวนที่เกลื่อนอยู่บนใบหน้าของเขาใส่เฮอร์ไมโอนี่อย่างไม่ขาดสาย จนเด็กหญิงทำหน้างอ
 และตั้งท่าจะลุกหนี ก็พอดีกับที่สายตาเธอพลันเหลือบไปเห็น นกสีฟ้าลายจุดตัวกระจิ๋วสองสามตัว
 กำลังบินอยู่เบื้องหลังเขา เธอเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เฮอร์ไมโอนี่คว้าแขนมัลฟอยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น 

“จอบเบอร์นอลล์!”* 

มัลฟอยขมวดคิ้วมองหน้าเธอ แล้วมองตามสายตาอัดเจิดจ้าของเด็กหญิง ที่จ้องเป็นประกายไปข้างหน้า 

“วิเศษไปเลย..นายรู้มั๊ย ขนของมันนะ เอาไปใช้ประกอบในการปรุงน้ำยาฟื้นความจำ แล้วก็สัจจะเซรุ่มได้ด้วย!” 
มัลฟอย มองตามนกตัวจิ๋วพวกนั้นไป แล้วพูดขึ้นบ้าง
“บินเงียบเชียว ไม่เห็นส่งเสียงร้องให้รู้ตัวบ้างเลย” เฮอร์ไมโอนี่ปรายตามองเขา แล้วยิ้มอย่างผู้ที่เหนือกว่า 
เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยๆ 

“นี่นายคงไม่เคยอ่านหนังสือเลยซินะมัลฟอย ถึงได้ไม่รู้เลยว่า จอบเบอร์นอลล์น่ะ จะไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย
 จนกระทั่งมันใกล้ตายเท่านั้น” มัลฟอยหันมามองหน้าเธอ แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่เธอทำท่าเหมือนกำลังดูถูกเขา 

“บังเอิญฉันไม่ใช่หนอนหนังสือ เกรนเจอร์” เขาดันตัวเธอไปติดกับต้นไม้ใหญ่ที่พวกเขาใช้แทนที่นอนเมื่อคืนนี้
 แล้วพูดด้วยเสียงยานคางแบบที่เฮอร์ไมโอนี่เกลียดอย่างที่สุด 

“ฉันชักอยากให้เธอส่งเสียงแบบคนใกล้ตายให้ฉันฟังบ้างซะแล้วซิ” เขาหยุดจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับจะกลืนกินเธอ
ไปทั้งตัว 

“รู้อย่างงี้เมื่อคืนไม่กอดเฉยๆ ก็ดีหรอก ไหนๆ ก็ปลดกระดุมเสื้อแล้วนี่” เขาหรี่ตาลง ค่อยๆ ยิ้มมุมปากอย่างช้าๆ
 แล้วแกล้งก้มหน้าลงมาชิด 

“ตอนนี้จะถอดใหม่ก็ได้นะ ไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอก” เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงจัด เธอผลักเขาออกอย่างแรง 

“คนหยาบคาย!!!” เธอตะโกนเสียงดัง มัลฟอยทนกลั้นหัวเราะกับท่าทางของอีกฝ่ายไม่ไหว เขาระเบิดเสียงหัวเราะ
ออกมาอย่างขบขัน เป็นผลให้เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่าโดนเขาแกล้งยั่วเข้าให้อีกแล้ว เธอตั้งท่าจะเดินหนีไปอีกทาง 
มัลฟอยรีบฉวยข้อมือเธอไว้ 

“มาทางนี้ ยายหนอนหนังสือ” เขาดึงเธอให้เดินมาด้วยกันกับเขา เฮอร์ไมโอนี่จำใจเดินตามเขามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในป่าปริศนานี้ เธอคงไม่มีวันยอมให้เขาแกล้งเธอง่ายๆ แบบนี้เป็นแน่
“เมื่อกี้เธอทำฉันเจ็บแผล” จู่ๆ มัลฟอยก็พูดขึ้น 

“นั่นสมควรแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่กระแทกเสียงใส่อย่างหัวเสีย เขาหันมาเลิกคิ้วมองเธอแล้วพูดลอยๆ 

“นี่ถ้ายังต้องติดอยู่ที่นี่ถึงคืนนี้ คงต้องมีการทำโทษกันแน่ๆ” เฮอร์ไมโอนี่สะบัดมือออกจากเขา แต่มัลฟอยรู้ทัน
 เขายึดมือเธอไว้แน่น เด็กชายเห็นใบหน้าอันแดงจัดของเธอก็นึกขำ จึงแกล้งพูดต่อ 

“ไปหาลำธารล้างหน้าล้างตากันก่อนเถอะ” เขาหยุดเว้นจังหวะ แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิง 

“แล้วอย่าทำให้ตัวเปียกอีกล่ะ คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปอีกแล้วนะ” 

มัลฟอยกระซิบเสียงแผ่วข้างๆ หูเฮอร์ไมโอนี่ แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งอายมากกว่าเดิม

 เธอนึกอยากจะสาปเขาให้สาสมกับที่เขาแกล้งเธอนัก แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม้กายสิทธิ์อยู่ในมือของเขา

ตลอดเวลา จึงทำให้เขาได้ทีอยู่แบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากแน่น แล้วสะบัดหน้าหนี มัลฟอยไม่พูดว่าอะไรต่อ

 ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกสนุกที่ได้แกล้งเธอ แต่เขาก็ไม่อยากทำลายช่วงเวลานี้ลง เขารู้สึกพอใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดเฮอร์ไมโอนี่

ในช่วงเวลาที่ไม่คาดฝันนี้ จึงไม่ได้แกล้งอะไรเธอต่อ เพราะเกรงว่านั่นอาจทำให้เฮอร์ไมโอนี่โกรธเขาเข้าจริงๆ ก็เป็นได้

มัลฟอยพาเฮอร์ไมโอนี่เดินลึกเข้าไปในป่าอย่างไร้จุดหมาย ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเช้า แต่ความรกครึ้มของต้นไม้
 ก็ทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดมัวเป็นอย่างยิ่ง พื้นดินที่ทั้งสองเหยียบย่ำไป เต็มไปด้วยรากของต้นไม้ที่งอกระเกะระกะปะปน
กับเถาวัลย์ที่เลื้อยพันอยู่ดาษดื่น ทำให้ทุกย่างก้าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก ประกอบกับทั้งสองสะบักสะบอมกับ
บาดแผลกันพอดู จึงทำให้การเดินทางเป็นไปโดยไม่ราบรื่นนัก เมื่อเดินมาได้สักระยะหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะหาลำธารพบ
 จู่ๆ เฮอร์ไมโอนี่ก็หยุดชะงัก มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างรำคาญ พลางทำท่าจะเอ่ยปากถาม เธอก็จุ๊ปากเป็นเชิงห้าม
 แล้วชี้มือไปทางด้านที่มีต้นไม้ต้นใหญ่ตรงที่ดูจะเป็นบริเวณที่รกครึ้มที่สุด มัลฟอยมองตามมือเล็กๆ ที่สั่นน้อยๆ นั้น 

สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายลิงขนาดใหญ่ มีขนยาวสีเงินเป็นเงางาม ดูพลิ้วสลวยเหมือนแพรไหมกำลังย่างกรายช้าๆ
 จากต้นไม้ต้นหนึ่ง ไปยังอีกต้นหนึ่ง ด้วยท่าทางที่ดูสง่างามยิ่งนัก มัลฟอยมองสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างสวยงาม
ตรงหน้าตาค้าง เขาครางออกมาเบาๆ ราวเสียงกระซิบ 

"เดมิไกส์" ** เฮอร์ไมโอนี่หันมามองหน้าเขาอย่างไม่เชื่อหู "นายรู้จัก??" มัลฟอยหันมาขมวดคิ้วใส่เธออย่างขัดใจ 

"นี่เธอคิดว่าฉันโง่มากเลยเหรอ เกรนเจอร์!!" เขาหันกลับไปมองเจ้าสัตว์วิเศษตัวสวยนั้นอีกครั้ง 

"ขนของเดมิไกส์หายากและมีราคาแพงมาก เพราะมันเอามาใช้ทอเป็นผ้าคลุมล่องหนได้" เขาพูดเหมือนเพ้อ 

"ฉันเคยขอให้พ่อซื้อให้หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ยอมซื้อให้" เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างทึ่ง "เพราะอย่างนี้นี่เอง นายถึงรู้จัก" 
แล้วเธอก็หันไปมองเดมิไกส์อีกครั้ง 

"มันสวยจังนะ" 

"อืมม์" มัลฟอยรับคำในลำคอ แล้วเขาก็ขยับไม้กายสิทธิ์ขึ้น 

"นั่นนายจะทำอะไร" เฮอร์ไมโอนี่ร้องถามทันที ที่เห็นเขากระชับไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแบบนั้น 

"ฉันอยากได้ขนของมัน" มัลฟอยตอบเรียบๆ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เดมิไกส์ราวกับตกอยู่ในภวังค์ 

"ไม่ได้นะ!! นายจะฆ่ามันงั้นเหรอ"เฮอร์ไมโอนี่รีบห้าม 

"ฉันอยากได้ขนของมันมานานแล้วเกรนเจอร์ อย่ามาห้ามฉันซะให้ยากเลย" เฮอร์ไมโอนี่ไม่ฟังเสียง เธอรีบเข้าไปยื้อ
แขนเขาไว้ทันที พยายามจะแย่งไม้กายสิทธิ์จากเขามาให้ได้ 

"นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ" เธอร้องห้ามเสียงแหลม"อย่ายุ่งได้มั๊ย ยัยหัวฟู!!!" มัลฟอยตะโกนใส่เฮอร์ไมโอนี่อย่างรำคาญ
 เสียงถกเถียงของทั้งสองเริ่มดังขึ้น ทำให้เดมิไกส์รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังเข้ามาใกล้ มันจึงหายตัวไปในทันที
 เมื่อเห็นดังนั้นมัลฟอยจึงหันมาตะคอกใส่อีกฝ่ายอย่างหัวเสีย 

"มันหนีไปแล้วเห็นมั๊ย!!" 

"ต่อให้ฉันไม่ห้าม นายก็ไม่มีวันจับเดมิไกส์ได้! แม้แต่พ่อมดผู้ใหญ่บางคนยังจับมันไม่ได้เลย!" เฮอร์ไมโอนี่สวนกลับ
อย่างโกรธๆ  

"แล้วเธอมาห้ามฉันทำไม!" มัลฟอยตะเบ็งเสียงแข่งกับเธอทันที เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามัลฟอยจะ
เอาแต่ใจตัวเองและไร้เหตุผลมากขนาดนี้ 

"นายนี่นิสัยแย่ไม่เปลี่ยนเลยนะ" เด็กหญิงโพล่งออกมาอย่างเหลืออด มัลฟอยอ้าปากเตรียมจะตอบโต้
 แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด เธอรีบชิงพูดขึ้นมาก่อน 

"นี่นายไม่นึกสงสัยบ้างหรือยังไง ว่าทำไมป่านี้ถึงมีแต่สัตว์วิเศษแปลกๆ เยอะแยะแบบนี้" เธอหยุดหอบหายใจด้วย
ความโมโห "แล้วเป็นสัตว์ที่หายาก แถมไม่น่าจะมาอยู่ในประเทศนี้เลยด้วยซ้ำ" มัลฟอยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร
 เฮอร์ไมโอนี่จึงพูดต่อ 

"เดมิไกส์น่ะ ปกติจะอาศัยอยู่ในประเทศแถบตะวันออกไกล ไหนจะสัตว์อื่นๆ ที่เราพบอีกล่ะ นายไม่สงสัยบ้างเลย
เหรอว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" มัลฟอยยักไหล่อย่างไม่แยแส 

"ไม่เห็นแปลก เจ้าพวกยีลล์คงจะเอามาปล่อยไว้ เพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านศาสตร์มืดน่ะสิ" เฮอร์ไมโอนี่ตาโต 

"นี่นายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนพ่อนายทำแบบนี้น่ะ" มัลฟอยหันมามองหน้าฝ่ายหญิงพลาง
แสยะยิ้มอย่างไม่น่าดู แบบที่เขาเคยทำกับเธอเมื่อก่อน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน 

"รู้สึกสิ เกรนเจอร์ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ มาก!" เขาเน้นเสียงพยางค์หลังอย่างจงใจ 

เฮอร์ไมโอนี่นิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ และเริ่มรู้สึกร้อนบริเวณดวงตา 
เธอรู้สึกเสียใจมาก ที่มัลฟอยยังคงเป็นมัลฟอยคนเดิมเสมอ เธอเคยหลงคิดไปว่า เขาอาจจะมีความนึกคิดที่ดีขึ้น
บ้างหลังจากเริ่มมาสนิทสนมกับเธอ แต่เขาก็แสดงให้เธอเห็นอยู่เสมอ ว่าการที่พวกเขามาใกล้ชิดกันนั้น
 ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกนึกคิดบางอย่างของเขาเปลี่ยนไปได้ 

เมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบไป มัลฟอยจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเดินนำหน้าเธอไปอย่างเร็วโดยที่ไม่ได้จับมือเธอ
ไว้เหมือนตอนแรก เด็กหญิงเดินตามเขาไปเงียบๆ เธอมองไปที่มือของเขา แล้วก้มลงมองมือของตัวเอง
 เธอรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง ที่เริ่มคืบคลานเข้ามาเงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะเดินอยู่ตรงหน้า..
ใกล้เพียงแค่มือคว้า..ทว่า เธอกลับรู้สึกว่าพวกเขาช่างดูห่างไกลกันเสียเหลือเกิน มันทำให้เด็กหญิงรู้สึกถึงความ
เหงาที่จู่โจมเข้ามาเกาะกุมจิตใจของเธออย่างช่วยไม่ได้ความเงียบเริ่มแผ่ขยายเข้ามายังคนทั้งสองอีกครั้ง 

เฮอร์ไมโอนี่นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างพวกเขา ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเทอมของปีสี่ ความอ่อนโยนอย่าง
ไม่คาดฝันของมัลฟอย ทำให้เขาดูเป็นคนน่ารักขึ้น นั่นเองกระมัง ที่เป็นสิ่งที่จูงใจให้เธอเริ่มหันมาสนใจในตัวเขา
 แต่หลายต่อหลายครั้ง ที่เธอรับรู้ได้เสมอว่านิสัยส่วนตัวแย่ๆ ของเขาไม่ได้ดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
 โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิททั้งสองของเธอ หรือในบางครั้ง แม้กระทั่งกับตัวเธอเอง..

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เด็กหญิงก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก..แล้วเธอเป็นใครล่ะ..สำหรับเขา... 

ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ที่ดูจะแนบแน่นขึ้นทุกวันทุกวันนั้น ไม่ได้บ่งชี้เลยสักนิด ว่าเธอสำคัญสำหรับเขา
 ตัวเขาเองก็ไม่เคยเอ่ยอะไรกับเธอ มิหนำซ้ำ เมื่อวานที่ดูเหมือนเขาจะพูด เขากลับดูลำบากใจอย่างเหลือเกิน 
การคบหากับเธอ ทำให้เขาต้องลำบากใจถึงกระนั้นเชียวหรือ.. 

อยู่ๆ น้ำตาของเธอก็รื้นขึ้นมาที่ขอบตาอย่างห้ามไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มัลฟอยหันมาเห็น 
เขาไม่รู้สึกประหลาดใจเลย ที่จู่ๆ เธอก็จะร้องไห้อีก ไม่แปลกหรอก ที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะร้องไห้
 ถ้าต้องติดอยู่ในป่าอันแปลกประหลาดอย่างไม่มีกำหนดแบบนี้ แถมเมื่อครู่ เขายังพูดจาแย่ๆ กับเธออีกด้วย 
มัลฟอยรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ แต่เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะให้เขาง้อเธอเรอะ คงไม่มีวัน จะพูดปลอบ เขาก็ทำไม่ได้
 เด็กชายจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปกุมมือเล็กๆ ของเธอไว้ 

"ขี้แยกว่าที่คิด ยายหัวฟู" 

แล้วเขาก็ดึงเธอมาเดินข้างๆ บีบมือเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก แต่สิ่งที่คนแข็งกระด้างอย่าง
เขากำลังทำอยู่ ช่างมีความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดใดๆ มากมายนัก สำหรับเฮอร์ไมโอนี่ เธอปล่อยให้น้ำตา
ที่เอ่ออยู่ไหลออกมา เธอปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าเธอรู้สึกดีใจที่มีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ เธอเข้าใจดี 
ว่ามัลฟอยทำดีที่สุดแล้วในการปลอบโยนเธอครั้งนี้ ความน้อยใจเมื่อครู่ ดูจะเบาบางลงไปถนัด เด็กหญิงยิ้มน้อยๆ
 แล้วพูดออกมาเบาๆ 

"ขอบใจ..." 

มัลฟอยทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของฝ่ายหญิง แต่เขาก็กระชับมือเธอแน่นขึ้นกว่าเดิม หันหน้าไปอีกทางแล้วเอานิ้ว
เกาจมูกตัวเองเบาๆ อย่างขัดเขิน แล้วเดินต่อไปด้วยใบหน้าสีชมพู 

.............................................................................. 

เมื่อเดินผ่านบริเวณที่พวกเขาพบเดมิไกส์ไปได้สักระยะหนึ่ง มัลฟอยก็หันกลับไปมองที่ตรงนั้นอีกครั้ง

 ตอนนี้เดมิไกส์ปรากฏกายขึ้นอีกแล้ว เขาหยุดจ้องมันอย่างกระหาย เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองตามเขา 

แล้วหันกลับมามองเขาโดยเร็วอย่างตกใจ มัลฟอยมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังมองเขาด้วยสายตาวิงวอน

เขาหันกลับไปมองดูเดมิไกส์แสนสวยนั้น แล้วเหลียวกลับมามองสายตาเว้าวอนนั้นอีกครั้ง เขาจ้องหน้าเธออย่างลังเล
 แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ 
"ฉันยอมแพ้" เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มอย่างลิงโลด เขาส่ายศีรษะแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

"เธอทำหน้าแบบนี้ทำให้ฉันอยากทำอย่างอื่นมากกว่าล่าเดมิไกส์นะ เกรนเจอร์" ว่าแล้วเขาก็รวบร่างฝ่ายหญิงเข้ามา

โดยไม่ยอมให้เธอได้ทันตั้งตัว แล้วประทับรอยจุมพิตลงที่คอระหงของเด็กหญิงแล้วขบเบาๆ จนเฮอร์ไมโอนี่แทบ

ลืมหายใจ มัลฟอยถอนริมฝีปากออกแล้วไล้มือไปตรงรอยจูบของตนเมื่อครู่ 

"ฉันหิวจนแทบจะกินเธอได้ทั้งตัวแล้วนะ เกรนเจอร์" เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แฝงไปด้วยความหมายที่เฮอร์ไมโอนี่เอง
ก็เดาได้ไม่ยาก เด็กหญิงรู้สึกชาวูบไปทั้งตัว เลือดในร่างกายสูบฉีดขึ้นไปบนใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว
 มัลฟอยจ้องตาเธอด้วยสายตาคมกริบจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องหลบตาเขา 

เด็กชายค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปใกล้ฝ่ายหญิงแล้วฝังจมูกลงบนแก้มอันมอมแมมของเธอเบาๆ เป็นเชิงหยั่งใจ
 เฮอร์ไมโอนี่เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เขาชะงักและเข้าใจในทันที 

มัลฟอยยืดตัวขึ้นตรง มองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ แต่ก็ไม่ได้ดึงดันที่จะทำอะไรเธออีก เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่กล้าสบตาเขา 
เด็กชายเม้มริมฝีปาก จ้องมองเฮอร์ไมโอนี่แล้วสูดลมหายใจลึก 

"ฉันจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น" เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ ในที่สุด 

"ตอนนี้เราไปหาอะไรที่พอจะทำให้อิ่มท้องได้กันเถอะ" มัลฟอยถอนหายใจอีกครั้ง จูงมือเธอแล้วก้าวเดิน 

"คราวหลังจะขอให้ฉันทำอะไรก็พูดออกมานะ" เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองเขา
อย่างสงสัย 

"อย่าทำหน้าแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ไม่งั้นฉันไม่รับประกันความปลอดภัยของเธออีกแล้วนะ เกรนเจอร์" 
เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง เธอเข้าใจความหมายของเขาได้อย่างไม่ยากเย็นนักในครั้งนี้ 

"อย่าลืม...ว่าเราอยู่กันสองคนเท่านั้น ในป่าบ้าๆ นี่" เขาหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ 
ที่นิ่งเงียบไม่ตอบเขามาตั้งแต่เมื่อครู่

"เข้าใจมั๊ย?" เด็กหญิงเม้มปาก เธอพยักหน้าหงึก แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูด 

"ไปต่อเถอะ ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน" มัลฟอยเลิกคิ้ว เฮอร์ไมโอนี่เห็นสายตาของเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
 เธอจึงรีบพูดด้วยเสียงเฉียบขาด 

"รับรองว่าสิ่งที่ฉันอยากกิน ไม่ใช่นายแน่..มัลฟอย!!" เด็กชายแสยะยิ้ม 

"รอดตัวไป ยัยหัวฟู" 

แล้วเขาก็กระชับมือเธอมั่น แล้วก้าวเดินต่อไป เพื่อหาลำธารและอาหารมาประทังความหิว
 โดยที่ไม่รู้เลยว่า พวกเขากำลังจะเดินไปที่ไหน และหนทางข้างหน้า จะต้องพบเจอกับอะไรต่อไป...


* อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 10

** อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 17 

*****7***** 

มัลฟอยใช้มือแหวกเถาวัลย์ที่ขึ้นมาปกคลุมทางเดินที่พวกเขาจะก้าวผ่านด้วยสีหน้าขยะแขยง เฮอร์ไมโอนี่
เห็นเข้าก็นึกขำระคนสงสาร ที่คุณหนูอย่างเขาต้องมาตกที่นั่งลำบากแบบนี้ แต่การที่ได้มาผจญภัยอยู่ในป่ากับเขาแบบนี้
 ทำให้มัลฟอยดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าพึ่งพามากขึ้น เธอรู้สึกถึงความเป็นผู้ชายเต็มตัวในตัวเขา กล้ามเนื้อที่แสดงความ
เป็นหนุ่มเริ่มปรากฎออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ร่างกายของเขาตอนนี้ดูแข็งแกร่งสมเป็นนักกีฬา
 ผิดกับผิวพรรณขาวซีดบอบบางที่แสดงความเป็นคุณหนูของเขา 

เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อได้ยินเสียงประท้วงออกมาจากกระเพาะของอีกฝ่าย 
มัลฟอยหันมาทำหน้าดุๆ ใส่เธอทั้งที่ใบหูของเขาเป็นสีแดง 

“แล้วเธอไม่หิวหรือยังไงกัน” 

“หิว..แต่คงไม่เท่านายมั้ง แล้วอย่างน้อย กระเพาะของฉันมันก็รักษาหน้าให้นายของมันละน่า” เธอตอบกลั้วหัวเราะ 

มัลฟอยอ้าปากเตรียมจะสวนกลับก็ได้ยินเสียงร้องจี๊ดประหลาดอยู่ด้านหลัง เขาหันขวับไปมองก็เห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ
 วิ่งกรูกันเป็นฝูงออกมาจากทางพุ่มไม้ข้างๆ เขา มัลฟอยเบี่ยงตัวหลบทันที แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับตาโตและส่งเสียงร้อง
ด้วยความดีใจ 

“เราไม่ต้องทนหิวแล้วมัลฟอย!” เด็กชายได้ยินก็เบ้หน้าด้วยความรังเกียจ 

“ฉันยอมตายดีกว่าเกรนเจอร์!” เด็กหญิงหันมามองเขา นิ่วหน้าอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ” เขามองเธออย่างไม่เชื่อสายตา
 เหมือนคำพูดที่เพิ่งจะหลุดรอดออกมาจากเธอนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก มัลฟอยทำหน้าขยะแขยงก่อนสบถออกมาดังลั่น

“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ถ้าเธอกินเจ้าหนูสกปรกโสโครกพวกนั้นละก็ ฉันสาบานว่าจะไม่จูบเลยอีกเลย เกรนเจอร์!”
 เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินดังนั้นก็พ่นลมหายใจพรืด เธอพูดกลั้วหัวเราะ 

“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันมัลฟอย ว่านายไม่รู้จักตัวเมิร์ตแลป” * 

“ฉันรู้จัก!!! “ มัลฟอยตะโกนอย่างหัวเสียที่เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาสมองนิ่มกระทั่งไม่รู้จักเจ้าเมิร์ตแลปพวกนั้น 

“แล้วมันต่างกันตรงไหน เกรนเจอร์ รูปร่างมันก็เหมือนพวกหนูสกปรกนั่นแหละ!” 

“สิ่งที่ต่างกันก็คือ เมิร์ตแลปจะกินพวกกุ้งและปูเป็นอาหาร และนั่นหมายความว่า แถวนี้จะต้องมีกุ้งหรือปูให้เรากินแน่ๆ”
 เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาเยาะๆ อย่างมีชัย มัลฟอยรู้สึกเสียหน้าที่เขาเข้าใจไปคนละอย่างกับเธอ จึงไม่ได้เถียงอะไรเธออีก
 เฮอร์ไมโอนี่ได้ทีจึงรีบพูดต่อ 

“อีกอย่าง...ใครเค้าอยากจะจูบนายกัน!” แล้วเธอก็ตั้งท่าจะเดินไปทางพุ่มไม้นั้น มัลฟอยจึงรีบคว้าข้อมือเธอไว้ 

“แน่ใจนะ?” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีก!” เด็กหญิงตอบด้วยใบหน้าแดงจัด 

“ฉันจะคอยดู” มัลฟอยส่งรอยยิ้มร้ายกาจให้เธอ ก่อนจะเดินนำเธอเข้าไปตรงพุ่มไม้นั่นเสียเอง 

ภายหลังพุ่มไม้นั้น เดินไปอีกไม่ไกลเท่าไรนัก พวกเขาก็พบลำธาร เด็กทั้งสองตรงดิ่งไปที่ลำธารทันที เพื่อล้างหน้าล้างตา
 โดยที่พยายามระมัดระวังไม่ลงไปในลำธารที่ดูไม่น่าไว้วางใจนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ลำธารเท่านั้น ที่ดูลึกผิดปกติ
 แต่บรรยากาศโดยรอบก็ดูแปลกประหลาดเช่นกัน 

มัลฟอยพยายามเพ่งมองลึกลงไปในลำธาร เพื่อมองหากุ้งหรือปู ที่เฮอร์ไมโอนี่สันนิษฐานว่าน่าจะมี
 แต่กลับไม่พบแม้แต่แมลงน้ำสักชีวิต เฮอร์ไมโอนี่กระตุกแขนเสื้อเขาเบาๆ เป็นเชิงเรียก เธอมองผิวน้ำอย่างหวาดๆ 

“ฉันว่าเราออกห่างจากลำธารจะดีกว่านะ” เธอกล่าวเสียงเครือ มัลฟอยหันมามอง “เจออะไรเข้าอีกล่ะ” 

“เปล่า..แต่ฉันเกรงว่าจะเจอ..เพราะรู้สึกว่ามันผิดปกติ” เด็กหญิงเริ่มมองบรรยากาศรอบๆ ตัวพลางทำท่าขนลุกขนพอง 

“ในน้ำอาจมีโลบาลัก** พ่นพิษอยู่ก็ได้” มัลฟอยพ่นลมหายใจพรืด เฮอร์ไมโอนี่หยุดกึก หันมามองเขาอย่างโกรธๆ 

“นายขำอะไร” เธอถามเสียงห้วน 

“โลบาลัก อาศัยอยู่ก้นทะเลไม่ใช่เหรอ ยายรู้มาก นี่มันเป็นลำธารนะ” เขาพูดล้อๆ  แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับหน้าตึง 

“อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะมัลฟอย!” เขาเลิกคิ้วสูงล้อเลียน แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เล่นด้วย เธอไม่ชอบเวลามีใครมาเรียก
เธอแบบนี้ 

“ฉันหมายความว่า ที่นี่มีแต่สัตว์แปลกๆ ขัดต่อกฎหมายเวทมนตร์ทั้งนั้น ถ้าญาตินายจะมีโลบาลักไว้สกัดพิษมาใช้
ในเรื่องสกปรกๆ ก็คงไม่แปลกหรอก!” เฮอร์ไมโอนี่พูดทั้งหมดอย่างรวดเร็ว มัลฟอยเบ้หน้าแล้วยักไหล่ 

“ถูกของเธอ” เขาว่า แล้วผละออกจากลำธารนั้นมาจ้องหน้าเธอเขม็ง 

“แต่ผิดอยู่อย่าง..เจ้าพวกนั้นไม่ใช่ญาติฉัน พวกเขาเป็นแค่เพื่อนของพ่อฉัน แล้วเรื่องสกปรกของเธอ
 บังเอิญมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก สำหรับฉัน เกรนเจอร์!” 

เขามองเธอด้วยดวงตาสีซีดที่ดูแข็งกร้าว เฮอร์ไมโอนี่มองตาเขาตอบ เธอเม้มปากกลั้นหายใจ รู้สึกมีก้อนสะอื้น
มาจุกอยู่ที่อก นี่ตกลงเขาก็ยังคงเห็นว่าศาสตร์มืดเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขาอยู่เสมอเลยใช่ไหม...แล้วเราจะ
ไปด้วยกันได้อย่างไร.. 

เฮอร์ไมโอนี่หรุบตาลงต่ำ ไม่สบตาเขาอีก เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย มัลฟอยก็ถอนใจหนัก 
เขามองเธอนิ่งอยู่อีกเป็นครู่ แล้วจึงตัดสินใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ดูจริงจัง 

“สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับศาสตร์มืดที่ฉันสนใจมีอยู่อย่างเดียว คือเธอ ยายเลือดสีโคลน..” เฮอร์ไมโอนี่นิ่งอึ้ง
 เธอรู้สึกตะลึงงันกับสิ่งที่เพิ่งเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางซีดของเขา มัลฟอยก้าวเท้าเข้ามาหาอีกฝ่ายที่ยังคง
ยืนนิ่งไม่ไหวติง สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม เด็กชายค่อยๆ เอามือโอบรอบเอวของเธอแล้วโน้มหน้าเข้าไปหาฝ่ายหญิง
อย่างช้าๆ แตะริมฝีปากของเขาเข้ากับเธออย่างแผ่วเบา เฮอร์ไมโอนี่ขยับตัวหนีเล็กน้อย พลางกระซิบเสียงแผ่ว 

“ไหนบอกจะไม่ทำอีกแล้วไง” เด็กชายชะงัก เขากระซิบตอบเหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย 

“ก็เธอไม่ได้กินหนูพวกนั้นนี่” แล้วเขาก็ขยับจะจูบเธออีก 

“นั่นไม่ใช่หนู! ฉันบอกนายแล้วไง เค้าเรียกตัวเมิร์ตแลป” เฮอร์ไมโอนี่แย้ง มัลฟอยขมวดคิ้วตอบอย่างรำคาญ 

“อะไรก็ช่าง” แล้วเขาก็ก้มหน้าลงมาชิดอีกครั้ง แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดอะไรออกมาอีก เขาก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน 

“หยุดพูดได้แล้วเกรนเจอร์” เขาทำตาดุๆ ใส่เธอ “แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าให้เธอปิดปากสนิทหรอกนะ” 

เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง แต่เธอก็หลับตาลง แล้วเผยอริมฝีปากเล็กน้อยตอบรับริมฝีปากของอีกฝ่าย ที่กดลงมาบนริมฝีปาก
ของเธออย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เมื่อมัลฟอยเริ่มเลื่อนมือที่โอบอยู่รอบเอว
ของเธอขึ้นมาบนแผ่นหลังของเด็กหญิงอย่างช้าๆ และเริ่มกอดรัดเธอแน่นขึ้นจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตกใจ
 เธอผลักเขาออกทันที มัลฟอยมองตาเธออย่างตัดพ้อ เขาก้มหน้าลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตามใจเขา
อีกต่อไปแล้ว เธอเขยิบหนีอย่างรวดเร็วพลางเบือนหน้าไปอีกทาง 

“ไม่ได้เหรอ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เหมือนครางมากกว่าพูด 

“ไม่ได้!” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเสียงเข้ม เธอหันกลับมาจ้องหน้าเขาราวกับจะบอกว่า อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ
 มัลฟอยทำคอตก ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันหลังให้ฝ่ายหญิงแทบจะในทันที 

“งั้นคงต้องรีบหาทางออก ขืนอยู่แบบนี้ต่อไป ฉันคงอดใจไม่ไหวแน่ๆ” ตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นว่า
 ใบหูของอีกฝ่ายเป็นสีชมพูจัด “ต่อให้เธอทำหน้าดุเหมือนยักษ์ หรือผลักฉันแรงกว่านี้ ก็คงรั้งอารมณ์ฉันไว้ไม่ได้แน่ๆ
เกรนเจอร์!” 

มัลฟอยไม่ยอมหันกลับมามองเฮอร์ไมโอนี่อีก เด็กหญิงเองก็ไม่กล้าสบตาเขาเช่นกัน มัลฟอยซึ่งตอนนี้มีอารมณ์พลุ่ง
พล่านขนาดนี้ เป็นใครก็คงไม่กล้าเข้าใกล้เขาหรอก โดยเฉพาะเฮอร์ไมโอนี่ ที่รู้ดีว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
 เธอรู้สึกอายมากกว่าจะโกรธเขา เธอโตพอที่จะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของเพศตรงข้ามได้ดีทีเดียว
 เธอเองก็กำลังสับสนกับความรู้สึกของตนเองอยู่ไม่น้อย ที่บางครั้งเธอก็ยอมคล้อยตามเขาไปด้วยเช่นกัน
 มันเหมือนกับมีความปรารถนาในใจลึกๆ ที่ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธมัลฟอยได้ มีเพียงสามัญสำนึกแห่งความถูก
ต้องเท่านั้น ที่ทำให้เธอหักห้ามใจไม่ให้คล้อยตามสัมผัสของเขาไปได้ทุกครั้ง
................................................................................

มัลฟอยจ้ำฝีเท้านำหน้าเฮอร์ไมโอนี่ไปอย่างหงุดหงิด อารมณ์ของเขายังคงคุกรุ่นอยู่ไม่หาย ยิ่งเดินลึกไปเท่าไร
 ป่านี้ก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น เฮอร์ไมโอนี่พยายามเดินตามมัลฟอยให้ทัน เธอยังคงรู้สึกปวดระบมตามร่างกายอยู่บ้าง
 แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเขาในตอนนี้ จึงได้แต่พยายามเดินตามไปเงียบๆ ไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

พลั่ก!

“โอ๊ย”



เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ทำให้เธอไม่รู้ว่ามัลฟอยหยุดเดินกระทันหัน เฮอร์ไมโอนี่จึงชนเขาเข้าอย่างจัง 

“หยุดทำไมน่ะมัลฟอย” เธอร้องถามพลางเอามือคลำจมูกที่เริ่มมีรอยแดงจากแรงกระแทกเมื่อครู่ของตัวเองเบาๆ 

“ชู่ว์....” มัลฟอยทำท่าจุ๊ปากให้เธอเงียบเสียง แต่สายตายังคงจับจ้องไปข้างหน้า 

อีรัมเพนท์***สองสามตัวยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เขาอันใหญ่โตและแหลมคมที่งอกออกมาตรงจมูกของพวก
มันดูน่าขนลุกเป็นยิ่งนัก เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างมองสิ่งมีชีวิตสีเทา รูปร่างคล้ายแร ด อย่างทึ่งจัด 

“ปกติมันจะอยู่แถบแอฟริกาไม่ใช่เหรอ” เฮอร์ไมโอนี่คราง มัลฟอยหันมามองหน้าเด็กหญิงอย่างหน่ายๆ 
ทำนองว่า ยังไม่ชินกับการเจอสัตว์แปลกๆ ที่นี่อีกเหรอ 

“มันเป็นสัตว์ที่หายากมากเลยนะ แบบนี้มันผิดกฎหมายชัดๆ” เฮอร์ไมโอนี่โพล่งออกมา 

“แล้วเธอคิดว่ามีสัตว์อะไรที่นี่ที่ถูกกฏหมายมั่งล่ะ” มัลฟอยถามอย่างรำคาญ เฮอร์ไมโอนี่หันไปทำหน้าบึ้งตึง 
ตั้งท่าจะพูดอะไรกับเขาแต่ก็เปลี่ยนใจทันที ที่เห็นอีรัมเพนท์ตัวผู้กำลังขยับไปหาตัวเมีย 

“ตายล่ะ!” เธออุทาน “เรารีบไปให้ไกลจากตรงนี้ดีกว่า มัลฟอย” เด็กหญิงรีบพูดแล้วฉุดแขนเขาให้เลี่ยงไปอีกทาง 

“อีรัมเพนท์กำลังจะผสมพันธุ์กันน่ะ” เธอพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่มัลฟอยเลิกคิ้วมองเธออย่างไม่เชื่อหู 
เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจความหมายของสายตาเขาผิดไป จึงทำหน้าเบื่อหน่ายใส่เขาแล้วเริ่มอธิบายทันที 

“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ ว่าอีรัมเพนท์ตัวผู้มักจะระเบิดกันเองในฤดูผสมพันธุ์ - - และนั่น เป็นสาเหตุที่ทำให้มันหายาก
และใกล้จะสูญพันธุ์ลงทุกที” 

มัลฟอยทำหน้าทึ่ง “ฉันรู้..เกรนเจอร์” เขาว่า “เพียงแต่ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย”
 เขาหยุด หรี่ตามองดูปฏิกิริยาของเธอ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าฉันที่เป็นผู้ชาย!” มัลฟอยแสยะยิ้มมองเธออย่างเจ้าเล่ห์
 เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งโหยงกับสายตาที่เฉียบคมราวกับหมาป่าจ้องตะครุบเหยื่อของเขา เธอผงะถอยหลังไปสองสามก้าว
 รู้สึกหน้าร้อนผ่าวถึงใบหู 

“นายคิดอะไร” เธอตะกุกตะกักถาม เขาจ้องหน้าเธอแล้วย่างเท้าเข้าไปหาอย่างช้าๆ 

“ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่มีวันระเบิดตัวเองหลังจากนั้นแน่ๆ เกรนเจอร์” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มลึก 
รอยยิ้มกระตุกขึ้นมาบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขา 

“อยากพิสูจน์มั๊ยล่ะ..” 

เฮอร์ไมโอนี่เงื้อมือขึ้นมาทันทีที่เขาพูดจบ เธอทั้งโกรธทั้งอายระคนกัน มัลฟอยเหมือนจะรู้ทัน 

เขายั้งมือเธอไว้ได้ทันก่อนที่มันจะฟาดลงบนใบหน้าซีดเซียวของเขา รอยยิ้มร้ายกาจจางหายออกไปจาก

ใบหน้าเสี้ยมแหลมของเขาแล้ว สายตาที่จ้องอย่างร้ายกาจเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสายตาที่ดูจริงจังขึ้นมา

 จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกกลัวยิ่งกว่าเดิม เขามองหน้าเธอนิ่งก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบ

“ฉันจะไม่มีวันทำอะไรเธอ ถ้าเธอไม่เต็มใจ..ไม่ต้องกลัวหรอก ยายหัวฟู” เด็กชายยังคงจ้องตาเธอนิ่งราวกับต้องการสร้าง
ความมั่นใจให้กับอีกฝ่าย 

เฮอร์ไมโอนี่จ้องเขาตอบอยู่สักพักก็ค่อยๆ ลดมือลง แต่มัลฟอยกลับยื้อมือเล็กๆ นั้นไว้ แล้วประคองขึ้นไปจุมพิตเบาๆ
 โดยที่ยังไม่ได้ละสายตาไปจากฝ่ายหญิง ดวงตาอันคมกริบของเขาทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องหลบสายตาไปอย่างช่วยไม่ได้
 มัลฟอยเห็นท่าทางของเธอก็อมยิ้มแล้วแกล้งพูดยั่ว 

“แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็เป็นอีกเรื่องนึงนะ” เฮอร์ไมโอนี่หันขวับมาถลึงตาใส่เขาทันที 

“ไม่มีทาง!” เธอขู่ฟ่อ มัลฟอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดว่าอะไร เขาจูงมือเด็กหญิงให้เดินเข้าไปในป่าต่อไป เฮอร์ไมโอนี่ทำท่า
ฮึดฮัดอยู่พักนึง แต่ก็ยอมเดินตามเขาไปโดยดีในที่สุด 

................................................................................. 

ทางที่มืดทะมึนข้างหน้ารายล้อมไปด้วยบรรยากาศอันชวนขนลุก สายตาของพวกเขาไปสะดุดกับหมอกจางๆ
 สีดำที่ลอยวนอยู่ข้างหน้าสิ่งที่ดูเหมือนประตูมิติ เฮอร์ไมโอนี่อุทานอย่างดีใจ 

“นั่นต้องเป็นทางออกแน่ๆ” แล้วเธอก็ตั้งท่าจะวิ่งไปตรงนั้นด้วยท่าทางดีใจสุดขีด มัลฟอยรีบรั้งแขนเธอไว้แล้วพูดเรียบๆ 

“มันคงไม่ง่ายแบบนั้นมั๊ง เกรนเจอร์” เธอหันมาขมวดคิ้วมองเขา “นายหมายความว่ายังไง” มัลฟอยมองเธอด้วยสายตา
ตำหนิ 

“หัวเธอถูกกระแทกจนสติเลอะเลือนหรือยังไง เกรนเจอร์ ปกติเธอจะรอบคอบกว่านี้นี่” เฮอร์ไมโอนี่ชักสีหน้าโกรธ 
แต่มัลฟอยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูด 

“เธอคิดว่า เจ้าพวกยีลล์ จะยอมให้คนที่อาจจะหลงเข้ามาในป่าลับของครอบครัวเขา หลุดรอดออกไปได้ง่ายๆ เรอะ”
 มัลฟอยยิ้มเยาะอย่างพอใจที่เห็นสีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนไป 

“แล้วนายคิดว่า พวกเขาจะไม่เข้ามาที่นี่บ้างเลยหรือยังไง อย่างน้อยพวกเขาก็คงไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง
หรอกน่า!” เด็กหญิงกระแทกเสียงอย่างขัดใจ แต่มัลฟอยกลับพยักหน้าเห็นด้วย 

“ถูกของเธอ มันคงไม่ยากเย็นนัก แต่ก็คงไม่ง่ายขนาดจะถลาเข้าไปได้อย่างสบายๆ แบบเมื้อกี้หรอก” เขาชำเลือง
สายตามองอีกฝ่าย พาดพึงถึงท่าทางของเธอเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนคู่สนทนาจะเป็นฝ่ายรามือไปก่อน
 เฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมให้เวลาเสียไปกับการโต้เถียงกับเขาอีกต่อไปแล้ว เธอเพียงแต่กลอกตาอย่างระอา แล้วค่อยๆ 
ขยับไปใกล้ๆ หมอกสีดำนั้น กวาดสายตาสำรวจทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว มัลฟอยเองก็กำลังทำแบบเดียวกับเธอ 
มือหนึ่งกุมมือเด็กหญิงไว้ ส่วนอีกมือกระชับไม้กายสิทธิ์มั่น เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับอะไรก็ตามที่กำลังรอคอยพวก
เขาอยู่ 

เสียงแก๊กๆ คล้ายของแข็งกระทบกันดังกังวานรอบๆ บริเวณนั้น เฮอร์ไมโอนี่ผวาเล็กน้อย มัยฟอยได้โอกาสจึง
โอบเอวเธอไว้ทันที แล้วเอาจมูกไปแตะข้างแก้มของเธอเบาๆ เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองเขาอย่างมีโมโห 

“เวลาแบบนี้นายยังจะ..” 

“ฉันทำได้ทุกเวลาถ้าอยากทำ เกรนเจอร์” เขาสวนทันควัน 

“ไหนบอกจะไม่ทำ ถ้าฉันไม่เต็มใจ” เฮอร์ไมโอนี่แย้ง 

“นั่นหมายถึงอะไรที่มัน “ลึกซึ้ง” กว่านี้ เกรนเจอร์” เขายิ้มกว้างมองเธอตาเป็นประกายอย่างร้ายกาจ 

“ต้องให้อธิบายมากกว่านี้มั๊ย” เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงจัดจนรู้สึกร้อนวูบไปถึงใบหู แต่ทั้งสองก็ต้องหยุดชะงัก
 เมื่อเสียงแก๊กๆ เมื่อครู่ดังขึ้นมาอีก และดูเหมือนจะได้ยินชัดเจนกว่าครั้งแรก คราวนี้มาพร้อมกับเสียงที่เหมือนมีบาง
อย่างกำลังวิ่งกรูกันเข้ามาใกล้พวกเขา 

“มีอะไรบางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงแผ่วอย่างตระหนก มัลฟอยกอดเธอไว้แน่น
ด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างกระชับไม้กายสิทธิ์อยู่ในท่าเตรียมพร้อม เขาสอดส่ายสายตาไปทั่วด้วยใจระทึก
 คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็เริ่มรู้สึกกลัวเช่นกัน 

เสียงประหลาดของสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว เสียงกิ่งไม้ที่ถูกบดขยี้ดังแหวก
ว่ายผ่านอากาศมากระทบโสตประสาทของพวกเขา  เฮอร์ไมโอนี่ดึงเสื้อเด็กชายไว้แน่นอย่างลืมตัว 
เสียงก็อกแก็กดังเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์กำลังพุ่งทะยานมาหาพวกเขา ตอนนี้มัลฟอยพอจะจับทางออกแล้วว่าพวก
มันกำลังแห่กันมาจากแทบทุกสารทิศ ยกเว้นอยู่ที่เดียว.. 

“วิ่งไปทางต้นไม้นั่นเร็ว เกรนเจอร์!” 

เขากระชากแขนอีกฝ่ายแล้วออกวิ่งอย่างไม่รอฟังคำตอบ ดูเหมือนขาที่ใกล้จะแข็งทื่อเมื่อครู่ของเฮอร์ไมโอนี่ 
จะกลับมาทำงานตามคำสั่งได้อย่างรวดเร็วกว่าสติของเธอมากนัก เธอวิ่งตัวปลิวไปตามแรงฉุดของมัลฟอย 
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งไปถึงต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า เจ้าของเสียงประหลาดตัวหนึ่งก็กระโจนลงมาขวางหน้าพวกเขาทันที
 พอเห็นชัดๆ ว่าเจ้าของเสียงนั่นเป็นตัวอะไร มัลฟอยก็ตาเหลือก เขาชะงักฝีเท้าแทบจะไม่ทัน
 จนเกือบทำให้เฮอร์ไมโอนี่หน้าคะมำไปด้วย 

“อโครแมนทูล่า!!!” เฮอร์ไมโอนี่กรีดร้องเสียงสูง ตัวสั่นด้วยความกลัว เธอหันขวับไปมองรอบๆ ทันที
 เป็นดังที่เธอคาด ฝูงแมงมุมยักษ์กำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วราวกับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำอยู่ท่ามกลางลมพายุ
ที่บ้าคลั่ง เฮอร์ไมโอนี่แทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวสุดขีด เธอเคยได้ยินรอนกับแฮร์รี่พูดถึงอโครแมนทูล่า
ในป่าต้องห้ามที่โรงเรียนเมื่อตอนปีสอง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องมาเผชิญหน้ากับพวกมันจริงๆ 
แถมในจำนวนที่มากมายขนาดนี้ กับไม้กายสิทธิ์แค่ด้ามเดียว! 

“มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ครางเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เธอกอดเขาไว้แน่น เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด 
มัลฟอยเองก็ปฏิเสธความกลัวที่เกาะกุมจิตใจเขาอยู่ตอนนี้ไม่ได้ เขากระชับร่างแบบบางของเฮอร์ไมโอนี่ไว้
 แต่ก็ไม่สามารถเปล่งคำพูดปลอบโยนใดๆ ออกมาจากริมฝีปากอันแห้งผากของตัวเองได้ 

มัลฟอยพยายามระดมความคิดถึงคาถาต่างๆ ที่เคยได้ร่ำเรียนมา โดยที่มองไม่เห็นเลยว่า 
จะมีคาถาใดในโลกพาพวกเขารอดพ้นออกไปจากทะเลอโครแมนทูล่านี้ได้ 

“รีดัคโต!” เขาตัดสินใจเสกคาถาทลายด่านใส่แมงมุมตัวที่ขวางอยู่ตรงหน้า ได้ผล เจ้าแมงมุมนั้นกระเด็นออก
ไปนอกเส้นทาง มัลฟอยฉวยโอกาสนี้รีบถลาไปยังต้นไม้ต้นนั้นโดยไม่ลืมที่จะลากเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วย 
ทันทีที่มือของเขาแตะถูกต้นไม้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีของแข็งมากระทบบริเวณศีรษะ พร้อมเสียงหวีดร้องของเฮอร์ไมโอนี่
 ก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้น เขาก็รู้สึกว่ามือของเฮอร์ไมโอนี่มาคว้าไม้กายสิทธิ์ไปจากเขา เธอหันไปแผดเสียงเสกคาถา
ดังก้องกังวาน มัลฟอยทันเห็นเปลวไฟลุกท่วมพุ่มไม้เบื้องหลัง และแมงมุมยักษ์พวกนั้นกำลังถอยร่นหนีเปลว
เพลิงที่ร้อนระอุด้วยอำนาจจากไม้กายสิทธิ์ที่อยู่ในมือเด็กหญิง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลง..

“มัลฟอย!!” เฮอร์ไมโอนี่หันกลับมามองเด็กชายที่ตอนนี้กำลังนอนไม่ได้สติ เพราะหนึ่งในอโครแมนทูล่าฟาด
ขายุ่บยั่บขนาดยักษ์ของมันลงมาโดนศีรษะของเขาอย่างจังเมื่อครู่ ตอนนี้เปลวไฟดังกล่าวไม่ได้ทำพิษเฉพาะกับ
แมงมุมเท่านั้น แต่ตอนนี้มันเริ่มหันมาแผลงฤทธิ์กับพวกเขาด้วยเสียแล้ว 

เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งกำลังสำลักควันไอค่อกแค่ก พยายามปลุกมัลฟอยให้ได้สติ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล 

“โมบิลิคอร์ปัส” เธอตัดสินใจเสกคาถาย้ายคนป่วยใส่เขา แล้วพาเขาไปบริเวณหมอกสีดำนั้นทันที
 เมื่อไปถึงบริเวณที่มั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปเสกคาถาดับไฟพวกนั้น เธอยังไม่อยากเผา
ป่าทั้งป่า ซึ่งจะทำให้สัตว์วิเศษหายากอื่นๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรอก 

“มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่เรียกเด็กชายอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขายังคงไม่ได้สติ เธอจึงตัดสินใจประคองเขาไว้
 แล้วเขยิบไปจนเกือบถึงรัศมีของหมอกดำน่าขนลุกนั่น  

เฮอร์ไมโอนี่มองหมอกนั้นอย่างกลัวๆ กล้าๆ เธออยากจะให้เขาตื่นขึ้นมาช่วยปรึกษากับเธอเหลือเกิน
 ว่าควรจะเข้าไปในม่านหมอกนี่ดีหรือไม่ เด็กหญิงชั่งใจอยู่สักพักก็สะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงแก็กๆ
 ขยับเข้ามาใกล้อีกแล้ว เธอหันกลับไปมองอย่างหวาดๆ ฝูงอโครแมนทูล่ากำลังยกโขยงกลับมาทางพวกเขาอีกครั้ง 
หลังจากไฟมอดลงแล้ว เด็กหญิงกลืนน้ำลายก่อนจะกอดมัลฟอยไว้แน่น เธอหลับตาปี๋ แล้วตัดสินใจกระโจนลง
ไปในหมอกนั้นทันที

..........................................................................................

“..........เจอร์....”


“..เกรนเจอร์...” 

เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เธอหยีตาเพราะแสงที่มากระทบดวงตาของเธอนั้นดูสว่างจ้านัก  

ภาพเด็กชายผมสีบลอนด์ที่ตอนนี้ยุ่งเหยิงผิดปกติค่อยๆ ปรับชัดขึ้น จนเธอมองเห็นเขาได้ถนัด 
เพียงแค่เธอกระพริบตาแว่บเดียว เขาก็คว้าเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนแล้ว
“เราปลอดภัยแล้ว เกรนเจอร์” เขากล่าวพลางซุกหน้าลงบนไหล่ของเธอ 

เฮอร์ไมโอนี่ที่ยังคงรู้สึกมึนงง ค่อยๆ ไล่สายตาไปรอบๆ บริเวณ รถของพ่อแม่เธออยู่ที่นั่น และพ่อแม่ของเธอก็ยังอยู่
ตรงนั้น! เฮอร์ไมโอนี่ผละออกจากมัลฟอยแล้วตั้งท่าจะวิ่งไปหาพ่อกับแม่ของเธอทันที แต่มัลฟอยรีบยื้อเธอไว้ 

“ปล่อยฉันนะ ฉันจะไปดูคุณพ่อกับคุณแม่” เฮอร์ไมโอนี่ขัดขืน 

“พวกเขาไม่เป็นอะไร ฉันไปดูให้แล้วตอนเธอยังไม่ฟื้น” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วมองเขา มัลฟอยทำหน้าเก้อๆ
  นั่นหมายความว่า เขาเดินไปสำรวจดูมักเกิ้ลที่เขารังเกียจนักหนาให้เธอหรือนี่ เฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีชมพูระเรื่อ 

“ขอบใจ...” เธอก้มหน้าลง ทำท่าใช้ความคิด “แต่ว่า...” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขา “ถึงยังไงฉันก็ต้องไปดูพวกท่านอยู่ดี
 นี่มันเกือบสองวันแล้วนะมัลฟอย” เด็กหญิงมีทีท่าวิตกกังวล และทำท่าจะเดินไปอีก 

“ฟังนะ” มัลฟอยคว้าไหล่เธอไว้ แล้วบีบเบาๆ “ป่าของตระกูลยีลล์ ที่เราหลงเข้าไปเป็นเหมือนประตูมิติที่เชื่อมอยู่ระ
หว่างป่านี้กับห้องลับที่คฤหาสน์นั่น” 

“นั่นฉันพอจะเดาออก” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวเรียบๆ 

“แล้วนอกจากนั้น” มัลฟอยพูดต่อ “ตลอดเวลาที่เราเข้าไปอยู่ที่นั่น เวลามันไม่ได้ผ่านไปนานอย่างที่เห็นหรอกนะ” 
 เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้างมองหน้าเขา 

“นายหมายความว่า...” มัลฟอยพยักหน้าช้าๆ “ใช่...เวลาในโลกปกตินี่มันผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ” เฮอร์ไมโอนี่ทำ
หน้าทึ่ง 

“ญาตินายนี่เก่งจริงๆ เสียดายที่เอาไปใช้ในทางที่ผิด” มัลฟอยมองหน้าเธออย่างขัดใจ 

“ฉันบอกเธอแล้วไง ว่าพวกเขาไม่ใช่ญาติฉัน!” 

เฮอร์ไมโอนี่ผละออกจากเขาอย่างไม่สนใจ เธอรีบไปดูอาการของพ่อกับแม่ของเธอ โชคยังดีที่พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก 
ไม่มีบาดแผลใดๆ ปรากฏให้เห็น พวกเขาคงจะหมดสติไปเพราะแรงกระแทกนั่นเอง เฮอร์ไมโอนี่พะวักพะ
วนอยู่พักนึงก็หันมาหามัลฟอยที่ยืนมองอยู่ห่างๆ  

“นายช่วยหน่อยได้ไหม” 

“ช่วยอะไร” เฮอร์ไมโอนี่ชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินคำตอบ 

“ก็ช่วยพ่อกับแม่ฉันไง” 

“ยังไง” 

เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ เธอเดินไปกระชากไม้กายสิทธิ์ออกมาจากมือเขาซึ่งไม่ได้ขัดขืนอะไร 
แล้วเดินกลับไปเสกคาถาให้รถของเธอออกมาพ้นจากจุดเกิดเหตุ ซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากแรงกระแทก
 และปฐมพยาบาลพ่อกับแม่ของเธอทันที 

เมื่อจัดให้ท่านทั้งสองอยู่ในท่าที่สบายแล้ว เฮอร์ไมโอนี่สำรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะนำไม้กายสิทธิ์
ไปคืนให้มัลฟอยที่ยืนกอดอกมองอยู่ เขารับไม้กายสิทธิ์มาจากเธอแล้วรวบร่างเด็กหญิงมากอดทันที 

“ปล่อยนะมัลฟอย เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะตื่นมาเห็น” เฮอร์ไมโอนี่โวยวาย แต่มัลฟอยไม่ฟังเสียง 
เขากดริมฝีปากลงบนริมฝีปากเธอทันที เฮอร์ไมโอนี่ดันหน้าเขาออกและตะโกนอย่างเหลืออด 

“ฉันบอกให้ปล่อย! นายจะมาทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ไม่ได้อีกแล้วนะ!” มัลฟอยมองหน้าเธออย่างตัดพ้อ 

“หลังจากวันนี้ เราจะได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เกรนเจอร์” เขากล่าวเรียบๆ
 เด็กหญิงหยุดดิ้นทันที เธอมองหน้าเขาซึ่งยังคงจ้องมองเธออยู่ด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวด จริงสินะ พวกเขาคง
ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้อีกแล้ว โดยเฉพาะเธอ ซึ่งหลังจากกลับจากเที่ยวแล้ว
 เธอจะต้องไปปฏิบัติภารกิจให้กับภาคีอีก เมื่อนึกถึงตรงนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าทั้งสองนั้นช่างดูห่างไกลกันเสียเหลือเกิน 

“ฉันก็แค่อยากจะกอดเธอไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” 

เฮอร์ไมโอนี่มองดวงตาสีซีดด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย มัลฟอยค่อยๆ ก้มหน้าลงมาหาเธอช้าๆ 
เมื่อดวงตาของทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจอุ่นประสานกัน ริมฝีปากของทั้งสองก็ประกบกันแนบแน่น
 พวกเขาจุมพิตกันอยู่เนิ่นนานราวกับต้องการให้เวลาหยุดไว้แค่นั้น 

เมื่อทั้งสองคลายริมฝีปากออกจากกัน ดวงตาของทั้งคู่ยังคงประสานกันอย่างโหยหา มัลฟอยเหลือบไปเห็นนางเกรนเจอร์
ขยับตัวน้อยๆ เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังจะฟื้นขึ้นมาในไม่ช้านี้แล้ว เด็กชายรวบร่างเฮอร์ไมโอนี่เข้ามากอดไ
ว้แนบอกอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยเธอแล้วถามเธอว่า 

“เธอตกลงไปตรงโพรงหลังพุ่มไม้นั่นใช่มั๊ย” เขาทำท่าบุ้ยใบ้ไปที่พุ่มไม้ดังกล่าว เด็กหญิงพยักหน้ารับ 

“ฉันต้องกลับเข้าไปในคฤหาสน์ทางนั้น เราคงต้องแยกกันตรงนี้” มัลฟอยพูดเสียงเรียบ 

“ระวังตัวด้วยนะมัลฟอย ถ้าลงไปถึงห้องนั้นแล้ว อย่าเดินไปผิดทางล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวเตือนอย่างเป็นห่วง 

“อย่ากังวลไปเลย ฉันมีไม้กายสิทธิ์น่า..” มัลฟอยยิ้มแล้วหมุนไม้กายสิทธิ์ในมือให้เธอดู

“เธอเองก็ระวังตัวล่ะ เกรนเจอร์” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้ารับ เธอเม้มริมฝีปาก รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องจากเขาไปแบบนี้ 

เสียงนางเกรนเจอร์ครางอือเบาๆ เฮอร์ไมโอนี่หันขวับไปมอง มัลฟอยจึงรีบร่ำลาเธอ 

“ฉันคงต้องไปแล้ว เจอกันที่โรงเรียนนะเกรนเจอร์” เฮอร์ไมโอนี่หันกลับมามองเขา เธอมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
 ทำท่าละล้าละลังอยู่พักนึง แล้วจึงตัดสินใจเดินไปจับมือเขาไว้ มัลฟอยหยุดเดิน หันมามองหน้าเธอเป็นเชิงถาม 

“เอ่อ.....” เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ “ขอบใจมากนะมัลฟอย...สำหรับ......ทุกอย่าง..” เด็กหญิงทำ
หน้ายุ่งยากใจ ก่อนจะโน้มศีรษะเขาลงมาแล้วแตะจมูกลงบนแก้มของอีกฝ่ายเร็วๆ แต่มัลฟอยไม่ยอมให้เธอทำแค่นั้น 
ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะผละจากเขา มัลฟอยก็รวบเอวเธอไว้ได้ทัน 

“นั่นมันไม่คุ้มเลยนะเกรนเจอร์” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วชี้ไปที่ริมฝีปากของตน เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงทันที 
ถึงแม้พวกเขาจะเคยจูบกันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องเป็นฝ่ายเริ่ม 

เธอมองมัลฟอยที่ตอนนี้หลับตาพริ้มรอเธออยู่ แล้วเลื่อนระดับสายตาลงมามองที่ริมฝีปากบางได้รูปของเขา 
หัวใจของเด็กหญิงเต้นไม่เป็นจังหวะ เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะค่อยๆ ก้มหน้าลงไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ 
แล้วแตะริมฝีปากของเธอลงบนริมฝีปากของเขาเบาๆ แล้วรีบยืดตัวขึ้น มัลฟอยลืมตาขึ้นทันที 

“แบบนี้เขาเรียก แตะ ไม่ใช่ จูบ เกรนเจอร์” มัลฟอยยิ้มอย่างพอใจที่เห็นเธอหน้าแดง

“แต่ไม่เป็นไร ฉันต้องไปทวงของรางวัลที่โรงเรียนอีกแน่ๆ” เขาพูดอย่างได้ใจแล้วกลับหลังหัน
 ก่อนจะออกเดินเขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาหาเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง 

“เธอเข้าใจภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า เกรนเจอร์” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้งอย่างสงสัย ที่จู่ๆ เขาก็ถามอะไรแปลกๆ
 แบบนี้ แต่ก็พยักหน้าหงึก มัลฟอยฉวยข้อมือเธอขึ้นมาแล้วจับมือเธอให้กำไว้ เขาเคาะไม้กายสิทธิ์เบาๆ
 ที่มือเธอหนึ่งครั้ง 

“อย่าคลายมือออกจนกว่าฉันจะลงไปในโพรงนั่น เข้าใจมั๊ย” เขากำชับ ใบหน้าของเขามีสีชมพูจางๆ แต้มอยู่ให้เห็น
 เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้ารับอย่างงงๆ เด็กชายคว้าร่างของเฮอร์ไมโอนี่เข้ามากอดไว้แน่น แล้วจึงผละจากไป 
ก่อนที่เขาจะลงไปในโพรงนั้น มัลฟอยหันมามองเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง 

“ฉันจะจำเรื่องราวในป่านั้นไว้ตลอดไป ไม่ว่ามันจะนานแค่ไหนก็ตาม” แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงไปในโพรงนั่น
 โดยไม่ได้รอฟังคำพูดใดๆ จากเฮอร์ไมโอนี่



เมื่อเขาหายเข้าไปในโพรงนั้นแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงค่อยๆ คลายมือออก ควันสีเงินจางๆ ลอยออกมาจากมือของเธอ 
แล้วร้อยเรียงกันเข้าเป็นตัวอักษรสีเขียวเหลือบเงินว่า 

“j’ ?treinte pour toujours, amour” 

เฮอร์ไมโอนี่ยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสะกด เธอมองตัวหนังสือเหล่านั้นด้วยความรู้สึกเต็มตื้น
 เธอรู้สึกว่าประสาทสัมผัสเธอชาไปทั้งตัว น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย ภาพต่างๆ
 ที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในป่า หมุนกลับมาหาเธอในห้วงสำนึกอีกครั้ง 

“ฉันอยากจะสัมผัสเธอได้เสมอ..แม้เธอจะไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนแบบนี้.......” 

คำพูดนี้ของเขา ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวสมอง 

ตอนนี้ตัวอักษรตรงหน้าเธอกำลังค่อยๆ จางลงแล้ว เฮอร์ไมโอนี่มองอย่างตกใจ เธอรีบคว้ากลุ่มควันนั้นแล้วกอดมันไว้ 
ถึงแม้จะรู้ว่าไร้ความหมาย ตัวหนังสือเหล่านั้นกระจายอยู่รอบตัวเธอซึ่งกำลังค่อยๆ ทรุดเข่าลงแล้วกอดตัวเองร้อง
ไห้อยู่ ตัวอักษรสีเขียวเหลือบเงินลอยวนอยู่สักพักก่อนจะสลายไป เหลือไว้แค่เพียงความทรงจำ 

“เธอจะกอดฉันไว้ได้ยังไง ในเมื่อเราสองคนไม่มีทางที่จะลงเอยกันได้..มัลฟอย..” เด็กหญิงสะอื้นกับตัวเองเบาๆ
 ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ 

“เฮอร์ไมโอนี่”

เสียงนางเกรนเจอร์เรียกเธอแว่วมาจากทางด้านหลัง ปลุกให้เฮอร์ไมโอนี่ตื่นจากภวังค์ เธอรีบวิ่งไปหาผู้เป็นมารดา
 ที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อครู่

“เฮอร์ไมโอนี่ ไม่เป็นอะไรใช่มั๊ยลูก” นางเกรนเจอร์ถามอย่างเป็นห่วง เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบว่าอะไร เธอโผเข้ากอดมารดา
ของเธอไว้แน่น น้ำตาแห่งความอัดอั้นตันใจพรั่งพรูอกมาไม่ขาดสาย นางเกรนเจอร์เข้าใจไปว่า
 ลูกสาวยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่ตบไหล่เธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบ 

“ไม่เป็นไรแล้วจ้ะลูก เราปลอดภัยแล้ว”

ไม่นานนายเกรนเจอร์ก็ฟื้นขึ้นมาเช่นกัน เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งตอนนี้หยุดร้องไห้แล้วหันไปกอดพ่อของเธอบ้าง
 เมื่อต่างฝ่ายต่างสำรวจซึ่งกันและกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่จึงเริ่มอธิบายเรื่องราวต่างๆ ใ
ห้พ่อกับแม่ของเธอฟัง โดยเล่าข้ามช่วงที่เธอไปพบกับมัลฟอย และปรับแต่งเรื่องราวเล็กน้อย นายเกรนเจอร์เข้าใจว่า
 เฮอร์ไมโอนี่ใช้ไม้กายสิทธิ์ของตัวเองจัดการเรื่องราวต่างๆ จนเป็นที่เรียบร้อย เขากล่าวชมลูกสาว
 ที่ทำให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น แล้วจึงบอกให้ทุกคนขึ้นรถ เพื่อออกเดินทางต่อไป 

เมื่อรถวิ่งออกมาพ้นจากบริเวณป่า เฮอร์ไมโอนี่ก็สังเกตเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา
 เดาได้ไม่ยากเลยว่านั่นต้องเป็นคฤหาสน์ของพวกตระกูลยีลล์แน่ๆ เฮอร์ไมโอนี่มองเหม่อไปยังคฤหาสน์นั้น
 ในใจนึกถึงเจ้าของข้อความที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับจากเขา เด็กหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอหลับตา
 ทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ “จะไปกังวลทำไมกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง” เธอคิด
 แล้วจึงยิ้มออกมาได้ เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้น แล้วทอดสายตาไปยังคฤหาสน์หลังโตนั้น เด็กหญิงปล่อยให้จิตใจล่อง
ลอยไปหาเด็กชายผมสีบลอนด์ที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น เธอยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข แล้วพึมพำออกมาเบาๆ



“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะกอดนายไว้ตลอดไปเช่นกัน เดรโก มัลฟอย”


. . . . . . . . . . . . . . . . . 




* อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 47

** อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 58

*** อ้างอิงจากหนังสือสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ของ นิวท์ สคามันเดอร์หน้า 65



"j’ ?treinte pour toujours, amour" (เชอ ทร็องค์ ปู ตุ๊ชูส์ อามูร์) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "I’m hugging you, my love…..forever….."


No comments:

Post a Comment