Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Chapter 12: Discussing The Ball

ถกเถียงเรื่องงานเต้นรำ (Discussing The Ball)

          เดรโกยืนพิงรั้วแบบสบายๆ และกวาดสายตาไปเรื่อยอย่างช้าๆ ไปที่การรวมกลุ่มของพวกกริฟฟินดอร์กับพวกสลิธีริน  เขาทอดสายตานิ่งที่เกรนเจอร์ เธอกำลังยืนอยู่อีกด้านของลานโล่งกว้างใหญ่หน้ากระท่อมของแฮกริดพร้อมกับพอตเตอร์และวีสลี่ย์  พวกเขาไม่ได้สนใจลูกครึ่งยักษ์เลยสักนิด พวกเขาพูดกันด้วยน้ำเสียงเบาใส่แต่ละคน บางครั้งบางคราวหนึ่งในพวกเขาจะชำเลืองข้ามไหล่ของตนอย่างกังวล เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังได้ยิน เกรนเจอร์มองไปด้าน

หลังแล้วลอนผมสีน้ำตาลของเธอต้องแสงอาทิตย์สว่างจ้า เดรโกรู้สึกประหลาดใจเมื่อผมสีน้ำตาลเข้มธรรมดาแปรเปลี่ยนเป็นสดใสและสีน้ำตาลแดง ไม่ใช่ว่าทั้งหมดที่เขาสนใจคือขบวนสีสันน่าประหลาดใจของผมเธอ เกรนเจอร์เหมือนเริ่มรู้ตัวถึงความสนใจของเขาและมองมาที่เขา เกรนเจอร์ดูคล้ายจะยิ้มให้แต่แล้วเปลี่ยนใจเมื่อเขายิ้มหยันใส่เธอ

          เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้สายตาของเดรโกละไปจากเกรนเจอร์ แล้วมองไปที่ศูนย์กลางของทุ่งหญ้าตรงที่แฮกริดมีสัตว์ประหลาดใหม่ตัวใหญ่

          “นี่คือ บิซิคีแรส(Bezekiras) พบเห็นมันได้ที่ฟินนิแกน(Finnigan) อย่าพยายามเข้าไปใกล้มัน”

          เดรโกทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก;เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรมากไปกว่าสิงโตค่อนข้างใหญ่มากตัวหนึ่ง แม้ว่าไม่เหมือนสิงโตทั่วไป สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของแฮกริดช่างสดใสและสว่างเจิดจ้า แผงขนหนาบนหลังคอของมันเปล่งแสงระยิบระยับอยู่ในแสงสว่าง และทำให้การมองดูมันเกือบจะยากลำบาก

          บิซิคีแรส มีความยาวอย่างน้อยเจ็ดฟุตในขณะที่กำลังหลับอยู่ตอนนี้ และอาจสูงมากกว่าห้าฟุตเมื่อยืนขึ้นก็เป็นไปได้ เจ้ายักษ์โง่กำลังแจกแจงความสามารถต่างๆ ทางด้านเวทมนตร์ของมัน แต่เดรโกไม่ใส่ใจมันเลยสักนิดเดียว นี่เป็นวันสุดท้ายของชั้นเรียนก่อนหยุดฤดูหนาว และทั้งหมดที่เขาอยากทำจริงๆ คือ พักผ่อนอย่างอบอุ่น และคอยจับตาดูสามเพื่อนซี้มหัศจรรย์

          เสียงเห่าดังประหนึ่งฟ้าร้องก้องมาทางด้านหลังเขาดึงความสนใจ ขณะที่สุนัขล่าหมูสีดำตัวใหญ่แวบผ่านเขาไป เจ้าสัตว์ที่แฮกริดชอบเรียกว่าหมา กระโดดข้ามรั้วอย่างสบายๆ และคำรามอย่างน่ากลัวใส่เจ้าสิงโตที่กำลังหลับอยู่ เจ้าแมวยักษ์ลืมตาข้างหนึ่งอย่างเกียจคร้านและบิดตัวอย่างเนือยๆ มันสำรวจรอบตัวมันด้วยความสนใจที่มีเลศนัย เจ้าสุนัขคำรามเสียงต่ำและขยับเข้าไปที่เจ้าแมวตัวใหญ่ เจ้าแมวหาวอย่างพึงพอใจจากนั้นตะปบใส่เจ้าสุนัขเป็นทางยาวที่จมูกและปากของมัน

          เจ้าสุนัขกรีดร้องเสียงโหยหวนน่ากลัวแล้ววิ่งหนีกลับข้ามทุ่งหญ้าไป เจ้าแมวไม่รู้สึกเหนื่อยกับการละเล่นเล็กน้อยนี้ อย่างไรก็ตามมันวิ่งตามหลังเจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่ข้ามรั้วไปอย่างรวดเร็ว

          เดรโกเฝ้าดูด้วยความสนใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อเจ้าแมวตัวใหญ่สำรวจพวกนักเรียนที่ยังอยู่รอบๆ ตรงนั้น

          “ตอนนี้พวกเธอทั้งหมดอยู่ในความสงบ และอย่าวิ่งเตลิดไปนะ” แฮกริดพูดเบาๆ

          แต่เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายส่วนใหญ่;มีมนตร์วิเศษหรือไม่มี เจ้าบิซิคีแรสตัวนี้สัมผัสได้ถึงความกลัว มันกวาดลูกตาใหญ่สีทองของมันไปที่ลองบัตท่อมแล้วคำราม  เจ้ากริฟฟินดอร์งี่เง่าคนนี้สะดุ้งโหยงอย่างประสาทเสีย และหันหลังวิ่งตรงไปที่ปราสาท

          เดรโกฉีกยิ้มกว้าง เมื่อเจ้าแมววิ่งไล่กวดทันทีทันใดและงับเข้าที่ข้อเท้าของลองบัตท่อมอย่างเจ็บปวด  พอตเตอร์;วีรบุรุษเสมอ และวีสลี่ย์วิ่งตามลองบัตท่อมไปพร้อมกับดึงไม้กายสิทธิ์ของพวกเขาออกมา แฮกริดตามติดไปอย่างรีบร้อนเช่นกัน  เดรโกยิ้มกว้างมากขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะ พวกกริฟฟินดอร์ทั้งหมดกำลังเฝ้ามองด้วยความตกใจกลัว ในขณะที่พวกสลิธีรินหัวเราะกันแทบหมดแรง

          ลองบัตท่อมหายลับข้ามหุบเขาไป และทั้งชั้นเรียนเริ่มติดตามไปดู ไม่ต้องการพลาดการแสดงนี้ เดรโกดันตัวเองออกจากรั้วและกำลังเดินตรงไปที่แครบบ์และกอยล์ เมื่อเขาหยุดนิ่ง;ความรู้สึกแปลกพิกลอย่างหนึ่งย่างกรายมาหาเขา ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร เดรโกชะงักเพื่อดูว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งไหม แน่ใจพอแล้ว เขาสัมผัสถึงความรู้สึกเดิมอีกหน มันราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเรียกเขา เขามองข้ามไหล่ตัวเองแต่นักเรียนส่วนใหญ่ออกไปจากลานโล่งแล้วตอนนี้ และไม่มีใครสักคนจะใส่ใจเขาเลย เขารู้สึกมันอีกแล้วแต่ครั้งนี้มันรุนแรงมากกว่า เร่งร้อนมากกว่า เขาหันหลังและเดินกลับไปที่กระท่อมของแฮกริด ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคยแต่น่ารบกวนใจ เขาเดินผ่านกระท่อมและมองไปรอบๆ ด้านหลังไกลออกไปมีโรงเก็บของเล็กๆ ตั้งอยู่อยู่ในดงต้นไม้ เขาเดินตรงไปที่นั่นอย่างช้าๆ แล้วหยุดลง บางอย่างกำลังจับตาดูเขาอยู่ แต่เดรโกไม่เห็นอะไรเลยยกเว้นพวกต้นไม้ทั้งหลาย  เขาเพิ่งตัดใจว่าไม่จำเป็นเลยที่ต้องรู้ว่าความรู้สึกแปลกๆ นี้คืออะไร และกำลังจะกลับไปที่ปราสาทเพื่อดื่มด่ำกับอาหารกลางวันรสเลิศซึ่งอาจเป็นสิ่งถูกต้องที่ควรทำ เมื่อเสียงหนึ่งลอยมาหาเขา

          “อยู่นิ่งๆ เจ้าเขี้ยว! ฉันช่วยแก้ไม่ได้ ถ้าแกไม่อยู่นิ่งๆ”

          เดรโกถอนหายใจเขารู้ว่าเสียงนั้นเป็นของใคร “เธอสามารถอยู่ทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร?”

          เขาเดินเข้าไปที่มุมหนึ่งของโรงเก็บของ และพบเกรนเจอร์กำลังพยายามยื้อยุดกับการจับปอกคอสุนัขตัวใหญ่อย่างหมดหวัง เจ้าสุนัขกำลังออกแรงต่อสู้กับเธออย่างเต็มที่ และเหตุผลเดียวว่าทำไมมันถึงไม่วิ่งกลับไปที่กระท่อม ความจริงคือเฮอร์ไมโอนี่จัดการผูกเชือกเข้ากับปอกคอของมัน และพันปลายอีกด้านของเชือกหลายๆ รอบกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นนี้ถูกทำให้โค้งงอเกือบจะติดพื้นดินจากการดิ้นรนของเจ้าสุนัข

          “เธอกำลังทำอะไร เกรนเจอร์?” เขาถามอย่างเย็นชา

          เธอเงยขึ้นมองและดูตกใจ โถใบเล็กอยู่ในมือเธอ เขาจำได้ว่ามันเป็นน้ำมันขี้ผึ้งที่ใช้ในการรักษา;เป็นวัตถุดิบชนิดเดียวกับที่มาดามพอมฟรี่ย์ใช้บ่อยๆ กับบาดแผลของเขาที่เกิดจากการเล่นควิดดิชหลายครั้ง เกรนเจอร์กำลังพยายามทามันบนแผลลึกที่จมูกของเจ้าสุนัขอย่างเห็นได้ชัด

          “แล้วมันดูเหมือนว่ากำลังทำอะไรอยู่ล่ะ มัลฟอย” เธอตวาด พร้อมกับมองแบบหมิ่นๆ

          ขณะที่เธอพูดเช่นนั้นกับเขา เดรโกสังเกตว่าเธอเขยิบไปด้านหลังของเจ้าสุนัขตัวใหญ่อย่างไม่เจตนา เธอกระทำอย่างช้ามากๆ ทำให้แน่ใจว่ามีบางอย่างที่สัมผัสได้จริงกั้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง เดรโกคิดว่าเป็นเรื่องดีที่สุด เขามีความรู้สึกแปลกๆ เสมอเมื่อเธอเข้าใกล้มากเกินไป มันทำให้เขาประสาทตึงเครียด

          เดรโกได้ยินเสียงกิ่งไม้หักจากด้านหนึ่งบริเวณใกล้ๆ รอบโรงเก็บของ เขาเงี่ยหูฟัง พยายามจับเสียงกระซิบอย่างอื่นอีก แต่มันเงียบ;เงียบจนเกินไป

          “เกรนเจอร์ ฉันคิดว่าเราควรไปดีกว่า” เขาบอกเธอเบาๆ พร้อมกับดึงไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมา

          “ทำไม? และไม่มีทาง ฉันจะไม่ไปที่ไหนกับนายทั้งนั้น”

          ดวงตาเขาหรี่แคบลงและลืมเรื่องความรู้สึกสังหรณ์ใจที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเธอไขว้แขนกอดอกและแสดงสีหน้าท่าทางไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดใส่เขา แต่แล้วเสียงกิ่งไม้หักอีกอัน คราวนี้ใกล้มากขึ้น เตือนสติเขาถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา เขาก้าวเท้ายาวตรงไปข้างหน้าและคว้าข้อมือของเธอ แล้วดึงเธอออกมาจากสุนัข

          “มีบางอย่างอยู่ข้างนอกโน่น เกรนเจอร์ เราจำเป็นต้องไปแล้ว” เขาบอกเธออย่างโมโห เมื่อเธอพยายามสะบัดให้หลุดจากการจับกุมของเขา

          เกรนเจอร์มองเขาเหมือนไม่เชื่อ แล้วเหลือบลงไปที่สุนัข เจ้าสุนัขล่าหมูไม่ยอมหยุดดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ มันเงยขึ้นมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอน หูของมันลู่ติดหัวและเห่าคำรามไปที่ดงต้นไม้

          ดวงตาเกรนเจอร์เบิกกว้างและกวาดไปทั่วดงต้นไม้หนาทึบ สำรวจหาสัญญาณความเคลื่อนไหวอื่นๆ  เดรโกรู้สึกถึงความอบอุ่นละมุนละไมครอบงำเขาอย่างฉับพลัน รู้สึกผ่อนคลายมากเหลือเกินจากนั้นเขาก็จมอยู่กับมันเป็นเวลานาน เขาปล่อยข้อมือเธอ เธอหันกลับและมองเขาอย่างสงสัย ดวงตาสีน้ำตาลของเธอกำลังเผาไหม้อยู่ภายในจิตวิญญาณเขา

          “ใช่” เขาคิด “มันคงจะวิเศษที่ได้มองเข้าไปในดวงตาเธอตลอดกาล”

          ความเศร้าซึมเงียบเหงาลึกล้ำเริ่มครอบงำเขา และความปรารถนาอันยิ่งใหญ่เพื่อนั่งลงและนอนหลับจู่โจมเขาอย่างกะทันหัน

          “มัลฟอย?” เสียงแหลมดังของเกรนเจอร์ดึงเขาออกจากความเพ้อฝัน

          เดรโกมองไปรอบๆ เขารู้สึกคล้ายกับหมอกหนาทึบกำลังเคลื่อนผ่านศีรษะเขา เขาตระหนักได้อย่างทันทีว่าอะไรกำลังไล่ล่าพวกเขา

          “มันคือแมนติคอร์ เกรนเจอร์” เขากระซิบ

          “อะไรนะ?! นั่นเป็นไปไม่ได้!” เธอบอกเขา

          แต่เดรโกจะไม่โต้เถียง;เขาเคยมีประสบการณ์ความรู้สึกแปลกๆ เหล่านี้มาก่อนแล้ว เมื่อเขาได้ปล่อยเจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้ออกจากกรงขัง เขาคว้าแขนเธอและดึงเธอตามเขามา เดินอย่างรวด

เร็วกลับไปที่ทางเดิน พยายามฝืนแรงกระตุ้นที่จะวิ่งหนี เขาไม่ต้องการแสดงเป็นเหยื่ออีกแล้ว

          “แต่เจ้าเขี้ยว” เธอถาม

          “ปล่อยไอ้หมาบ้าเลือดไว้นั่นแหละ!” เดรโกตะคอก พร้อมกับเร่งฝีเท้า

          “ฉันทำไม่ได้!” เธอคร่ำครวญ และจัดการสะบัดออกจากการจับกุมของเขา

          เดรโกมองเธอเผ่นกลับลงไปจากทางเดิน เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่ปล่อยเธอไปซะเลย ถ้าเธอดื้อดึงอยากให้ตัวเองตาย ทำไมเขาต้องแคร์ด้วย? แต่ว่าเขาแคร์  เขาวิ่งตามเธอไปพร้อมกับทำเสียงหงุดหงิด

          เกรนเจอร์ล้มลงคุกเข่าและพยายามแก้ปมเชือกที่ทำให้เจ้าสุนัขไม่อาจเคลื่อนไหวไปไหนได้ มือของเธอกำลังสั่นด้วยความกลัวที่เพิ่มขึ้น นิ้วมือของลื่นหลุดอยู่บนเชือก เจ้าสุนัขยืนนิ่งสนิท ขนรอบคอตั้งชันและกำลังคำรามเบาๆ

          “ให้ฉันทำเอง” เดรโกตะคอก และผลักเกรนเจอร์ไปข้างๆ เขาแก้เชือกออกจากต้นไม้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว และกระตุกมันอย่างแรงเพื่อดึงความสนใจจากเจ้าสุนัข  เจ้าเขี้ยวเงยขึ้นดูเขาและเริ่มเดินตรงไปที่ดงพุ่มไม้ขนาดใหญ่

          “ไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเขี้ยว!” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนใส่สุนัข และดึงปอกคอมันไว้

          เดรโกคว้าแขนเกรนเจอร์และดึงเธอให้ลุกขึ้นยืน พุ่มไม้ทางด้านขวาของเขาเสียงดังกรอบแกรบ และเขาได้ยินเสียงคำรามเบาๆ พวกเขาวิ่งเร็วกลับไปที่ทางเดินพร้อมกับเจ้าสุนัขที่กำลังกระโดดนำหน้าพวกเขา ไม่มีเวลาสนใจว่ามันเป็นอะไรที่ไล่กวดตามมา

          เขามองข้ามไหล่ไปด้านหลัง และแทบเห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตที่กำลังวิ่งไล่พวกเขาไม่ชัดเจนนัก ครึ่งหนึ่งของมันถูกซ่อนอยู่ในใบไม้หนาทึบ แต่เพียงแค่ประกายขนสีน้ำตาลทองและเห็นหางแมงป่องเพียงแวบเดียว ก็บอกเดรโกว่าเขาคิดถูกแล้วว่ามันคืออะไร เขากำลังพยายามคิดว่าพวกเขาต้องวิ่งนานแค่ไหนก่อนที่มันจับพวกเขาได้  เมื่อเกรนเจอร์ดึงเขาไปทางซ้ายอย่างแรงทันทีเกือบหกล้ม เขาทรงตัวเองไว้ก่อนจะสะดุดขาตัวเองและปล่อยให้เธอลากเขาผ่านพวกต้นไม้ใหญ่มากมาย เธอหยุดลงอย่างกะทันหันและมัลฟอยเกือบจะวิ่งชนเธอเข้าให้ ตรงหน้าเขาคือกระท่อมของแฮกริด

          ถึงแม้ว่าเขายังได้ยินเสียงแมนติคอร์กำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว กระนั้นเขายังมีศักดิ์ศรีของตระกูลมัลฟอยให้ระลึกถึง

          “ไม่มีทางที่ฉันจะเข้าไปในนั้น!” เขาบอกเธออย่างหนักแน่น

          เกรนเจอร์จ้องมาที่เขาผ่านไหล่ของเธอ จากนั้นกระชากเขาอย่างแรงเข้าไปในห้อง เขาล้มลงบนพื้นและหันกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาสามารถเห็นภาพแมนติคอร์กระโดดสูงเพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนที่เกรนเจอร์ปิดประตูเสียงดังปัง เวลาหยุดลงชั่วขณะจากนั้นเป็นการพุ่งชนประตูด้วยกำลังอย่างมหาศาลจากอีกด้านหนึ่ง กระท่อมทั้งหลังสั่นสะเทือน เดรโกเหลือบมองรอบตัวเขาอย่างกังวล กำลังสงสัยว่ากระท่อมหลังนี้แข็งแรงแค่ไหน เสียงดังปังอีกเสียงกระแทกใส่กระท่อม แต่มันยังคงตั้งอยู่เหมือนเดิม

          พวกเขานั่งกันเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะไม้ เฝ้ามองประตูกระท่อมของแฮกริด เจ้าเขี้ยวนั่งหมอบอยู่มุมหนึ่ง หูของมันลีบลู่ไปด้านหลังและกำลังคำรามเบาๆ ใส่กำแพง

          “เธอคิดว่าเราจะอยู่ในนี้นานแค่ไหน?” เดรโกถามเธอในที่สุด

          “ฉันจะรู้ได้อย่างไง มัลฟอย?” เกรนเจอร์ตวาดใส่อย่างอารมณ์ไมดี

          “อ้าว..เธอดูเหมือนรู้ไปซะทุกอย่างนี่ เลือด...เกรนเจอร์” เดรโกชะงักชั่วครู่ก่อนเปลี่ยนเป็นชื่อเธองึมงำ

          เกรนเจอร์เหมือนไม่สังเกตเห็นอาการสะดุดของเขา เธอยืนขึ้นและเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง และกวาดสายตามองไปรอบๆ

          “ฉันไม่เห็นอะไรเลย บางทีมันคงไปแล้วล่ะ?” เธอมองข้ามไหล่ตัวเองมาที่เขาอย่างเต็มไปด้วยความหวัง

          “บ้าชะมัดเลย เกรนเจอร์ ออกมาจากหน้าต่าง เธอกำลังล่อตาล่อใจมันเท่านั้นเอง”

          เธอหันหลังใส่เขาอย่างฉุนเฉียว เดรโกยืนขึ้นและเริ่มเดินไปหาเธอเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายโจมตีกระท่อมอีกครั้ง เกรนเจอร์หลุดเสียงร้องกรี๊ดออกมาทันทีเมื่อแมนติคอร์กระแทกใส่หน้าต่าง เธอกลับมายังที่นั่งของเธออย่างรวดเร็ว และพยายามหายใจให้เป็นปกติอีกครั้ง

          “บอกเธอแล้ว” เขาพูด

          “แฮกริดต้องมีร่ายคาถาใส่ไว้บนกำแพงบ้างเพื่อไม่ให้เจ้าสิ่งนั้นเข้ามาได้” เธอบอก ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูด

          เกรนเจอร์ยืนขึ้นและเดินไปที่ตู้ไม้ใส่ถ้วยชามใบหนึ่ง แล้วหยิบกาน้ำใบใหญ่หนึ่งใบกับถ้วยน้ำชาสองใบออกมา  เดรโกเฝ้ามองขณะที่เธอวุ่นวายอยู่กับการติดไฟ เธอจับปอยผมสีเข้มของเธอทัดไว้หลังใบหูบอบบางอย่างใจลอย แล้วแขวนกาน้ำเหนือเปลวไฟ เดรโกสัมผัสถึงความรู้สึกประหลาดที่กำลังบิดเกลียวอยู่ภายในตัวเขา ชั่วเวลาหนึ่งเขาคิดว่าเธอแทบจะสวยงามมากเหลือเกิน เธอเหลือบมองกลับมาที่เขา ดวงตาสีบุษราคัมของเธอเป็นประกายด้วยด้วยแสงจากเปลวไฟ ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความตกใจแต่ประกายแห่งความหวังกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นด้วย เดรโกรู้สึกว่าปากเขาแห้งผากฉับพลัน เสหันมองไปทางอื่นและสำรวจกระท่อมเล็กหลังนี้แทน

          “ทำไมใครๆถึงอยากจะอาศัยอยู่ที่นี่?”

          “ฉันคิดว่ามันน่าอบอุ่นสบายดีออก” เกรนเจอร์บอกเขาอย่างดื้อรั้น

          “โอ้เดี๋ยวนะ ฉันลืมไปเลย เธอชอบใช้เวลาช่วงฤดูร้อนของเธอกับครอบครัววีสลี่ย์ เหมือนกันนี่ แบบนี้อาจดูเหมาะสมกับรสนิยมของเธออย่างดีเชียว”

          เกรนเจอร์หน้าแดง แล้วมองตรงมาที่เขาและพูดน้ำเสียงเบาๆแต่อันตราย “ฉันสงสารนาย นายไม่เคยได้อยู่ในบ้านที่อบอุ่นเลยสักหลัง นายอาศัยอยู่แต่ในคฤหาสน์เย็นชาของตระกูลมัลฟอยที่นายรักนักรักหนาเหลือเกิน สักวันหนึ่งนายจะสำนึกได้ว่าเงินและอำนาจไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนายไร้ความเป็นมิตร”

          เธอเทน้ำชาที่กำลังร้อนใส่ในถ้วยสองใบก่อนนั่งลง เธอยกถ้วยขึ้นไปที่ปาก นิ้วมือกำถ้วยไว้แน่น เดรโกได้แต่ตะลึงมองเธอด้วยความช็อก เธอพูดถูกแน่นอน และนั่นคือปัญหา เธอสามารถพูดถูกทุกอย่างได้อย่างไร เธอสามารถรู้เพียงแค่การมองเขาได้อย่างไร มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาใส่ใจอย่างแท้จริงคือคฤหาสน์ บ้านเก่าแก่หลังใหญ่ที่วันหนึ่งจะตกเป็นของเขา บ้านที่เขาได้รับการเลี้ยงดูมา กระนั้นเธอพูดถูก;มันช่างเย็นชา

          “ฉัน...ฉันเสียใจ มัลฟอย ฉันไม่ควรพูดแบบนั้นเลย”

          ด้วยความประหลาดใจ เดรโกเงยขึ้นมองเธอ เธอกำลังถูปลายนิ้วกับขอบโต๊ะอย่างกังวล “ฉันไม่ควรพูดอะไรแบบนั้น” เดรโกยิ้มหยันให้เธอ;เธอกลอกตาตัวเองแล้วพูดต่อ “ใช่ ถึงเป็นนายก็เถอะ”

          เดรโกเอนหลังพิงเก้าอี้ไม้ ซึ่งเขาต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างสบาย แล้วยิ้มเยาะมากขึ้น

          “เอาล่ะ เกรนเจอร์ กำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยให้ถึงวันนัดกับพอตเตอร์หรือ?”

          เกรนเจอร์สำลักน้ำชาและเงยมองเขาด้วยความประหลาดใจ

          “นายกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ มัลฟอย?” เธอถาม

          “งานเต้นรำวันคริสต์มาส เกรนเจอร์ เธอควรใส่ใจให้มากกว่านี้หน่อยซิ” เขาบอกเธออย่างแดกดัน

          “ฉันจะไม่ไปกับแฮร์รี่”

          “อะไรนะ? อย่าบอกฉันว่าเธอตอบตกลงกับวีสลี่ย์นะ? เจ้าคนน่ารังเกียจโง่เง่านั่นไม่มีอะไรสักอย่าง ฉันหมายความว่า เธอไม่เห็นเสื้อผ้าที่เขาใส่เมื่อปีที่แล้วหรือไง?” เดรโกพูดอย่างรวดเร็ว;ความคิดที่ว่าเกรนเจอร์จะไปกับพอตเตอร์ดูเหมือนยอมรับได้มากกว่าที่เธอจะไปกับ

วีสลี่ย์ อย่างน้อยที่สุดพอตเตอร์ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง

          “เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนาย ฉันจะไม่ไปกับรอนหรือว่าแฮร์รี่หรอก”

          “เธอยังไม่มีคู่นัดรึ?” เดรโกไม่สามารถซ่อนความตกใจในน้ำเสียงของเขา ถึงแม้ว่าเธอเป็นกริฟฟินดอร์คนหนึ่ง แต่เธอยังเป็นเด็กสาวที่ค่อนข้างน่ารัก และดูต้องตาต้องใจให้พูดคุยด้วยเช่นกัน

          “ความจริงแล้วฉันจะไปกับดีน” เกรนเจอร์ละสายตาไปจากเขา

          เดรโกคิดอย่างรวดเร็ว พยายามนึกว่าเขาเป็นใคร ความทรงจำถึงเด็กหนุ่มตัวสูงในวิชาการปรุงยาลอยมาหาเขา

          “โธมัส? เธอจะไปกับโธมัส? เขาต้องสูงกว่าเธออย่างน้อยสองฟุต ฉันจะพนันว่าเขาเต้นรำไม่เป็นด้วย เขาดูท่าทางเก้งก้างอย่างมาก”

          “ฉันชอบดีน และเขาก็ไม่ได้เก้งก้างซะหน่อย” เกรนเจอร์ย้อนให้ “แล้วใครที่นายจะไปงานเต้นรำด้วยล่ะ?”

          “ฉันจะ...” ช่วงเวลาสั้นๆ เดรโกเห็นภาพตัวเองกำลังเดินผ่านประตูเข้าไปในห้องโถงใหญ่กับหญิงสาวผมสีน้ำตาล มีรอยยิ้มกว้างและกำลังเกาะแขนเขา ชุดกระโปรงยาวโปร่งสบายพริ้วไปตามส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอ ขณะที่เธอหันมายิ้มให้เขา ดวงตาสีบุษราคัมอบอุ่นหลอมละลายบางอย่างภายในตัวเขา “แพนซี่ ฉันจะไปกับแพนซี่”

          “โอ้” เกรนเจอร์พูด เดรโกคิดว่าเธอมีท่าทางเกือบจะผิดหวังอย่างมาก แต่ท่าทางนั้นหายไปอย่างรวดเร็วซึ่งเขาไม่อาจบอกได้

          หลังจากนั้นพวกเขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปในความเงียบ เดรโกกำลังทบทวนว่ามันหมายความถึงอะไร ที่เขาคิดให้เธอเป็นคู่นัดของเขาในงานเต้นรำ เขาไม่ได้โกหกเรื่องการไปกับแพนซี่;เด็กสาวน่าโง่คนนี้ตะครุบตัวเขาทันทีเมื่อเขาออกจากห้องโถง หลังจากดัมเบิลดอร์ได้แจ้งประกาศแล้ว เดรโกได้ตกลงไปกับเธอ เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุดในบ้านสลิธีริน และเธอชื่นชอบการลูบไล้ตัวเขาซึ่งเขาพบว่ามันน่าพึงพอใจมากๆ  แต่เมื่อเกรนเจอร์ถามว่าเขาจะพาใครไป เขากลับคิดถึงเธอ มันช่างดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติและถูกต้องมาก

          เกรนเจอร์ยืนขึ้นและเริ่มทำเสียงดังก๊อกแก๊กภายในตู้ใส่ถ้วยชามอีกครั้ง และโผล่ออกมาพร้อมกับจานใบเล็กใส่เค้กหินหลายชิ้น เธอปิดประตูตู้และเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ ปลิวตกลงมาที่พื้น เธอวางจานลงบนโต๊ะพร้อมกับทำหน้านิ่วแล้วหยิบเศษกระดาษขึ้นมา เดรโกชำเลืองดูมันข้ามไหล่ของเธอเมื่อเธอนั่งลงแล้ว ลายมือเขียนหวัดไม่เป็นระเบียบและยากที่จะเข้าใจในตอนแรก แผ่นกระดาษชิ้นเล็กนี้เต็มไปด้วยการขีดเขียนและเครื่องหมายต่างๆ ใช้เวลาสักพักสำหรับเดรโกถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นรายการซื้อของ

          “แค่รหัสบางอย่างที่เจ้าทึ่มต้องทำขึ้นเอง” เขาพูด

          เกรนเจอร์ชำเลืองดูเขาอย่างสงสัย

          “เธอรู้จักชวเลขไหม? ลูเซียสใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงเฉพาะตัวของเขา เป็นวิธีที่รวดเร็วกว่าในการเขียนสิ่งต่างๆ ลงไป  แน่นอน เขารู้สึกสนใจมากกับความจริงที่ว่ามันต้องใช้เวลานานมากแค่ไหนถึงเข้าใจบางอย่างได้ถ้าเธอไม่รู้จักชวเลขเฉพาะตัวของเขา” เดรโกเอนหลังกลับไปในเก้าอี้พร้อมกับรอยยิ้มชอบใจ เขาเข้าใจรหัสพิเศษเฉพาะของลูเซียสก่อนเขียนหนังสือเป็นเสียอีก

          เกรนเจอร์เงยมองมาที่เขาเวลาที่เขาพูดแล้วกลับไปดูเศษกระดาษชิ้นนี้ ดวงตาเธอเบิกกว้างและดูเหมือนกำลังพูดกับตัวเองภายใต้ลมหายใจ เธอยืนขึ้นพรวดพราดจนเก้าอี้ล้มลงและเกือบจะคว่ำกาน้ำขาด้วย

          “มันต้องเป็นแบบนั้น!” เธอร้องตะโกนพร้อมกับโบกแผ่นกระดาษตรงหน้าเขา “นั่นคือทำไมมันถึงดูไม่รู้เรื่องเลย!”

          “อะไร?” เขาถามอย่างตกใจ

          “มันเป็นอย่างนี้เอง! พวกมันเขียนเป็นรหัส!” เกรนเจอร์กำลังกระโดดขึ้นและลงด้วยความดีใจ

          “อะไร? อะไรเขียนเป็นรหัส? เกรนเจอร์ เธอกำลังพูดถึงอะไร?” เดรโกยืนขึ้น เพราะว่าการมีเกรนเจอร์มากระโดดอยู่ใกล้ๆ เหนือตัวเขาทำให้เขารู้สึกอึดอัด

          “หนังสือทั้งหลายของเขา หนังสือทั้งหลายของโอ’แลรี่ มีเล่มหนึ่งที่เป็นตัวเลขทั้งหมดไง? พวกมันต้องเป็นรหัส!” เวลานี้เกรนเจอร์กำลังกระโดดขึ้นและลงด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด

          จากนั้นเดรโกก็เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และมันมีเหตุผล;แน่นอน หนังสือพวกนี้ต้องถูกเขียนด้วยรหัสบางอย่าง ทำไมเขาไม่คิดถึงมันมาก่อนซึ่งทำให้เขาค่อนข้างหงุดหงิด ในเวลาเดียวกันนี้เกรนเจอร์รุดไปที่ประตูแล้ว มือของเธออยู่บนที่จับประตู และหันมาหาเขา

          “เร็วเข้า! เราต้องไปที่ห้องสมุด!”

          เดรโกตระหนักว่าเธอกำลังจะทำอะไร เขารีบข้ามห้องไปอย่างรวดเร็ว เขาจับข้อมือเธอและดึงเธอมาจากประตูก่อนเธอจะเปิดมันออก เกรนเจอร์สะดุดกลับมาและล้มใส่เดรโก ราวกับว่าเป็นความปรารถนาของพวกเขา วงแขนของเขาโอบรอบตัวเธอ เธอทำตัวแข็งต่อต้านเขาจากนั้นผ่อนคลายลง เขาช่วยเธอให้ลุกขึ้นแต่ไม่ได้ปล่อยเธอ เขารู้สึกว่าหัวใจเขาเริ่มเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เขาดึงเธอเข้ามาใกล้เขา เธอแหงนศีรษะขึ้น เขาดึงเธอเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นแล้วโน้มตัวลงมา

          “เฮอร์ไมโอนี่! เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไร?”  เสียงแฮกริดดังก้องไปทั่วกระท่อม

          เวลาหยุดลงชั่วขณะ เมื่อเดรโกจ้องไปที่ใบหน้าดำคล้ำของแฮกริด สำนึกว่าอาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่เข้าใจความหมายคำว่าลูกครึ่งยักษ์เป็นอย่างไร ภาพของรองเท้าบู๊ตสีดำขนาดใหญ่กระแทกลงบนศีรษะเขาสว่างวาบอยู่ในใจเขา เกรนเจอร์กระโดดออกจากเขาอย่างทันที นำเขาออกจากฝันกลางวัน เธอตั้งใจมากในการปลดตัวเองออกจากเขาจนทำให้เดรโกเกือบเสียการทรงตัว

          “แฮกริด ขอบคุณพระเจ้าที่คุณกลับมาแล้ว!” น้ำเสียงตึงเครียดของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นสูงกว่าปกติหลายเท่า

          แฮกริดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเกินกว่ารูปร่างใหญ่โตของเขาจะอำนวย และกระชาก

เดรโกขึ้นจากพื้น กำปั้นของเขาคว้าปกเสื้อคลุมของเดรโก

          “เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่?” น้ำเสียงเขาแหบต่ำและน่ากลัว

          “แฮกริด ได้โปรดเถิด มันไม่ใช่อย่างที่เห็น!” น้ำเสียงเกรนเจอร์เวลานี้แหลมสูงและวิงวอน “แมนติคอร์อยู่ที่นี่ มันกำลังไล่ล่าพวกเรา เราไม่มีเวลาพอที่จะกลับไปที่ปราสาท”

          เดรโกหล่นสู่แผ่นกระดานพื้นห้องเมื่อแฮกริดปล่อยตัวเขา  เขาอ้าปากสูดหายใจอย่างแรงแล้วมองไปที่แฮกริดซึ่งหันไปมองเกรนเจอร์

          “ใช่แน่นะ เฮอร์ไมโอนี่?”

          เกรนเจอร์พยักหน้า แฮกริดสะบัดผ่านพวกเขาทั้งคู่ไป และโน้มตัวลงข้างกองไฟพร้อมกับพูดเบาๆ สองสามคำ เกิดระเบิดแสงทันทีจากนั้นกองไฟดูเหมือนกลายเป็นโปร่งแสง ห้องทำงานอาจารย์ใหญ่สามารถถูกเห็นผ่านกลุ่มควันที่หมุนวนอยู่

          “ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์? คุณได้ยินผมไหมครับ?” แฮกริดเรียกเข้าไปในเปลวไฟ

          “ได้ยิน แฮกริดรึ?” ใบหน้าดัมเบิลดอร์ปรากฏในเปลวไฟ

          “ครับ เราคิดถูกแล้ว มันกลับมา และไล่กวดเฮอร์ไมโอนี่กับมัลฟอยมาที่กระท่อมของผมครับ”

          “ฉันจะไปที่นั่น แฮกริด กรุณาคอยฉันด้วย” ใบหน้าของอาจารย์ใหญ่หายไป

          เดรโกดันตัวเองขึ้นจากพื้นและชำเลืองไปที่เกรนเจอร์อย่างสงสัย เธอแค่ยักไหล่นิดๆ พวกเขาได้แต่ยืนดูแฮกริด เจ้าลูกครึ่งยักษ์กำลังรื้อค้นของในหีบเดินทางใบใหญ่ที่วางอยู่ตรงปลายเตียงของเขา เขาดึงเอาหน้าไม้อันใหญ่ออกมา จากนั้นก็ห่อผ้าห่อหนึ่ง เมื่อเขาคลี่มันออกบนผ้าคลุมเตียงเก่าๆ เผยให้เห็นลูกศรหลายอันซึ่งเลี่ยมปลายด้วยวัสดุที่ทำให้ดวงตาของเดรโกเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ

          “ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ พวกนั้นไม่ได้เป็น...ฟันมังกรใช่ไหม?” เกรนเจอร์กระซิบ

          เดรโกยิ้มกับตัวเอง;เธอช่างฉลาดแบบไม่ธรรมดาเลย ทันทีที่คุณเดินผ่านผู้รอบรู้เจ้ากี้เจ้าการไปทุกเรื่อง

          “ใช่” แฮกริดตอบ เขาเริ่มตรวจสอบลูกศรทีละอัน มันช่างยากเย็นแทบตายเพื่อให้ได้ฟันมังกรมา พวกมันมีค่ามากมายมหาศาล ฟันของมังกรที่โตเต็มวัยแทบจะแข็งแกร่งพอๆ กับพวกเพชร;หมายความว่าพวกมันตัดผ่านอะไรก็ได้ทั้งนั้น ลูเซียสรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับมีดเล่มเล็กของเขาที่เลี่ยมปลายด้วยเศษฟันเล็กๆ แต่ที่นี่เจ้าทึ่มคนนี้มีลูกศรทั้งกระบอกที่ทรงคุณค่า

          “คุณกำลังจะไปฆ่ามันรึ แฮกริด?” เกรนเจอร์ถามอย่างเจ็บปวด

          “ใช่ ถ้าสามารถจับมันได้” เขาบอกเธอ “ฉันรู้ว่าเธอเป็นพวกสนับสนุนเรื่องสิทธิของสัตว์วิเศษ แต่ว่าตัวนี้ต้องถูกฆ่า มันทำให้ฉันเจ็บปวดมากๆ เหมือนกัน มันจะไม่ปล่อยเธอไว้สักคนเดียวถ้าเราไม่จัดการมัน”

          “นายหมายความว่าอะไร มันไม่ปล่อยพวกเราไว้สักคนเดียวถ้านายไม่จัดการ?” เดรโกถาม

          “เธอรู้ มัลฟอย” เดรโกหันไปพบอาจารย์ใหญ่กำลังยืนอยู่ที่ประตูกับศาสตราจารย์สเนปซึ่งอยู่ด้านหลังเขา “แมนติคอร์เป็นที่ทราบกันถึงความดุร้ายของมัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่าแมนติคอร์ปล่อยให้เหยื่อของมันหนีรอดไปได้น้อยมาก”

          “คุณหมายความว่า...” เกรนเจอร์เริ่ม แต่อาจารย์ใหญ่พูดต่อว่า

          “ใช่แล้ว มิสเกรนเจอร์ ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจนิดหน่อยว่าแมนติคอร์ของเธออาจยังอยู่ภายในบริเวณพื้นสนามแถวนี้ ด้วยความหวังที่จะจัดการกับมื้ออาหารของมัน และตอนนี้เซเวอรัส เธอจะกรุณาคุ้มกันพวกเขากลับไปที่ปราสาทได้ไหม? แฮกริด เธอกับฉันจะไปดูแลเจ้าสัตว์นี้กัน”

          เดรโกมีเวลาน้อยมากที่จะโต้แย้ง เมื่อเขารู้ตัวว่ากำลังเดินตามกลับไปที่ปราสาทกับ

ศาสตราจารย์สเนปและเกรนเจอร์  ศาสตราจารย์สเนปไม่พูดอะไรเลยกับพวกเขาสักคน และกำลังทำหน้าที่เกี่ยวกับภารกิจของเขาในฐานะผู้ดูแลอย่างเต็มที่  ศาสตราจารย์สเนปหยุดทันทีที่พวกเขาผ่านประตูใหญ่

          “เอาล่ะ มิสเกรนเจอร์ ฉันแนะนำให้เธอตรงไปที่ห้องนั่งเล่นรวมของเธอ และเธอด้วยเช่นกัน เดรโก”

          “แต่ศาสตราจารย์ค่ะ มัลฟอยและหนูกำลังจะไปห้องสมุด” เกรนเจอร์พูดอย่างรวดเร็ว เดรโกยังเห็นความตื่นเต้นอยู่ในแววตาของเธอ

          “เธอไม่คิดว่าวันนี้เธอและมัลฟอยได้ใช้เวลาด้วยกันมากพอสมควรแล้วรึ? แล้วผู้คนเขาจะพูดลือกันไปอย่างไร?” ศาสตราจารย์สเนปพูดอย่างโหดร้าย

          “มันไม่ใช่ความผิดของเธอครับ ศาสตราจารย์” เดรโกปกป้องเธอก่อนเขาหยุดคำพูดลง

          ศาสตราจารย์สเนปหันกลับมามองที่เขา และเกรนเจอร์ดูเหมือนตกใจสุดขีด เดรโกพยายามอย่างยิ่งไม่ให้ใบหน้าเขากลายเป็นสีแดง ปราศจากคำพูดใดๆ อีก เขาหันหลังและมุ่งหน้าไปที่คุกใต้ดิน

TBC

No comments:

Post a Comment