Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Wednesday, September 10, 2014

Rhythm of the Relations Series V

Series V  Release Me 

Author: Jamy



*****1***** 

รถไฟด่วนฮอกวอตส์เคลื่อนตัวออกจากชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ของสถานีรถไฟคิงครอสต์ แฮร์รี่ รอน
 และเฮอร์ไมโอนี่ ที่เพิ่งจะร่ำลากับบรรดาสมาชิกภาคีที่แห่กันมาส่งพวกเขาเสร็จ เริ่มยืนโงนเงน

ไปมาตามจังหวะของรถไฟที่เร่งความเร็วขึ้น รอนกำลังอึกอักเนื่องจากพยายามหาคำพูดที่จะบอกแฮร์รี่ว่า
 เขากับเฮอร์ไมโอนี่ต้องไปรับคำสั่งจากประธานนักเรียนชาย-หญิงที่ตู้ของพรีเฟ็ค และจะรีบกลับมาทีหลัง 

เฮอร์ไมโอนี่เดินนำหน้ารอนไปทางหัวรถจักร เมื่อเธอเปิดประตูตู้พรีเฟ็คเข้าไป ก็ปรากฏว่ามีพรีเฟ็คของบ้าน
อื่นมารออยู่บ้างแล้ว สายตาของเธอไปสะดุดอยู่ที่พรีเฟ็คบ้านสลิธีริน หัวใจของเด็กหญิงกระตุกขึ้นด้วยความดีใจ

 หน้าแดงขึ้นมาทันทีอย่างช่วยไม่ได้ เธอเกือบจะยิ้มออกมาอยู่แล้วถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็น 
แพนซี่ พาร์กินสัน ที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นพรีเฟ็คอีกคนหนึ่งของบ้านสลิธีรินกำลังคล้องแขนมัลฟอยอยู่

อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ พลางยืดอกอย่างอวดเบ่ง เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้งทันที
 มัลฟอยหันไปมองผู้มาเยือนรายใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นเฮอร์ไมโอนี่ ก็รู้สึกพึงพอใจ เขาคาดการณ์ไว้แล้ว
ว่าเธอจะต้องได้เป็นพรีเฟ็คแน่ๆ

“เข้าไปสิเฮอร์ไมโอนี่ ยืนตะลึงอะไรอยู่ล่ะ” เสียงรอนลอดเข้ามาจากทางด้านหลังของเด็กหญิง
 มัลฟอยเบ้หน้าทันทีโดยไม่ต้องรอให้เห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้น

“เชอะ! เจ้าพวกหัวแดง” เขาพ่นลมหายใจอย่างดูหมิ่น มีแพนซี่หัวเราะคิกคักเป็นลูกคู่อยู่ข้างๆ
 รอนหน้าแดง เขาก้าวพรวดเข้ามาประจันหน้า แล้วโต้กลับ

“แล้วมันหนักส่วนไหนของนายกัน!” มัลฟอยหรี่ตามองรอนอย่างดูถูก

“ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอกนะ สำหรับยายหนอนหนังสือเกรนเจอร์..แต่สำหรับนายนี่สิ.....” แพนซี่หัวเราะ
คิกคักอย่างออกนอกหน้ายิ่งกว่าเดิม เฮอร์ไมโอนี่ที่อารมณ์ไม่ดีกับท่าทางของแพนซี่อยู่แล้ว
 ยิ่งรู้สึกฉุนโกรธมากขึ้น ก่อนที่รอนจะได้พูดอะไร เธอก็สวนกลับทันควัน

“แล้วนายจะทำไม! แม่พาร์กินสันหน้าหงิกของนายไม่น่าจะได้เป็นเสียยิ่งกว่าอีก!” เด็กหญิงจ้องหน้าเขาเขม็ง 
มัลฟอยหันขวับมาจ้องหน้าเธอตอบ เขาโมโหที่เฮอร์ไมโอนี่ปกป้องรอน แต่ยังไม่ทันจะได้ถกเถียงอะไรกันต่อ 
ประธานนักเรียนก็เดินเข้ามาพอดี เป็นอันจบศึกปะทะคารมย่อยๆ ของพวกเขาไปได้โดยปริยาย

มัลฟอยแอบส่งสายตาตำหนิไปให้เฮอร์ไมโอนี่ แต่เด็กหญิงกลับเชิดคอขึ้นแล้วทำหน้าตึงใส่เขา 
และไม่หันกลับไปมองเขาอีกเลย เป็นผลให้มัลฟอยไม่พอใจมากยิ่งขึ้น

หลังจากที่ประธานนักเรียนได้ชี้แจงและมอบหมายหน้าที่ต่างๆ ให้กับพรีเฟ็คทุกคนได้รับทราบเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายกลับตู้รถไฟของตน เฮอร์ไมโอนี่ลากรอนออกมาจากตู้พรีเฟ็ค
อย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากเห็นหน้ามัลฟอยที่มีแพนซี่เกาะเหมือนเห็บอยู่ข้างๆ นานกว่านี้อีก

“โอ๊ย! เธอจะรีบไปไหนนักหนาน่ะ เฮอร์ไมโอนี่!!” รอนประท้วง แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ตอบอะไร 
เธอเดินจ้ำอ้าวต่อไปอย่างไม่ฟังเสียง เด็กหญิงคิดว่านี่ช่างเป็นการพบกันที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย 

หลังจากที่พวกเขามีความทรงจำที่ดีร่วมกันในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เฮอร์ไมโอนี่คิดว่ามัลฟอยน่า
จะทำตัวดีมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากสำหรับเขา แต่อย่างน้อยเธอคิดว่าเขา
ก็น่าจะสงบปากสงบคำลงบ้างก็ยังดี

เฮอร์ไมโอนี่เดินจูงรอนที่เดินหน้าแดงตามไปอย่างงงๆ ภายใต้สายตาอันไม่พอใจของมัลฟอย
 เขาหรี่ตามองรอนอย่างประสงค์ร้าย ก่อนจะสะบัดผ้าคลุมเดินหนีแพนซี่ไปยังตู้ของตน 

มัลฟอยกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิดที่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามลูกสมุนปัญญานิ่มทั้งสองของเขา
 แครบและกอยล์ที่กำลังเมามันกับขนมตรงหน้าหยุดชะงักทันทีที่เห็นท่าทางฮึดฮัดนั่น

 จนขนมหล่นลงจากมือ มันกลิ้งไปถูกเท้าของมัลฟอยเข้า เขาหันขวับมาจ้องหน้าทั้งสองอย่างดุเดือด 
แล้วใช้เท้าบดขยี้ขนมชิ้นนั้นอย่างระบายอารมณ์ แครบกับกอยล์เห็นดังนั้นก็ตัวสั่น

 เริ่มหวาดหวั่นกับอารมณ์ของลูกพี่ขึ้นมาทันที จู่ๆ มัลฟอยก็ลุดพรวดขึ้น ทั้งสองผวาจนถุงขนมหล่นกระจาย
 มัลฟอยเหลือบตามองอย่างดูแคลน แล้วออกคำสั่ง

“ตามฉันมา เจ้าพวกสมองนิ่ม ฉันจะไประบายอารมณ์กับเจ้าหัวแผลเป็นซักหน่อย” 
ว่าจบเขาก็ก้าวนำออกไปจากตู้ทันที โดยมีสองสมุนรีบลุกลี้ลุกลนตามออกมาด้วย

มัลฟอยเดินหาตู้ของพวกแฮร์รี่อย่างหงุดหงิด เขาพยายามสรรหาคำพูดเผ็ดร้อนต่างๆ เพื่อจะเสียดสี
พวกนั้นให้หายโมโห โดยคาดว่าจะเป็นการทำโทษเฮอร์ไมโอนี่ที่ทำท่าทางกับเขาแบบนั้น

เมื่อพบตู้ของพวกแฮร์รี่ เด็กชายก็เปิดประตูพรวดเข้าไปทันที เขาเริ่มพูดจาร้ายกาจใส่แฮร์รี่ต่างๆ นานา
 เท่าที่จะนึกได้ แต่เมื่อแฮร์รี่ตอบกลับมา แล้วเฮอร์ไมโอนี่ร่วมวงหัวเราะไปกับเพื่อนๆ ของเธอด้วย

 ทำให้เขาโกรธจัดยิ่งขึ้น แต่เขาก็ยังคงควบคุมอารมณ์ได้ แล้วทำเป็นยกมุมปากยิ้มเยาะพวกนั้นอย่างไว้เชิง
ตามด้วยคำพูดที่เขาคาดว่าจะเสียดแทงมิตรภาพของพวกแฮร์รี่

“บอกฉันหน่อย รู้สึกยังไงบ้างที่ต้องเป็นที่สองรองจากวิสลีย์ ฮึ พอตเตอร์” เขาถาม

“หุบปากนะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงห้วน มัลฟอยหันไปมองเธอด้วยสายตาที่มีแต่เฮอร์ไมโอนี่เท่า
นั้นที่จะเข้าใจความหมาย เขาทำเป็นไม่ใส่ใจและหันกลับไปพูดถากถางแฮร์รี่ต่อ

“ดูเหมือนฉันจะแตะถูกจุดสะเทือนใจล่ะสิ” เขาตอบแล้วยิ้มหยัน “เอาละคอยระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน
 พอตเตอร์ เพราะว่าฉันจะคอยติดตามนายทุกฝีก้าวเหมือนหมาเลย เผื่อว่านายจะก้าวออกนอกกฎ”

“ออกไป!” เฮอร์ไมโอนี่ไล่ พลางลุกขึ้นยืน ทั้งสองประสานสายตากันแว่บหนึ่ง
 มัลฟอยหันไปมองหน้าแฮร์รี่ด้วยสายตามุ่งร้ายเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ

เยาะหยันที่ร้ายกาจเป็นที่สุดสำหรับความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่ เธอกระแทกบานประตูปิดดังลั่น
ตามหลังพวกเขา มัลฟอยหันขวับกลับไปมองอย่างโกรธจัด เห็นได้ชัดว่าการเข้ามาหาเรื่องพวก

เพื่อนของเฮอร์ไมโอนี่นั้น ไม่ได้ทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำกลับทำให้เขารู้สึกขุ่น
มัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นมาปกป้องเพื่อนๆ ของเธออย่างออกนอกหน้า
 เขายืนจ้องประตูที่ปิดสนิท กัดกรามอย่างเคียดแค้น ก่อนจะคำรามออกมาเบาๆ

“แกต้องเห็นดีกับฉันแน่เจ้าพอตเตอร์!” 

............................................................................................. 

ในที่สุดเมื่อรถไฟใกล้จะถึงฮอกวอตส์ รอนและเฮอร์ไมโอนี่ต้องไปทำหน้าที่ของพรีเฟ็ค
 ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับมัลฟอยอีกครั้ง เด็กหญิงก้มหน้าหลบทันทีที่เห็นสายตาอันคมกริบของ
อีกฝ่ายกำลังจ้องเขม็งมาที่เธออย่างโกรธเกรี้ยว

เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าเธอไม่ควรไปออกอารมณ์ใส่เขาขนาดนั้น แต่เธอไม่พอใจเรื่องแพนซี่ 
และที่สำคัญ เธอโกรธที่มัลฟอยไม่เลิกราวีเพื่อนสนิททั้งสองของเธอเสียที และจากคำพูดของเขาเมื่อครู่
 ทำให้เธอกลัวว่าเขาจะรู้ความลับของภาคีและซิเรียส แบล๊ก อีกด้วย

ฝูงเด็กนักเรียนที่เบียดเสียดกันบนตู้ชุลมุนเสียจนไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่า ตอนนี้มัลฟอยได้เดิน
มาถึงตัวเฮอร์ไมโอนี่แล้ว เขาบีบแขนเธอแรงๆ แล้วจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง เฮอร์ไมโอนี่ไม่กล้าสู้

สายตาเขาประกอบกับเกรงว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น เธอลนลานกวาดสายตามองไปรอบๆ
 อย่างระมัดระวัง มัลฟอยกระชากแขนเด็กหญิงเข้าไปที่ตู้ว่างด้านหลังอย่างรวดเร็วแล้วล็อคประตูทันที

“นายทำอะไร!” เฮอร์ไมโอนี่ตะคอกอย่างไม่พอใจ

“น่าประทับใจเหลือเกินนะ หลังจากไม่ได้เจอกันตั้งนาน” มัลฟอยลากเสียงยานคาง 
มองเธออย่างตัดพ้อระคนโกรธ เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ เธอทำท่าจะเปิดประตูออกไป
 แต่มัลฟอยตะปบมือของเธอไว้ได้ก่อนแล้วดันเธอไปจนชิดกำแพง

“ปล่อยฉันออกไปนะ!” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างมีโมโห

“ต้องปกป้องกันออกนอกหน้าขนาดนั้นเลยใช่มั๊ย” เขาไม่สนใจท่าทางของเธอ กลับถามเธอเสียงเครียด

“ก็นายอยากมาหาเรื่องเองทำไม! ทำไมนายไม่หัดอยู่เฉยๆ ซะบ้าง มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่เถียง

“ก็พวกเพื่อนของเธอมันทำตัวน่าหมั่นไส้เองนี่ แล้วเธอยังจะคอยปกป้องพวกมันอีก 
แถมยังทำต่อหน้าคนอื่นๆ จงใจฉีกหน้าฉัน!” เด็กชายคำรามอย่างมีอารมณ์

“ทีนายกับพาร์กินสันล่ะ ยังควงแขนกันอย่างหน้าชื่นตาบานต่อหน้าทุกคน!!” เฮอร์ไมโอนี่โพล่ง
ออกมาอย่างลืมตัว มัลฟอยขมวดคิ้ว

“เธอบ้าหรือเปล่าเกรนเจอร์ เห็นก็เห็นว่ายายนั่นมานัวเนียกับฉันเองนะ” เฮอร์ไมโอนี่เบ้ปาก

“แต่นายก็ไม่ปฏิเสธ” “เธอรู้ได้ยังไง” มัลฟอยถาม

“ก็ท่าทางของนายมันฟ้องนี่!”

“ทำไมเธอถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้นะเกรนเจอร์ เธอจะให้ฉันสลัดเค้าออกไปทุกครั้งเลยหรือยังไงกัน 
เค้าเป็นเพื่อนสลิธีรินบ้านเดียวกับฉันนะ!”

“ทีนายยังห้ามไม่ให้ฉันช่วยเพื่อนฉันเลย” เฮอร์ไมโอนี่เถียง

“นั่นมันไม่เหมือนกัน!!” มัลฟอยโต้กลับแทบจะเป็นเสียงตะโกน

“ไม่เหมือนยังไง!?!” เฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมแพ้ แต่มัลฟอยกลับนิ่งไม่ตอบ
 เขาขมวดคิ้วมองหน้าเธอครู่หนึ่งแล้วถอนใจหนักๆ

“นี่เราจะเถียงกันอีกนานแค่ไหนกัน ยายหัวฟู พวกเราไม่ได้มีเวลาทั้งวันเหมือนตอนที่ติดอยู่ในป่านั้นนะ”
 เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อน แต่ก็เริ่มใจเย็นลงบ้าง เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ

 เธอยังคงทำหน้างอใส่เขา มัลฟอยเอื้อมมือไปลูบผมของเธอเบาๆ มองตาเธออย่างปวดร้าว
 โดยไม่ได้พูดอะไรอีก เด็กหญิงเห็นสายตาของเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเองก็
เจ็บปวดไม่แพ้กัน เฮอร์ไมโอนี่หลบสายตาเขาแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง

“เกรนเจอร์...” เขาครางออกมาเสียงแผ่ว “ตลอดปีนี้เราคงต้องห่างไกลกันมาก..”
 เฮอร์ไมโอนี่หันกลับมามองหน้าเขาอย่างสงสัย

“เธอก็มีหน้าที่ที่เธอต้องทำของเธอใช่มั๊ย” เด็กหญิงได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง ใจหายวูบ - - นี่เขารู้อะไรมาบ้าง??

“ฉันไม่โทษเธอหรอก ไม่โทษ..และจะไม่ถามอะไร..ไม่ต้องกลัว...แต่ฉันคงจะให้ความร่วมมือกับเธอไม่ได้..”
 เด็กชายบีบไหล่เธอแน่นแล้วหลับตาอย่างสะกดอารมณ์ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่ามือของเขาสั่นนิดๆ 
เธอเริ่มสับสนและทำอะไรไม่ถูก เด็กหญิงใจเสีย นี่เธอควรจะทำอย่างไร? จะปลอบเขาได้ยังไงกัน??

เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของเขาเบาๆ มัลฟอยลืมตาขึ้นเขายกมือ
ข้างหนึ่งขึ้นมากุมมือเล็กๆ ที่ประทับอยู่บนใบหน้าของเขาไว้ แล้วค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหาเด็กหญิง

 เฮอร์ไมโอนี่ปิดเปลือกตารอคอยสัมผัสจากริมฝีปากบางของอีกฝ่าย พลางตอบรับจุมพิตของเขาอย่างโหยหา
 เธอรู้สึกเจ็บปวดกับสถานการณ์ที่เธอและเขากำลังเผชิญอยู่ น้ำใสๆ เริ่มไหลรินออกมาจากดวง
ตาของเด็กหญิง มัลฟอยค่อยๆ คลายริมฝีปากออกช้าๆ เขาบรรจงเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน

“เธอต้องระวังตัวให้ดีนะ เกรนเจอร์” เขาเตือน “ปีนี้ฉันคงจะร้ายกาจมากสำหรับเธอและเพื่อนๆ
 ..เธออาจจะเกลียดฉันไปเลยก็ได้” เขายิ้มเศร้าๆ มองเธอที่มองเขากลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม

“ไม่ต้องถามหรืออยากรู้อะไรตอนนี้หรอก ยายหัวฟู...ไม่นานเธอก็จะรู้เองแหละ” เขายิ้มให้
เธออย่างฝืนเต็มทนก่อนจะลูบศีรษะเธอเบาๆ และกระซิบว่า

“แต่ถึงยังไง ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอ ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...” เด็กชายโอบกอดเฮอร์ไมโอนี่อย่างหวงแหนอีกครั้ง

“ไปเถอะ..เดี๋ยวเจ้าหัวแดงนั่นจะหาเธอแย่” เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาอย่างกังวล
 เธอหันไปเปิดประตู แต่ก่อนที่จะออกไป เธอหันกลับมามองเขาแล้วตัดสินใจถาม

“ช่วยบอกฉันทีสิ..ว่านายไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำของพ่อนาย..” มัลฟอยมองหน้าเธอนิ่ง

“เขาเป็นพ่อของฉัน..เกรนเจอร์” เฮอร์ไมโอนี่ทำสีหน้าผิดหวัง เธอนิ่งอึ้งอยู่เป็นพักก่อนจะเงยหน้าขึ้น
มองเขาด้วยสายตาที่แสนเจ็บปวด

“แต่ถึงยังไง..ฉันก็คงเกลียดนายไม่ลง.....มัลฟอย...” เธอกัดริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือ
ไปโน้มศีรษะของอีกฝ่ายลงมา เธอเขย่งปลายเท้าแล้วแตะริมฝีปากที่แก้มของเขา

“..เดรโก....” เฮอร์ไมโอนี่พูดชื่อของเขาเบาๆ ที่ข้างหู ก่อนจะผละจากเขาแล้ววิ่งออกจากตู้ไป

การที่เธอเรียกเขาด้วยชื่อต้นเป็นครั้งแรกนั้น กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด..ถ้าในสถานการณ์ที่แตกต่างกว่านี้ 
เขาคงจะดีใจมากที่ได้ยินคำนี้จากปากของเด็กหญิง และเขาคงจะรั้งเธอไว้ ไม่ปล่อยให้เธอจากไปง่ายๆ แบบนี้

มัลฟอยมองตามเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยระคนสิ้นหวัง
 ปีนี้คงเป็นปีที่ยากลำบากที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา และการหาวิธีปกป้องเฮอร์ไมโอนี่โดย
ไม่ให้คนอื่นล่วงรู้นั้น ไม่ได้เป็นไปได้โดยง่ายเอาเสียเลย

เด็กชายทิ้งตัวลงนั่งในตู้รถไฟแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาเอามือกุมศีรษะตัวเองไว้
 ในหัวสมองมีแต่ความสับสน ยิ่งเขาใกล้ชิดกับเฮอร์ไมโอนี่มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมองเห็นความเป็น

ไปไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น เขาอยากให้เธอมาเป็นผู้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานอันหนักหนาสาหัสนี้ 
แต่ดูเหมือนว่า มันกลับกลายเป็นเครื่องพันธนาการที่ยากเกินจะหนีพ้น เด็กชายยกศีรษะขึ้นพิงผนัง

 หลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน รำพึงกับตัวเองออกมาเบาๆ อย่างเจ็บปวด ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วออก
ไปปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไป

“ทำไมต้องเป็นเธอด้วย...ยายเลือดสีโคลน!”





*****2*****


เมื่อจบบทเพลงใหม่ของหมวกคัดสรร แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนี่ ต่างนึกสงสัยในสิ่งที่หมวกคัดสรรเตือน
 เฮอร์ไมโอนี่นั้นดูจะกังวลมากกว่าเพื่อนทั้งสอง หลังจากที่ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์กล่าวต้อนรับเด็ก

นักเรียนเข้าสู่งานเลี้ยงวันเปิดเทอมและเชิญชวนให้ทุกคนรับประทานอาหารแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็หันไปถาม
นิกหัวเกือบขาดที่กำลังมองอาหารตาละห้อยเกี่ยวกับคำเตือนนั้น นิกสรุปให้เด็กๆ ฟังว่าหมวกต้องการ
ให้นักเรียนทุกบ้านยืนหยัดร่วมกัน เข้มแข็ง และสามัคคี

“มันต้องการให้บ้านทุกหลังเป็นเพื่อนกันเนี่ยนะ” แฮร์รี่พูดแล้วมองข้ามไปที่โต๊ะของสลิธีริน 
“ไม่มีทางหรอก” เขาตอบพลางพ่นลมหายใจพรืด เฮอร์ไมโอนี่แอบเหลือบมองไปที่มัลฟอยเช่นกัน

 เธอเห็นเขาที่กำลังทำท่าเป็นคนสำคัญอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนนักเรียนบ้านเดียวกับเขาก็ส่ายศีรษะ
 แล้วหันไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนของเธอตามเดิม 

มื้ออาหารจบลงพร้อมคำปราศรัยที่ถูกขัดจังหวะของดัมเบิลดอร์จากศาสตราจารย์อัมบริดจ์ 
อาจารย์วิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่ คำปราศรัยของเธอมีอะไรบางอย่างที่น่าสงสัย 

เฮอร์ไมโอนี่และเพื่อนๆ ถกเถียงเรื่องนี้กันอยู่พักหนึ่งจนทำให้เธอเกือบลืมไปว่าต้องทำหน้าที่ของพรีเฟ็ค
ที่ต้องนำทางให้เด็กนักเรียนปีหนึ่งในวันแรกของการเปิดภาคเรียน แต่เธอก็ยังคงสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

“ปีหนึ่งทั้งหมด! โปรดมารวมกันทางนี้” เธอตะเบ็งเสียงเด็ดขาดได้ยินทั่วโต๊ะ 
เสียงของเธอกังวานไปจนถึงโต๊ะสลิธีริน มัลฟอยหันมามองแล้วแอบยิ้มอย่างชื่นชม

 ก่อนจะหันไปตวาดเด็กปีหนึ่งบ้านตัวเองอย่างวางอำนาจ เฮอร์ไมโอนี่เองก็เหลือบตา
ไปมองเขาเช่นกัน แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน มัลฟอยชำเลืองมองเธอด้วยหางตาอีกครั้ง

 แล้วหลิ่วตาให้เมื่อเห็นว่าเธอมองอยู่ เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วใส่เขาแล้วรีบหันกลับไปทางเด็กปีหนึ่ง
ร่วมบ้านอีกครั้ง ก่อนจะนำพวกเขาหายไปทางฝั่งหอนอนของกริฟฟินดอร์

....................................................................... 

เฮอร์ไมโอนี่ทิ้งตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนบนเตียงสี่เสาของเธอ เด็กหญิงยังไม่ทันได้ปิดเปลือกตา
สนิทก็มีเสียงกระพือปีกจากหน้าต่างมาทำลายเวลาพักผ่อนของเธอเข้า เธอหันไปมองก็เห็นนกฮูกเหยี่ยว

ท่าทางสง่างามตัวหนึ่งกำลังรออยู่ โชคดีที่เพื่อนร่วมห้องของเธอยังไม่มีใครขึ้นนอน 
เธอจึงรีบเปิดหน้าต่างให้นกฮูกเข้ามา แต่มันเพียงแค่ปลดจดหมายออกให้เธอแล้วบินจากไปทันที 
เฮอร์ไมโอนี่ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจกับนิสัยของนกตัวนี้ แล้วจึงหยิบจดหมายขึ้นมาแกะอ่าน 

อยากคุยด้วย มาพบฉันที่สนามแข่งควิดดิชได้ไหม ฉันจะไม่นอนจนกว่าเธอจะออกมา 

เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจหลังอ่านจบ

“เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน” เธอเคาะไม้กายสิทธิ์เบาๆ ลงบนกระดาษ ข้อความหายวับไปในทันที
เด็กหญิงหันไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วค่อยๆ ย่องออกจากหอนอน พยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น 
แล้วตรงไปยังสนามควิดดิชอย่างรวดเร็ว 

“นึกว่าจะไม่มา” มัลฟอยทักขึ้น เมื่อปรากฏร่างของเด็กหญิงที่เขารอคอยอยู่ เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้ง

“ก็นายเขียนแบบนั้นเป็นใครก็ต้องออกมา”

“เหรอ..คราวก่อนเธอยังปล่อยให้ฉันรอเลยนะ” เขาพูดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนปีสี่ ที่เขาเรียกเธอออกมาปรับ
ความเข้าใจเรื่อง วิกเตอร์ ครัม และของขวัญวันคริสมาสต์ที่เขามอบให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขา

เหมือนจะพูดว่า ‘นั่นสมควรแล้ว’ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาจึงถือโอกาสตอนเธอเงียบ 
ฉวยข้อมือเธอแล้วพาเดินตามเขาไปนั่งตรงมุมที่ลับตาคน

“จะพาฉันไปไหน” “เธออยากถูกคนจับได้ว่าย่องออกมาพบฉันดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เหรอ ยายหัวกระเซิง” 
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ตอบ แต่ยกมือขึ้นจับผมของตัวเองโดยอัตโนมัติ ก็เธอเพิ่งลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความรีบร้อน

 ผมที่เคยยุ่งอยู่แล้ว ก็ยิ่งพากันยุ่งเหยิงหนักเข้าไปอีก มัลฟอยเห็นท่าทางของเธอก็ยิ้มขันๆ เมื่อพาเธอ
ไปนั่งเรียบร้อยเขาก็เริ่มยิงคำถาม

“ขมวดคิ้วใส่ฉันทำไม” เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าไม่เชื่อ “นี่นายเรียกฉันออกมาด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ” 
แล้วทำหน้าเหมือนจะบอกว่าไร้สาระ มัลฟอยก็ขัดขึ้นมาอีก

“ตอบฉันมาก่อน” เขาว่า “ก็นายทำอะไรล่ะ!” เฮอร์ไมโอนี่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงแกมรำคาญ 
คิ้วเขาขมวดเป็นปมแล้วถามต่ออย่างสงสัย

“ฉันทำอะไร??” เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าอ่อนใจก่อนจะตอบ “นายข่มขู่เด็กปีหนึ่ง ใช้อำนาจอย่างน่าเกลียด” มัลฟอยยิ้ม

“โถ่เอ๊ย..นึกว่าเรื่องอะไร” เขาเขยิบเข้ามาชิดเธอก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบ 
“ถ้ามีอำนาจอยู่ในมือแล้วไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็ไม่มีความหมายหรอกนะ เกรนเจอร์”

“นายคิดแบบนี้ได้ยังไง” เธอแย้ง “เห็นทีเราคงจะมองการใช้ประโยชน์จากอำนาจต่างกันมากนะ มัลฟอย”

“ระวังศาสตราจารย์อัมบริดจ์ให้ดี เกรนเจอร์” เขาเปลี่ยนเรื่องพูด สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เฮอร์ไมโอนี่มอง
หน้าเขาอย่างตกใจ

“นายรู้อะไร?” มัลฟอยเอานิ้วชี้แตะลงไปบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ

“ไม่ต้องถาม ฉันเตือนเธอได้แค่นี้” เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าไม่เข้าใจ

“นายรู้อะไรมา ทำไมไม่บอกฉันตรงๆ” มัลฟอยมองตาเธอแล้วถอนใจหนัก

“คนฉลาดอย่างเธอน่าจะเข้าใจนะ” เขาหยุดพูด เฮอร์ไมโอนี่ยังคงมองหน้าเขาอย่างรอคอยคำตอบ

“เธอมีวิถีทางของเธอ ฉันก็มีของฉัน เราต่างก็มีหน้าที่ต่างกัน...” เขาหยุดเว้นจังหวะ รอดูปฏิกิริยาของเธอ 
“เธอเข้าใจความหมายใช่มั๊ย?” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าช้าๆ เธอเม้มริมฝีปากแน่น สีหน้าเริ่มเศร้าสลด

“แค่ฉันมาเตือนเธอแค่นี้ก็ผิดมากแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ก้มหน้าลงมองพื้น มือประสานกันแน่น รู้สึกหายใจติดขัด

“แต่ที่ฉันทำ เพราะฉันเป็นห่วงเธอ..เธอเท่านั้น..เข้าใจใช่ไหม ยายเลือดสีโคลน” เฮอร์ไมโอนี่หลับตา 
พยายามสะกดอารมณ์ตัวเอง ทั้งสองนิ่งงันอยู่เป็นครู่ ปล่อยให้เสียงของความเงียบค่อยๆ แผ่กระจายเข้า
มาครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณนั้น มัลฟอยเอื้อมมือไปกุมมือเฮอร์ไมโอนี่แน่น เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา
 มีน้ำตารื้นอยู่เต็มขอบตา

“ทำไม....” เธอครางออกมาเสียงแหบพร่าเสียจนแทบจะไม่ได้ยินเสียง มัลฟอยดึงเธอเข้ามากอดทันที 
เขาเองก็พยายามสะกดกั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ที่อก ไม่ให้มันท่วมท้นออกมา

“ฉันเป็นห่วงเธอมากเหลือเกิน...” มัลฟอยกระซิบข้างหูเฮอร์ไมโอนี่เสียงแผ่ว

“ทำไม....” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงพร่ำพูดคำเดิมด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเช่นเดิม เธอรู้สึกคอแห้งผาก 
จนแทบจะไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้อีก มัลฟอยยิ่งกอดเธอแนบแน่นขึ้น

“ทำไมต้องเป็นเธอ...ทำไมต้องเป็นเรา...มัลฟอย..”

คำพูดพรั่งพรูออกมาจากปากเธออย่างห้ามไม่ได้ ถึงตอนนี้เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถห้ามน้ำตาที่เอ่อ
ท้นอยู่เต็มอกไม่ให้ไหลออกมาได้อีกแล้ว เธอร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น ท่าทางเก่งกาจเข้มแข็ง

ที่แสดงออกมาอยู่เสมอไม่เหลือให้เห็นอีกต่อไป เธอกอดมัลฟอยแน่น สะอึกสะอื้นจนตัวโยน 
เด็กชายซุกหน้าลงบนผมฟูฟ่องยุ่งเหยิงนั้น เขาซุกอยู่แบบนั้น นิ่งนาน ก่อนจะคลายวงแขนออกแล้ว

บรรจงจูบอีกฝ่ายอย่างโหยหา ทั้งสองปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปราวกับต้องการให้โลกหยุดหมุน
 แต่แล้วก็มีวัตถุเย็นๆ มาแตะถูกข้อเท้าของเฮอร์ไมโอนี่ เธอสะดุ้งเฮือกจนฟันของเธอแทบจะกระทบถูก
ลิ้นของมัลฟอยเข้า เด็กหญิงหันขวับไปมองที่มา

“ครุกแชงก์!” เฮอร์ไมโอนี่อุทานอย่างโล่งอก เมื่อเห็นแมวขนสีส้มของเธอยืนเอียงคอมองทั้งสองอยู่

“ทำฉันใจหายหมด นึกว่าคุณนายนอร์ริสซะอีก” ว่าแล้วเธอก็อุ้มครุกแชงก์ขึ้นมาวางบนตัก
 พลางลูบหัวลูบหูมันเบาๆ มันครางเหมียวอย่างพอใจ เธอเหลือบตาไปมองมัลฟอยอย่างเก้อๆ เขาส่ายศีรษะ

“มาทำลายบรรยากาศอีกแล้วเจ้าตัวยุ่ง” พลางทำหน้าเหมือนพร้อมที่จะสาปให้มันกลายเป็นพรมเช็ดเท้า
เสียเดี๋ยวนั้น เฮอร์ไมโอนี่หันมายิ้มเศร้าๆ ให้เขา

“ฉันขอโทษ” เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เขาก็รีบพูด

“ไม่ใช่ความผิดของเธอ..เกรนเจอร์..ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอทั้งนั้น”

“มันจะต้องเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหนกัน” เธอพูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเอนตัวลงพิงศีรษะกับ
หน้าอกกว้างของอีกฝ่าย เขายกมือขึ้นโอบไหล่เธออย่างทะนุถนอม แล้วเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า

“คงจะจนกว่าจะถึงวันพระจันทร์เป็นสีน้ำเงิน..”*

เมื่อสิ้นเสียงมัลฟอย เฮอร์ไมโอนี่ก็ค่อยๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
 เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ความทุกข์ใจเกี่ยวกับชะตากรรมที่ทั้งสองกำลังต้องเผชิญค่อยๆ

 ถาโถมเข้ามาในความรู้สึกอย่างไม่ขาดสาย ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่ก็ยกหลังมือ
ขึ้นปาดน้ำตาแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น

“ดึกมากแล้ว ฉันคงต้องกลับหอนอนก่อน” ว่าจบเธอก็ทำท่าจะเดินไปเสียดื้อๆ มัลฟอยจึงรั้งข้อมือเธอไว้
 เขามองตาเธอด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวดกว่าทุกครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่เคยเห็น

“ฉันอยากจะตื่นขึ้นมาตอนเช้า และเห็นเธออยู่ข้างๆ เหมือนเมื่อตอนปิดเทอมจริงๆ เกรนเจอร์” 
เขากล่าวเสียงนุ่มทุ้ม เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เขาอย่างเศร้าสร้อย

“มันเป็นไปไม่ได้หรอก มัลฟอย” เด็กหญิงค่อยๆ คลายมือของเขาออก แล้วผละจากไป
 มัลฟอยยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม เหม่อมองตามหลังเฮอร์ไมโอนี่ที่มีแมวขนสีส้มเดินตามอยู่ข้างๆ 
เขาพึมพำกับตัวเองเหมือนคนละเมอ

“มันต้องมีสักวัน...มันต้องเป็นไปได้..เฮอร์ไมโอนี่...”

....................................................................................


*****3*****


คาบเรียนวิชาปรุงยาของวันเปิดเรียนวันแรกยังคงไม่มีอะไรดีไปกว่าปีก่อนๆ
 สเนปยังคงให้ความอยุติธรรมต่อนักเรียนบ้านอื่นๆ ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

 โดยเฉพาะกับเด็กบ้านกริฟฟินดอร์ เขายังคงทำตัวได้ร้ายกาจกับเด็กๆ ไม่เปลี่ยน น้ำยาที่สเนปให้ปรุง
ในวันนี้นั้น เป็นน้ำยาที่ยากมากและมักจะออกสอบในวิชาพ่อมดระดับสามัญอยู่เสมอ 
หลังจากที่เขาสั่งให้เด็กๆ เริ่มลงมือทำตามคำสั่งบนกระดานดำแล้ว ความโชคร้ายทั้งปวงก็ตกมาอยู่ที่แฮร์รี่ทันที

“พอตเตอร์ นี่มันคืออะไรกัน” เขาถาม

“น้ำยาสันติครับ” แฮร์รี่ตอบอย่างตึงเครียด

“บอกฉันซิ พอตเตอร์ เธออ่านหนังสือออกหรือเปล่า” เขาถามเสียงอ่อนโยน มัลฟอยหัวเราะ
 เฮอร์ไมโอนี่หันขวับไปมองเขาด้วยสายตาขุ่นเขียวทันที มัลฟอยยักไหล่ รอยยิ้มบางๆ
 ยังคงปรากฎอยู่บนใบหน้าของเขาขณะหันกลับไปปรุงยาของตนต่อ

ท้ายชั่วโมง เมื่อเด็กๆ ทยอยกันนำน้ำยาไปส่งที่โต๊ะทำงานของศาสตราจารย์สเนป 
มัลฟอยมองซ้ายขวาอย่างรวดเร็วก่อนจะแทรกตัวไปใกล้เฮอร์ไมโอนี่แล้วแอบกระซิบกับเธอพอให้ได้ยินกันสองคน

“ท่าทางเธอคงต้องสอนหมอนั่นอ่านหนังสือใหม่แล้วหละเกรนเจอร์” เขาพูดแล้วหัวเราะ

“เงียบไปเลยมัลฟอย” เธอทำเสียงดุ

“อย่ามาดุฉันนะ เดี๋ยวจูบโชว์ตรงนี้ซะเลย” เขาพูดล้อๆ กระซิบกระซาบเสียงเบากว่าเดิม เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้ง

“กล้าทำก็ลองสิ!” เธอแกล้งพูดยั่วเขาบ้าง แต่ยังคงถลึงตาใส่เขาอย่างมีโมโห เด็กหญิงรู้ดีว่าถึงอย่าง
ไรมัลฟอยก็ไม่มีวันกล้าจูบเธอต่อหน้าคนเยอะๆ แบบนี้เป็นแน่

“อย่าอยู่ตามลำพังล่ะ ฉันอาจจะไม่ทำแค่จูบอย่างเดียวนะ” เขาพูดเสียงแผ่วทว่าหนักแน่น 
มองเธอด้วยสายตาคมกริบจนเฮอร์ไมโอนี่เผลอหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตอบโต้อะไร

 รอนก็เดินเบียดเข้ามาพอดี มัลฟอยหันไปแสดงสีหน้ารังเกียจใส่เพื่อนคู่หูของเฮอร์ไมโอนี่ก่อน
จะรีบเดินนำเอาน้ำยาไปส่งที่โต๊ะของสเนปอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องไป 
โดยไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเสื้อคลุมของลูกสมุนคนหนึ่งของเขากำลังลุกเป็นไฟ

“เจ้าซีดนั่นมาพูดอะไรกับเธอ” รอนถามพลางบุ้ยใบ้ไปทางมัลฟอยที่เดินลับไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่รีบตอบ

“ก็ไม่มีอะไร เค้าก็มาเยาะเย้ยเรื่องน้ำยาของแฮร์รี่ตามนิสัยน่ะแหละ” รอนเบ้หน้า

”หมอนี่นี่น่ารังเกียจจริงๆ ฉันละสงสัยจัง ว่าจะมีผู้หญิงคนไหนยอมเป็นแฟนกับคนแย่ๆ 
อย่างเจ้านั่น สงสัยต้องเป็นพวกไม่มีสมองแน่ๆ เธอว่ามั๊ย เฮอร์ไมโอนี่” รอนพยักเพยิดถาม 
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ เธอเม้มริมฝีปากแน่น รอนยังคงเซ้าซี้

“เธอว่าไง ฮะ..เฮอร์ไมโอนี่” เด็กหญิงทำสีหน้ารำคาญก่อนจะพูดปัดๆ

“ฉันจะไปรู้เค้าได้ยังไงกันเล่า!” เธอตอบแล้วก้มหน้างุดซ่อนริ้วรอยสีแดงที่ผุดอยู่เต็มใบหน้าของเธอจาก
สายตาสอดรู้สอดเห็นของรอน เขาทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้สนใจซักต่อ เพราะขี้เกียจทะเลาะกับเพื่อน

หญิงของตนอีก รอนหันรีหันขวางมองหาแฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่เห็นได้ที จึงรีบนำน้ำยาไปส่งที่โต๊ะอาจารย์ 
ก่อนจะเดินกลับไปเก็บของแล้วออกไปรอแฮร์รี่ที่หน้าคุกใต้ดินอย่างเร็ว

........................................................... 

วิชาสุดท้ายของการเรียนในวันนี้ของพวกเฮอร์ไมโอนี่คือวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด
 แม้ว่ามัลฟอยจะไม่ได้มาเตือนอะไรเธอก่อน เฮอร์ไมโอนี่ก็คอยระวังตัวเรื่องศาสตราจารย์อัมบริดจ์อยู่แล้ว

 นี่ยิ่งเขามาเตือนแบบนี้ ยิ่งทำให้เธอระวังตัวมากขึ้น หนำซ้ำคาบเรียนแรกกับอัมบริดจ์ก็ยิ่งไม่เป็นที่ประ
ทับใจเข้าไปอีก ที่ร้ายกว่านั้น เพื่อนสนิทของเธอ แฮร์รี่ ยังต้องถูกกักบริเวณกับศาสตราจารย์ร้ายกาจคน
นี้อีกด้วย ทำให้เธอยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า 

เนื่องจากทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับแฮร์รี่ มักเป็นที่สนอกสนใจของคนอื่นๆ เสมอ อาหารเย็นมื้อนี้ของพวก
เขาจึงถูกแวดล้อมไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบอย่างไม่มีความเกรงใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
 ทั้งสามจึงรีบรับประทานอาหาร แล้วกลับไปที่หอนอนโดยเร็วกว่าปกติ 

เมื่อไปถึงหอนอนได้ไม่นานเท่าไรนัก เฮอร์ไมโอนี่ก็สังเกตเห็นว่า เฟร็ดกับจอร์จเริ่มประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์
ใหม่ของพวกเขาอย่างสนุกสนาน แถมเด็กๆ ยังเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องบันเทิงใจอีก ทั้งๆ ที่ในสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ 

สิ่งที่พวกเขาทำนั้นทั้งผิดกฏ ทั้งอันตราย เธออดรนทนไม่ไหวจึงเข้าไปปรามในฐานะของพรีเฟ็ค
 ไม่นานนักการกระทำอันองอาจของเธอก็ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเธอกับสองแฝดเข้า
 เฮอร์ไมโอนี่หงุดหงิดจนถึงขีดสุด เธอหันกลับไปรวบรวมข้าวของๆ เธอที่ยังคงวางอยู่ข้างๆ
 รอนกับแฮร์รี่ แล้วเดินกระแทกส้นเท้าขึ้นไปบนหอนอนของตนทันที 

ในห้องนอนของเธอยังไม่มีเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาเลยแม้แต่คนเดียว เพราะยังเป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่
จะรวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสียอย่างมากกับเรื่องราวกวนใจต่างๆ 

รอบๆ ตัวที่เกิดขึ้นในวันนี้ เธอกำลังจะเตรียมตัวถักไหมพรมให้เอลฟ์ประจำบ้านเพื่อหวังจะให้ช่วยคลายเครียดบ้าง
 ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นนกฮูกเหยี่ยวที่เธอรู้จักเป็นอย่างดีกำลังรอเธออยู่ก่อนแล้ว

 เด็กหญิงเปิดหน้าต่างให้มันเข้ามา แต่คราวนี้ต่างจากทุกครั้ง เพราะหลังจากปลดจดหมายออกให้เธอแล้ว
 เจ้านกฮูกไม่ได้บินจากไปเหมือนเคย มันเชิดหน้านิดๆ แล้วยืนอย่างไว้เชิงอยู่ที่ขอบหน้าต่างห้อง 
เฮอร์ไมโอนี่เอียงคอมองมัน ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน 

“พอจะมีเวลาออกมาพบฉันหรือเปล่า เธอนัดเวลาและสถานที่มาได้เลย ฉันสั่งนกฮูกของฉันให้อยู่
รอคำตอบจากเธอด้วยแล้ว” 

เมื่ออ่านข้อความจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็นั่งนิ่งชั่งใจอยู่พักหนึ่ง พอนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่เจอกันของเขาก็หน้าแดง 
เธอจึงรีบเขียนตอบกลับไป 

“คิดจะทำอะไรคนเจ้าเล่ห์? ฉันไม่มีวันยอมอยู่กับคนอันตรายอย่างนายตามลำพังหรอก!” 

เธอยิ้มก่อนจะผูกจดหมายเข้ากับนกฮูกเหยี่ยวตัวสวยของเขา มันโผบินออกไปทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่ผูกเสร็จ 

เด็กหญิงเพิ่งจะเริ่มลงมือถักไหมพรมต่อได้ยังไม่ถึงหนึ่งแถว ผู้ส่งสาสน์ของมัลฟอยก็ร่อนลงมาบน
ที่นอนของเธออีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้ารำคาญอยู่ในที แต่ก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มไว้ได้
 เธอรีบแกะจดหมายออกอ่าน

“แน่ใจหรือว่าไม่อยากอยู่กับฉันตามลำพัง?? อย่ามาเสียดายทีหลังนะ” 

เฮอร์ไมโอนี่หัวเราะ เธอเขียนตอบกลับไปทันทีอย่างไม่ต้องคิดมากอีก 

“ใครกันแน่ที่เสียดาย?” 

เจ้านกฮูกกระพือปีกออกไปจากห้องของเด็กหญิงอีกครั้ง และกลับมาใหม่ในเวลาไม่นานนัก 

“ฉันว่าเราคงต้องเสียดายทั้งคู่นั่นแหละ..อย่าปฎิเสธเลย...สาวน้อย...” 

เฮอร์ไมโอนี่ยิ้ม รู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว เธอนึกภาพใบหน้าของเขาขณะเขียนออกทันทีอย่างไม่ยากนัก
  น่าแปลกที่ความหงุดหงิดเมื่อครู่ดูจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง เธอเขียนขยุกขยิกตอบไปอีกครั้งอย่างนึกสนุก 

“แต่ว่าคนที่เสียดายมากกว่าน่ะ คือ นาย” 

นกฮูกเหยี่ยวสะบัดปีกออกไปจากห้องของเธออีกครั้งด้วยท่าทางรำคาญ
 เฮอร์ไมโอนี่มองเจ้านกเจ้าอารมณ์นั้นอย่างขันๆ ที่นิสัยของมันไม่ต่างจากผู้เป็นเจ้าของเสียเท่าไหร่

 สักพักมันก็กลับมาอีก เฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนรออยู่แล้วรีบแกะจดหมายออกอย่างเร็ว
 ดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องบันเทิงใจแค่อย่างเดียวของเธอในวันนี้ 

“ใช่...ฉันยอมรับ....เพราะฉะนั้น ออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากเจอเธอ..อยากจูบเธอ....” 

เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง เธอเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง หลายความรู้สึกถาโถมเข้าใส่เด็กหญิงจนความ
สนุกเมื่อครู่หายวับไปในพริบตา ใจเธออยากจะออกไปหาเขา แต่ก็อาย เพราะกลัวเขาจะหาว่าเธอออก

ไปหาเขาเพราะอยากให้เขาจูบ หัวสมองเธอพาลให้คิดไปถึงปัญหาต่างๆ มากมายที่ทำให้ความสัมพันธ์
ของทั้งสองเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น เด็กหญิงนึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จนนกฮูกร้องเตือน
 เธอสะดุ้งแล้วจึงตัดสินใจจรดปลายปากกาเขียนตอบไป 

“อย่าเลย...มันคงไม่สะดวกสำหรับเรา...” 

เธอละล้าละลังอยู่อีกเป็นพัก หัวใจเต้นรัวเร็วไม่เป็นจังหวะ มือสั่นระริกและเริ่มเย็น
 ไม่แน่ใจว่าคำตอบนี้จะส่งผลอะไรกลับมา เด็กหญิงหลับตาแล้วถอนหายใจหนักๆ

 ก่อนจะผูกจดหมายเข้ากับขาของนกฮูกตัวเดิมแล้วปล่อยให้มันทะยานออกไป 
ไม่นานนัก มันก็บินกลับมาพร้อมจดหมายที่ติดอยู่กับขาของมัน เฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมือ

ไปแกะจดหมายนั้นออกมา เธอยืนมองมันนิ่งใจเต้นตึกตัก รู้สึกกลัวที่จะเปิดออกอ่าน
 แต่ในที่สุด เธอก็คลี่มันออก ข้อความในจดหมายทำให้เด็กหญิงรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบ 

“ไม่อยากพบฉันก็ไม่เป็นไร..ฉันก็แค่อยากพบเธอให้บ่อยที่สุดเท่าที่ยังมีโอกาส
 ก่อนที่มันจะเป็นเรื่องที่ยากมากกว่านี้สำหรับพวกเรา” 

เฮอร์ไมโอนี่ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เธอกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บระบม
 เด็กหญิงอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่เท่าที่ทำได้ก็เพียงแค่พยายามกลืนก้อนสะ

อื้นที่ท่วมท้นอยู่ในทรวงอก หัวใจของเธอร่ำร้องให้เธอวิ่งออกไปหาเขาเสียเดี๋ยวนั้น
 แต่เธอจะทำได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเพื่อนๆ ของเธอยังนั่งกันอยู่เต็มห้องนั่งเล่นแบบนั้น

 เธอเองก็เพิ่งจะหนีพวกเขาเข้ามาไม่นานนี่เอง ด้วยเรื่องที่ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่เธออีกด้วย 
แล้วจู่ๆ จะให้เธอเดินพรวดพราดออกไปโดยไม่เป็นที่สังเกตได้อย่างไรกัน เด็กหญิงรู้สึกมือชา 

ใจสั่น เธอทั้งสับสน ทั้งเจ็บปวด หยาดน้ำตาใสๆ เริ่มร่วงหล่นลงมาอาบแก้มของเธออย่างช้าๆ
 เธอไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดๆ มาเขียนตอบเขาได้ หัวสมองของเธอมึนตื้อ 

ความรู้สึกผิดรุมล้อมเข้ามาหาเธออย่างไม่หยุดยั้ง เด็กหญิงตัดสินใจหยิบปากกาขนนกขึ้นมา
 แล้วขีดเขียนข้อความสั้นๆ ตามความรู้สึกของเธอตอบเขาไป 

“ฉันขอโทษ...” 

นั่นคือสิ่งเดียวที่เธอพอจะนึกออก เฮอร์ไมโอนี่ส่งนกฮูกให้บินออกไป แล้วจึงค่อยๆ 
เดินไปปิดหน้าต่างด้วยอาการเลื่อนลอย เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ตอบอะไรกลับมาอีกแล้ว

 ความเหงาเริ่มเข้ามาเกาะกุมหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอทันทีอย่างเงียบเชียบ เธอเดินกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง 
เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างเงื่อนหงอย ปล่อยความคิดต่างๆ ให้วนเวียนอยู่ในหัวสมอง

 แล้วจึงหันไปหยิบไหมพรมที่อยู่ข้างๆ ตัว เริ่มร่ายมนตร์ถักมันช้าๆ ด้วยอาการของคนสิ้นหวัง 
น้ำตายังคงคลอตา ตอนนี้หัวใจของเธอกำลังวาดภาพใบหน้าของมัลฟอยตอนที่อ่านจดหมาย
 เธอเดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้ เขาจะทำหน้าอย่างไร

...................................................................... 

มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมาจากจดหมายฉบับสุดท้ายของเฮอร์ไมโอนี่ รู้สึกร้อนวูบบริเวณช่องท้อง
 ริมฝีปากแห้งผาก เขาไม่ได้ขว้างมันทิ้งอย่างหัวเสียเหมือนอย่างที่เขาเคยทำทุกครั้งที่มีเรื่องขัดใจเขา

 เด็กชายวางจดหมายของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนโต๊ะ มองมันด้วยดวงตาละห้อย
 ลูบคลำตัวหนังสือราวกับต้องการจะสัมผัสถึงผู้ที่ประดิษฐ์ตัวอักษรเหล่านั้นผ่านข้อความนั้นเสียให้ได้

 เขาเข้าใจดีว่าเธอเขียนมันด้วยความรู้สึกเช่นไร มัลฟอยถอนหายใจหนัก ก่อนจะเคาะไม้กายสิทธิ์
ลงบนกระดาษแผ่นเล็กๆ นั่นเพื่อทำลายตัวอักษรบนจดหมายนั้นอย่างฝืนเต็มทน

“ทำไมเธอต้องคอยขอโทษฉันอยู่เรื่อย..ยายเด็กโง่..” มัลฟอยคราง เขาหันไปตบศีรษะนกฮูกของเขาเบาๆ 
ก่อนจะสั่งให้มันกลับไปยังโรงนกฮูกแล้วเดินกลับไปที่เตียงสี่เสาของเขา ทิ้งตัวลงนอน

 แล้วเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ มัลฟอยกัดกรามตัวเองแน่น
พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ทำอะไรโง่ๆ อย่างที่เขาอยากทำออกไป เขาปฎิเสธตัวเอง

ไม่ได้ว่าเขาอยากจะออกไปหาเฮอร์ไมโอนี่ถึงหอนอนเสียเดี๋ยวนี้ เดาได้ไม่ยากว่าเธอกำลังร้องไห้ 
และเขาอยากจะอยู่เคียงข้างคอยเช็ดน้ำตาให้ในยามที่เธอเศร้าเสมอ แต่เขาก็ทำไม่ได้ นั่นทำให้เขาเจ็บใจตัวเองยิ่งนัก

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเกรนเจอร์..”

มัลฟอยพึมพำกับตัวเองเบาๆ หัวใจที่เคยด้านชาของเขากำลังร้องไห้ ความเจ็บปวดบาดหัวใจ
นั้นพาลให้เขานึกเคียดแค้นเพื่อนทั้งสองของเธอ ที่เป็นเหมือนต้นเหตุที่ทำให้เขากับเฮอร์ไมโอนี่ต้อง

เจ็บปวดและหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ในความคิดของเขา มัลฟอยพยายามข่มตาให้หลับ
 แต่คืนนี้ก็คงเป็นอีกคืนที่เขาคิดถึงเด็กหญิงผมสีน้ำตาลฟูฟ่องคนนั้นจนนอนไม่หลับอีกเหมือนเคย

 เช้าวันรุ่งขึ้นที่เขาต้องเห็นเธออยู่ท่ามกลางศัตรูของเขา ก็ยังคงเป็นวันที่สุดแสนทรมานของเขาต่อ

ไปอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง...

. . . . . . . . . . . . . . . . . 


*****4*****



หลังจากวันนั้นทั้งสองก็ไม่มีโอกาสได้พบปะหรือพูดจากันอีกเลย ถึงแม้จะได้เข้าร่วมประชุมพรีเฟ็คด้วย
กันบ้างเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดคุยอะไรกันเป็นการส่วนตัวได้ นั่นได้สร้างความอึดอัดใจ

และหงุดหงิดให้กับมัลฟอยเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เขาพยายามก่อเรื่องอะไรก็ตามเพื่อให้ได้มีโอกาสได้
พูดคุยกับเฮอร์ไมโอนี่บ้างนั้น มันกลับทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดูจะเหินห่างไปมากกว่าที่ควร 

เหตุการณ์ดูจะเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อมัลฟอยหาเรื่องแฮร์รี่ในชั่วโมงเรียนของศาสตราจารย์กรับบลี-แพลงก์ 
หนำซ้ำยังพูดเป็นนัยๆ ว่ารู้เรื่องของแฮกริดอีก ไหนจะความจริงที่พ่อของเขาเป็นผู้เสพความตายนั้น
 ดูจะทำให้สถานการณ์ของทั้งสองไม่คืบหน้าเลยสักนิด 

นั่นยังไม่พออีก เมื่อมัลฟอยเองกลับเป็นฝ่ายทำให้เรื่องแย่ลงเรื่อยๆ จากความพยายามผิดๆ ของเขา
 หลังจากข่าวที่รอนได้รับคัดเลือกให้เป็นคีปเปอร์คนใหม่ของทีมกริฟฟินดอร์เริ่มกระจายออกไป

 แถมการฝึกซ้อมครั้งแรกก็ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดีเอาเสียเลย ประกอบกับมัลฟอยและพรรคพวกคอยจ้อง
จะเยาะเย้ยถากถางรอนอย่างเห็นได้ชัด เรื่องเหล่านี้รบกวนจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่อย่างมาก เพราะนอกจากเธอ

จะเสียความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อมัลฟอยแล้ว เธอยังต้องคอยปลอบโยนเพื่อนของเธอซึ่งทุกครั้งมักจะลงเอยด้วย
การทะเลาะกันหรือการออกอารมณ์ร้ายๆ ใส่เธอของแฮร์รี่อีกด้วย 

เฮอร์ไมโอนี่เริ่มกลับมามีความรู้สึกว่ามัลฟอยน่ารังเกียจอีกครั้งเป็นครั้งแรกหลังจากที่พวกเขามีวันเวลาดีๆ 
ร่วมกัน เมื่อมัลฟอยทำตัวเป็นพวกเดียวกับอัมบริดจ์ เขารายงานเรื่องที่เคยถูกบัคบีคทำร้ายตอนปีสาม

ในคาบเรียนของแฮกริดให้อัมบริดจ์ฟังตอนที่หล่อนไปประเมินการสอนของศาสตราจารย์กรับบลี-แพลงก์
 เฮอร์ไมโอนี่ส่งสายตาขุ่นเขียวไปให้เขาอย่างไม่ปิดบัง แต่มัลฟอยกลับแสยะยิ้มกลับมาที่เธออย่างไม่คาดหมาย
 เด็กหญิงรู้สึกเสียใจและเริ่มมีความคิดที่จะยุติความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้ตั้งแต่วินาทีนั้น..

.................................................................................. 

เมื่อเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอันตรายได้ย่างกรายเข้ามาใกล้ตัวอย่างเงียบๆ โดยที่พวกเด็กๆ 
ไม่ได้รับความรู้ที่จะสามารถช่วยป้องกันตัวเองได้จากการเรียนวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดใน

ชั้นเรียนของศาสตราจารย์อัมบริดจ์ เฮอร์ไมโอนี่เริ่มวางแผนที่จะหาทางเรียนรู้กันเอง เธอพยายามเกลี้ยกล่อม
จนแฮร์รี่ยอมเป็นผู้สอนคาถาป้องกันศาสตร์มืดให้ได้ในที่สุด เธอรวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนหนึ่ง

 และเริ่มนัดแนะกันไปประชุมลับในเวลาต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นวันหยุดที่พวกเขาจะได้ไปฮอกส์มี้ด 
- - และแน่นอน - - ปลอดภัยจากสายตาตรวจจับความผิดที่มีมาถึงทุกความเคลื่อนไหวในฮอกวอตส์จาก
ศาสตราจารย์ร่างอ้วนป้อมคนนั้น 

เห็นได้ชัดว่าเฮอร์ไมโอนี่มีเรื่องยุ่งมากมายเกินไปที่จะต้องคิดและต้องทำ จนทำให้เธอลืมเรื่องของมัลฟอย
ไปเสียสนิท กระทั่งถึงวันที่พวกเขานัดหมายกันไปที่ฮอกส์มี้ด แล้วต้องหยุดให้ฟิลช์ ภารโรงประจำโรงเรียน

ตรวจสอบคนที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องให้ออกไปเที่ยวได้อย่างถี่ถ้วน แต่ดูเหมือนเขาจะตรวจแฮร์รี่ละเอียด
มากกว่าคนอื่นอย่างผิดปกติ แถมยังทำจมูกฟุดฟิดดมหากลิ่นอะไรบางอย่างจากตัวแฮร์รี่ แฮร์รี่จึงเล่าให้

เพื่อนทั้งสองฟังว่า วันที่ไปส่งจดหมายถึงซีเรียสนั้น ฟิลช์เกิดพรวดพราดเข้ามาแล้วขอดูจดหมาย
 แฮร์รี่คิดว่าอาจจะเป็นมัลฟอยที่เป็นคนบอกฟิลช์ว่าเขาจะสั่งซื้อระเบิดเหม็น

“มัลฟอยเหรอ...” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างแคลงใจ เธอเริ่มนึกถึงเรื่องของเขาขึ้นมาได้ ตลอดเวลาหลายสัปดาห์
ที่เธอและเขาไม่ได้พูดจากันเหมือนเคย ไม่แม้แต่จะสบตากันด้วยสายตาที่เธอและเขาเท่านั้นที่จะรู้ความ

หมายเหมือนเก่า ทำให้ทั้งสองดูห่างเหินกันมาก แล้วโดยนิสัยแล้ว มันไม่แปลกหรอกที่มัลฟอยจะทำอะไรร้ายๆ
 เพื่อเป็นการชดเชยความเครียดที่ไม่ได้พบปะพูดคุยกับเธอเหมือนอย่างเดิม เขาตัดสินใจลงโทษคนอื่นต่อ

ความผิดหวังของตนเองตามอำเภอใจอย่างร้ายกาจมาตลอด เพียงเพราะทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเขาคิด 
เธอรู้ว่าบางครั้งเขาทำไปเพราะต้องการจะได้เข้าใกล้เธอเท่านั้น แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเธอเองก็

มีเรื่องที่จะต้องทำมากมายแบบนี้ แล้วเขายังจะเพียรทำตัวแย่ๆ หาเรื่องพวกเธอได้อย่างน่ารังเกียจทุกครั้งที่มีโอกาส
 เฮอร์ไมโอนี่ลอบถอนใจเบาๆ เธอนิ่งเงียบคิดอะไรไปตลอดทาง 

และแล้วพวกของแฮร์รี่ก็จัดแจงหาสถานที่เรียนการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดกันได้จนสำเร็จ
 ถึงแม้จะมีกฎใหม่บ้าๆ ของอัมบริดจ์ออกมาอีกกฎ ทำให้พวกเขารวมตัวกันได้อย่างยากเย็นขึ้นก็ตาม

 แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถหลบเลี่ยงสายตาที่บ่งบอกถึงความวิกลจริตของหล่อนไปได้ เด็กๆ
 ตั้งชื่อชมรมลับๆ นี้ว่า กองทัพดัมเบิลดอร์ และได้สถานที่เรียนที่ได้รับคำแนะนำมาจากด๊อบบี้ - -
 เอลฟ์ประจำบ้านที่แฮร์รี่เคยช่วยเหลือไว้.....ห้องต้องประสงค์.........

.............................................................................. 

ความเหินห่างที่เฮอร์ไมโอนี่หยิบยื่นให้มัลฟอยทีละน้อยนั้นได้หมักบ่มเป็นความแค้นลึกๆ ที่ก่อตัวขึ้นเงียบๆ 
ในจิตใจของเขาให้เริ่มก้าวร้าวเพิ่มขึ้นช้าๆ อย่างช่วยไม่ได้ การแข่งขันควิดดิชนัดที่กริฟฟินดอร์ต้องลงสนาม

กับสลิธีรินกลายเป็นจุดแตกหักในที่สุด มัลฟอยระเบิดอารมณ์โกรธที่ถูกอัดแน่นมานานออกมาอย่างร้ายกาจ
และพาลอย่างเห็นได้ชัด เขาเยาะหยันดูถูกรอน และครอบครัววิสลีย์ รวมทั้งแฮร์รี่ได้อย่างเลวร้ายที่สุดเท่าที่
เขาเคยทำมา นั่นเป็นผลให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรงโดยที่ทุกคนไม่คาดฝัน 

แฮร์รี่และจอร์จพุ่งกำปั้นเข้าใส่มัลฟอยโดยที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว เกิดการตะลุมบอนกันขึ้นท่ามกลางเสียง
หวีดร้องของผู้ชมรอบสนาม เมื่อแยกทุกคนออกจากกันได้ ก็พบว่ามัลฟอยนั้นลงไปนอนตัวงออยู่กับพื้น

 จมูกมีเลือดออก แฮร์รี่กับจอร์จถูกเรียกตัวไปที่ห้องของศาสตราจารย์มักกอลนากัลทันที ขณะที่แครบและ
กอยล์ช่วยกันหามมัลฟอยไปห้องพยาบาล มัลฟอยเงยหน้าอันสะบักสะบอมไปมองเฮอร์ไมโอนี่ที่ยังดูตก

ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อเธอสังเกตเห็นว่าเขามองเธออยู่ สิ่งที่มัลฟอยพบจากใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น
 กลับเป็นเพียงสายตาที่สุดแสนจะเย็นชาของเธอเท่านั้น 

“ออกไป!” มัลฟอยแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราดไล่สมุนของเขา อารมณ์ของเด็กชายตอนนี้พลุ่งพล่านจนถึง
ขีดสุดเพราะสายตาของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อครู่ ลูกน้องทั้งสองของเขารีบลนลานออกจากห้องพยาบาล
ไปด้วยความกลัว มาดามพอมฟรีย์เดินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจตรงมาที่เขา

“นี่ห้องพยาบาลนะ มิสเตอร์มัลฟอย...” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิพลางวางยาขวดเล็กๆ ลงบนโต๊ะ
ข้างเตียงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปราณีกว่าเดิม

“สิ่งที่เธอทำลงไปน่ะ มันแย่มากเลยนะ” ว่าพลางหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเอื้อมมือไปจะเช็ดเลือดให้เขา
 แต่มัลฟอยกลับสะบัดหน้าหนีด้วยอารมณ์ครุกรุ่น..เขาไม่สามารถลืมสายตาของเฮอร์ไมโอนี่เมื่อครู่ไปได้
 มาดามพอมฟรีย์ถอนหายใจหน่ายๆ กับท่าทางแข็งกระด้างของเขา

“เธอโตเป็นหนุ่มแล้วนะมิสเตอร์มัลฟอย...ไม่ใช่เด็กๆ ที่จะมาประชดประชันกันแบบนี้..” มัลฟอยขมวดคิ้ว
แล้วหันกลับมามองหน้ามาดามพอมฟรีย์ด้วยสายตาก้าวร้าวราวกับต้องการจะบอกว่า เธอจะไปรู้อะไร 
มาดามจุ๊ปาก เธอยิ้มแล้วพูดเรียบๆ

“ฉันดูแลห้องพยาบาลของฉันอย่างดีพอที่จะรู้ว่า มีนักเรียนคนไหนแอบย่องออกมาเยี่ยมกันบ้างในเวลาที่
พวกเขาคิดว่าไม่มีใครเห็น” มัลฟอยเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เขานึกฉุนโกรธและรู้สึกเสียหน้าที่มีคนมา
แอบเห็นเรื่องส่วนตัวของเขา

“นี่แน่ะ...ฉันจะบอกอะไรให้พ่อหนุ่มน้อย” เธอพูดต่ออย่างใจดี “เธอน่ะ ยังเด็กนัก ไม่รู้หรอกว่าการแสดง
ความรักที่ถูกต้องน่ะเป็นยังไง” มัลฟอยหน้าแดงขึ้นมาทันที

“ใช่...เธอน่ะเป็นหนุ่มแล้วก็จริง..แต่ก็ยังเด็กเกินไปนักสำหรับเรื่องของความรัก..” มาดามพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้น
ได้ว่าเธอเพิ่งจะบอกคนไข้ของเธอไปเมื่อครู่นี้เองว่าเขาโตแล้ว เธอยิ้มเมื่อเห็นอาการเก้อๆ ของเขา

“เธอไม่ควรจะใช้แต่อารมณ์นะ..การที่เธอทำแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้อะไรๆ ดีขึ้นหรอกนะ มิสเตอร์มัลฟอย..”
 ตอนนี้เขายอมอยู่นิ่งๆ ให้มาดามทำแผลให้แล้ว เด็กชายนั่งหน้าแดงตั้งใจฟังสิ่งที่มาดามจะพูดต่อไปอย่างใจเย็นขึ้น

“เธอควรใช้วิธีที่อ่อนโยน และแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า เขามีความสำคัญกับเธอมากแค่ไหน” มัลฟอยก้มหน้านิ่ง
เขาเบะปากนิดๆ เพราะรู้ตัวดีว่าเขาทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ อาจารย์ประจำห้องพยาบาลของเขาวางผ้าขนหนูลง 
แล้วหยิบขวดยาส่งให้เขา

“แต่บางทีการกระทำอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ ถ้าเธอไม่เปิดปากพูดออกมาด้วย” เด็กชายรับขวดยาจาก
เธอมาดื่มแล้วเบ้หน้าเพราะรสชาติของยาถ้วยนั้น

“มันไม่ยากเกินไปหรอก..เชื่อฉัน..” เธอรับขวดยาเปล่าๆ คืนมาจากเขาแล้วยิ้ม

“เอาละ...ตอนนี้เธอนอนพักผ่อนไปก่อนนะ ฉันเชื่อว่าอีกเดี๋ยวคงจะมีคนแวะมาเยี่ยมเธอ” มาดามพอมฟรีย์
หลิ่วตาให้เขา เธอยิ้มแล้วกลับหลังหันเดินไปที่โต๊ะทำงาน

มัลฟอยนั่งนิ่งสักพัก ทบทวนสิ่งที่มาดามพูด แล้วจึงค่อยๆ เอนตัวลงนอน เขานอนลงได้ไม่ทันไรก็
ได้ยินเสียงคนคุยกันดังแว่วมา

“มีอะไรให้ช่วยจ๊ะ มิสเกรนเจอร์” มาดามทัก เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างรวดเร็วราวกับได้เตรียมคำพูดมาอย่างดีแล้ว

“หนูมาขอยาแก้ปวดศีรษะน่ะค่ะ” มาดามยิ้ม เธอลุกขึ้นไปหยิบขวดยาให้เฮอร์ไมโอนี่แล้วพูด

“ถ้าเธอไม่รีบไปไหน ฉันฝากห้องพยาบาลสักครู่ได้ไหมจ๊ะ เผอิญต้องไปรับหนังสือที่สั่งไว้จากห้องสมุดน่ะจ้ะ”

“ได้ค่ะมาดาม” เฮอร์ไมโอนี่รับคำ พอคล้อยหลังมาดามพอมฟรีย์ไปได้ชั่วครู่ เธอก็เดินไปที่เตียงของมัลฟอยทันที 
พอเขาเห็นเธอเข้าก็ยิ้มอย่างดีใจ

“นึกแล้วว่าเธอต้องมา” แต่เด็กหญิงกลับทำหน้าเรียบเฉย

“อย่าสำคัญตนผิด..มัลฟอย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเย็นชา

“นายทำแบบนี้ทำไม!” ประโยคหลังเธอพูดด้วยอารมณ์โกรธอย่างเห็นได้ชัด มัลฟอยสามารถจับ
ความรู้สึกของเธอจากน้ำเสียงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เขามองหน้าเธอนิ่งไม่ตอบว่าอะไร เด็กชายรู้สึก
ผิดหวังที่เธอมาถามคำถามแบบนี้กับเขาแทนที่จะถามว่าเขาเจ็บมากไหม

“อ้อ..บอกก่อนเลยนะว่าคราวนี้ฉันไม่ได้มาเยี่ยม..” เฮอร์ไมโอนี่หยุดเว้นจังหวะ เธอจ้องหน้าเขาด้วยสาย
ตาที่มัลฟอยไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจากใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่

“แต่จะมาบอกว่าสิ่งที่นายทำน่ะ มันมากเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และฉันจะไม่
มีวันให้อภัยนายเลยถ้าเพื่อนๆ ของฉันต้องเดือดร้อนเพราะการกระทำงี่เง่าของนายในครั้งนี้!”
 เธอพูดทั้งหมดอย่างรวดเร็วและเน้นย้ำบางคำพูดอย่างจงใจ มัลฟอยมองหน้าเธอด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวและเจ็บปวด

“ฉันเกลียดเพื่อนเธอ! นั่นคือความจริง และฉันไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้ทำแบบนั้นลงไป!”
 เขาคำรามตอบอย่างโกรธจัด

“ดี!” เฮอร์ไมโอนี่ตะเบ็งเสียงอย่างมีอารมณ์

“ดี!!!”

เด็กหญิงกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ มือไม้สั่นด้วยความโกรธระคนเสียใจ เธอหอบหายใจด้วยความโมโห
 ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่งนานโดยปราศจากคำพูดใดๆ ทั้งสิ้น บรรยากาศตึงเครียดจนถึงขีดสุด

 แต่ทั้งสองก็ยังคงไม่ปริปากเอ่ยคำพูดใดๆ ต่อกันทั้งนั้น พวกเขายังคงประสานสายตาราวกับมอ
งคนแปลกหน้าด้วยกันทั้งคู่ 

เสียงฝีเท้าของมาดามพอมฟรีย์ดังใกล้เข้ามา เป็นสัญญาณบอกว่าเธอต้องออกไปจากที่นั่นแล้ว 
เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก แล้วตัดสินใจหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม ค่อยๆ บรรจง

วางลงบนเตียงของเขาช้าๆ ด้วยมือที่ยังคงสั่นระริก ทันทีที่เธอปล่อยของสิ่งนั้นให้หลุดออกจากมือ
 เธอก็รู้สึกเหมือนหัวใจของเธอได้หลุดลอยออกไปด้วย เด็กหญิงรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอแห้งผาก 

ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาท่วมท้นในจิตใจกลั่นออกมาเป็นน้ำตาหยาดใส เธอกลับหลังหันแล้วเดิน
อย่างรวดเร็วออกมาจากเตียงของมัลฟอย พอดีกับที่มาดามพอมฟรีย์เดินมาถึง เด็กหญิงก้มหน้าแล้วรีบ

เดินเลี่ยงออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย มาดามพอมฟรีย์ใจเสียกับอาการของเฮอร์ไมโอนี่ เธอหันขวับไป
มองที่เตียงของมัลฟอย ก็เห็นเขานั่งชันเข่าเอามือกุมศีรษะของตัวเองไว้ เขากัดกรามตัวเองแน่นจนเป็นสันนูน

 โยกตัวไปมานิดๆ อย่างคนฟุ้งซ่าน ในมือข้างหนึ่งของเขากำสร้อยทองคำขาวที่มีจี้รูปตัว H ประดับอยู่แน่น
 เธอสาบานว่าภายใต้มืออันสั่นเทิ้มของมัลฟอยนั้น สิ่งที่เธอเห็นอีกอย่างคือน้ำตา... 

“มันจบแล้ว...ผมสูญเสียเธอไปแล้วครับมาดาม” เขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงที่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
จากเด็กชายผู้เย่อหยิ่งคนนี้

มาดามพอมฟรีย์ถอนหายใจ แล้วเดินอย่างเงียบเชียบไปยืนที่ริมหน้าต่างห้องพยาบาล 
เธอมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาเศร้าสร้อยและหนักใจ สัญญาณบอกเหตุบางอย่างผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก

 เธอนึกไม่ออกเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่เธอมั่นใจว่า เด็กชายผิวสีซีดคนนี้ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธี
การที่ร้ายกาจและไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน...



. . . . . . . . . . . . . .



*****5*****



เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ นอนก่ายหน้าผากลืมตาโพลงอยู่ท่ามกลางความมืดในหอนอนหญิงของเธอ 
ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนนั้น เธอก็ไม่เคยได้เฉียดกายเข้าไปใกล้มัลฟอยอีก จะมีใครรู้บ้างเล่าว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
 เธอเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อย แต่อีกฝ่ายกลับตอบสนองเธอด้วยการทำตัวเกเรมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม 
และคงมีแต่เฮอร์ไมโอนี่เท่านั้นที่รู้อยู่เต็มหัวใจว่าสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้น มีต้นเหตุมาจากใคร..


ความร้ายกาจของเขาปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในคาบเรียนวิชาสัตว์วิเศษ เมื่อแฮกริดกลับมาเป็นผู้สอนดังเดิมแล้ว 
แค่การประเมินผลการสอนอันอยุติธรรมและน่ารังเกียจของศาสตราจารย์อัมบริดจ์ก็ทำให้เธอโกรธจนลม

ออกหูแล้ว แต่มัลฟอยก็ยังคอยรบกวนจิตใจของเธอด้วยการเย้ยหยันความทุกข์ของคนสนิทเธออีก 
เท่านั้นยังไม่เลวร้ายพอ ท้ายชั่วโมงเขายังตามมารังควานเธอและเพื่อนๆ อย่างจงใจ ด้วยการดูถูกฝีมือการ

เล่นควิดดิชของรอนพร้อมกับเพลงราชันย์วิสลีย์บ้าๆ ของเขาด้วย ซึ่งถ้าเธอไม่เตือนสติเพื่อนของเธอ
ไม่ให้ไปสนใจคำพูดของมัลฟอยละก็ เป็นอันต้องเกิดเรื่องวิวาทแน่ๆ 

เมื่อนึกทบทวบเรื่องราวต่างๆ ที่เขาทำกับเธอและเพื่อนๆ แล้ว น้ำตาของเธอก็เอ่อล้นออกมาเต็มริมขอบตาอย่างไ
ม่สามารถฉุดรั้งเอาไว้ได้ เฮอร์ไมโอนี่เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นบางเฉียบ พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออก

มาปลุกเพื่อนๆ ของเธอที่กำลังหลับสบายอยู่ในห้องเดียวกันนั้น เด็กหญิงมีเรื่องที่จะต้องคิดต้องทำมากพออยู่แล้ว 
แต่เธอก็ยังต้องมาทนทุกข์ทรมานกับเรื่องที่เธอไม่สามารถบอกใครๆ ได้อีก เฮอร์ไมโอนี่รู้ตัวดีว่าเธอคง

จะไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เป็นแน่ เธอจึงลุกออกจากเตียงให้ค่อยที่สุด แล้วเดินอย่างเงียบเชียบไป
นั่งตรงขอบหน้าต่างใกล้ๆ กับเตียงนอนของเธอ 

เด็กหญิงทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจนึกหวนประหวัดไปถึงวันที่เธอนั่งพิงไหล่กว้าง
เขาที่สนามควิดดิช เมื่อครั้งที่ทั้งสองได้มองดูดาวด้วยกันช่วงต้นเทอมที่เพิ่งผ่านพ้น

 วันที่เธอยังสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากทุกอนูในความมีตัวตนของเขา แต่ขณะนี้เธอได้
แต่เพียงเอนศีรษะลงพิงซบกับขอบหน้าต่างที่เป็นหินอ่อนอันเย็นเยียบ รอบตัวเธอตอนนี้มีแต่ความเย็นเฉียบ

 เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจเบาๆ ดวงตาเหม่อมองออกไปอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ท่ามหลางความเงียบ
สงัดของยามค่ำคืน เธอได้ยินเพียงเสียงของหัวใจของตัวเองเต้นเป็นจังหวะที่ช่างเงียบเหงาและแสนเจ็บปวด 

“ทำไมฉันถึงไม่สามารถลบเธอออกไปจากหัวใจของฉันให้หมดสิ้น แล้วทำเป็นว่าเธอไม่เคยมีตัวตนมา
ก่อนเลยในชีวิตของฉัน...” 

เฮอร์ไมโอนี่พึมพำกับตัวเองเบาๆ เด็กหญิงค่อยๆ ชันเข่าขึ้นมาแล้วโอบกอดมันไว้ด้วยแขนอันแบบบางทั้งสองข้าง
 เธอซุกหน้าลงซบกับท่อนแขนของตัวเองแล้วปล่อยให้น้ำตาค่อยรินไหลออกมาอย่างเงียบๆ 

“ไม่ยุติธรรมเลย...ทำไมถึงต้องลงโทษฉันแบบนี้ด้วย....” 

เฮอร์ไมโอนี่ครางออกมาค่อยๆ อย่างเจ็บปวด เธอยังคงนั่งอยู่ในท่านั้น นิ่ง..นาน.. ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง

หิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา เป็นสัญญาณบอกว่าวันคริสมาสต์กำลังย่างก้าวเข้ามาเยือนอีกครั้ง 
เด็กหญิงมองหยาดน้ำแข็งสีขาวที่ค่อยๆ ร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า เธอปรายตามองมันอย่างเศร้าสร้อย 
เธอรู้ดีว่า คริสมาสต์ของเธอปีนี้ คงแตกต่างจากปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง.....

.................................................................... 

วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตระหนก แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ผ่านมาได้
อย่างแสนลำบากนั้น แต่เธอก็ไม่เคยลืมที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเธอได้อย่างไม่มีที่ติเช่นเดิม 

วันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ทางโรงเรียนได้เปิดโอกาสให้นักเรียนไปเที่ยวฮอกส์มี้ดเป็นครั้งที่สองของปีนี้
แฮร์รี่มีนัดกับโช - - ซึ่งแน่นอน เขาตื่นเต้นจนแทบจะกลัดกระดุมเสื้อเข้ากับกระดุมของกางเกง!

 ส่วนรอนเป็นอันหมดหวัง แอนเจลิน่า กัปตันทีมควิดดิชผู้มาแทนโอลิเวอร์ วู้ดที่เพิ่งจะจบการศึกษา
ไปเมื่อปีก่อนต้องการให้เขาฝึกอย่างหนักทั้งวัน ทำให้เขาพลาดการไปฮอกส์มี้ดคราวนี้อย่างไม่มีข้อกังขา

 เป็นอันว่าเฮอร์ไมโอนี่อดไปกับเพื่อนทั้งสองของเธออย่างช่วยไม่ได้ แต่เธอซึ่งได้รับจดหมายด่วนเมื่อตอน
เช้าก็ได้นัดแนะกับแฮร์รี่ให้ไปพบเธอที่ร้านไม้กวาดสามอันตอนช่วงเที่ยงแล้ว ส่วนเธอก็คงต้องเดินเที่ยว
คนเดียวเป็นการฆ่าเวลาจนกว่าจะถึงตอนนั้น 

หลังจากที่เด็กๆ แยกย้ายกันออกไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็เดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ กระทั่งเธอไปแวะ
ร้านฮันนี่ดุกส์เมื่อตอนใกล้เวลานัดแล้ว ในร้านยังคงมีเด็กๆ แย่งกันซื้อขนมจนแน่นขนัดเหมือนเดิม
 เฮอร์ไมโอนี่เดินดูขนมไปเรื่อยเปื่อยเป็นการประวิงเวลาที่จะไปพบกับแฮร์รี่ 

“เกรนเจอร์..” 

เสียงคุ้นหูทักขึ้นเบาๆ จากทางด้านหลัง ไม่ต้องใช้เวลาในการคาดเดาเธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นใคร 
เด็กหญิงกลั้นลมหายใจต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเองที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเขา เฮอร์ไมโอนี่ถอนลมหาย
ใจหนักแล้วเดินออกจากร้านทันที เธอตรงดิ่งไปที่ร้านไม้กวาดสามอันอย่างเร็ว ไม่แม้แต่จะเหลียว
ไปมองเจ้าของเสียงนั้น แล้วหัวใจของเธอก็ดูเหมือนจะแตกสลายไปพร้อมๆ กันด้วย 

มัลฟอยมองตามเธอไปอย่างสิ้นหวัง เขาตัดสินใจที่จะไม่ตามเธอไป เด็กชายหลับตา 
พยายามระงับอารมณ์หลากหลายที่ถาโถมเข้ามาระอุอยู่ในความรู้สึกอย่างที่สุด ความพยายามที่จะพูดคุยกับเธอดีๆ

 ไม่เคยเป็นผลสำเร็จ โอกาสที่เธอจะอยู่คนเดียวที่มีอยู่น้อยนิดนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เขาสามารถพูดคุยกับเธอ
ได้ตามที่ใจปรารถนา เฮอร์ไมโอนี่มักจะเดินหนีเขาไปเสียดื้อๆ ทุกครั้ง ราวกับเธอพยายามที่จะเดินหนีออก
ไปจากชีวิตของเขา ความดีใจที่เห็นเธออยู่คนเดียวนั้นดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์และไม่มีความหมาย
เลยสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ในความรู้สึกของเขา ดูเธอจะมีความสุขและมีชีวิตชีวามากกว่าเวลาที่เธอถูกราย
ล้อมด้วยศัตรูทั้งสองของเขา 

ความคิดของเขาสะดุดลงทันทีที่ภาพของแฮร์รี่และรอนปรากฏขึ้นในมโนสำนึก
 มัลฟอยลืมตาขึ้น มองตรงไปยังร้านไม้กวาดสามอัน - - ที่นั่นเขาพบเฮอร์ไมโอนี่นั่งคุยอยู่กับแฮร์รี่! 
“แก!!!” 

มัลฟอยคำรามลอดไรฟันออกมา ประกายตาของเขาฉายแววโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
 เขาจ้องเขม็งไปที่คนทั้งสองแล้วจับตามองนิ่งไปยังเฮอร์ไมโอนี่ รอยยิ้มที่ฉาบไว้ด้วยความร้ายกาจ
ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเสี้ยมแหลมของเขา เด็กชายหรี่ตาลงมองเด็กหญิงผมสีน้ำตาลฟูฟ่องอย่างประสงค์ร้าย 

“แล้วเธอจะต้องเสียใจ..ยายเลือดสีโคลน!!” 


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

*****6*****

 

วันนี้ที่ห้องต้องประสงค์ บรรดาสมาชิกของกองทัพดัมเบิลดอร์ได้มารวมตัวกันเพื่อเรียนคาถาป้องกัน
ตัวจากศาสตร์มืดโดยมีแฮร์รี่เป็นผู้สอนอีกครั้ง ทว่าไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนเลยว่ากำลังจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นต่อจากนี้

พวกเขากำลังฝึกเสกคาถาผู้พิทักษ์กันอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น เนื่องจากผู้พิทักษ์ของ
บางคนเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นบ้างแล้ว
 เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังชื่นชมผู้พิทักษ์ของเธอที่เป็นตัวนากสีเงินแวววาวต้องหยุดชะงัก
 เมื่อมีอะไรบางอย่างเพิ่งเปิดประตูเข้ามาอยู่ใน
ห้องต้องประสงค์กับพวกเธอด้วย เด็กทุกคนเงียบกริบ หันไปมองก็ปรากฏร่างของเอลฟ์ประจำบ้านตัวจ้อย 
มันกำลังยืนอยู่ข้างๆ แฮร์รี่ ทำท่าราวกับต้องการเตือนอะไรบางอย่างกับเขา

“เกิดอะไรขึ้น ด๊อบบี้”

แฮร์รี่ถามออกมาในที่สุด หลังจากเจ้าเอลฟ์พยายามบอกอะไรบางอย่างกับเขาอย่างยากลำบาก
 เพราะมันต้องทำร้ายตัวเองไปด้วยทุกครั้ง
 กระทั่งแฮร์รี่ต้องจับตัวมันไว้ให้ห่างจากสิ่งที่มันจะสามารถนำมาทำร้ายตัวเองได้ แล้วพยายามหาข้อสรุปในที่สุด

“อัมบริดจ์ใช่ไหม” แฮร์รี่ถาม รู้สึกหวาดผวา ด๊อบบี้พยักหน้ารับ

“เธอกำลังมาใช่ไหม” แฮร์รี่ถามเบาๆ ด๊อบบี้ปล่อยเสียงร้องโหยหวนออกมา
 แล้วเริ่มฟาดเท้าอันเปล่าเปลือยของมันลงบนพื้นห้องแรงๆ

“ใช่ แฮร์รี่ พอตเตอร์..ใช่แล้วครับ” แฮร์รี่ยืดตัวตรง แล้วมองไปรอบๆ ทุกคน ซึ่งดูหวาดกลัวกันถ้วนหน้า

“พวกนายมัวคอยอะไรกันเล่า” แฮร์รี่ตะเบ็งเสียง “วิ่งซี่!” 

 

ทุกคนพุ่งตรงไปที่ทางออกทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำ เฮอร์ไมโอนี่หันไปเรียกแฮร์รี่ที่ยังคงสาละ
วนอยู่กับการจับด๊อบบี้ที่ทำร้ายตัวเองไม่ยอมเลิก แต่เธอก็โดนเพื่อนทั้งกลุ่มที่เบียด
เสียดกันแน่นตรงทางออก เบียดจนเธอไหลทะลักตามพวกเขาออกไปเองในที่สุด

เฮอร์ไมโอนี่ออกวิ่งไปตามระเบียง ในหัวสมองเธอบอกว่าไม่ควรกลับไปที่หอนอนตอนนี้ 
จึงพยายามหาที่ซ่อนที่อยู่ใกล้ 
และเป็นที่น่าสงสัยน้อยที่สุด แต่ใจเธอก็ยังคอยพะวงอยู่กับแฮร์รี่ เธอจึงยังยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้น

 เธอก็ได้ยินเสียง แพนซี่ พาร์กินสัน แว่วมาจากทางด้านหลัง เด็กหญิงจึงรีบหลบ
เข้าไปอยู่ตรงมุมมืดข้างๆ ชุดเกราะที่วางเรียง
รายอยู่ตลอดแนวระเบียงทางเดินนั้น เฮอร์ไมโอนี่หายใจหอบถี่ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
 ภาวนาไม่ให้ยายตัวแสบหน้าหงิกมาพบเธอเข้า

เวลาผ่านไปสักพักเสียงของแพนซี่ที่เริ่มดูห่างออกไปทำให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบเมื่อ
เธอถูกกระชากออกมาจากที่ซ่อน มือที่ใหญ่และแข็งแกร่งของมัลฟอยตะปบ
หมับเข้าที่ปากของเธอทันที เขามองเธออย่างดุๆ 

เป็นเชิงให้เธอเงียบแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างเร็วก่อนจะลากเธอออกไปจากที่ตรงนั้น
 เพื่อพาเธอไปซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่า 
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแว่บแรกเธอรู้สึกโล่งอกและปลอดภัยขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าของเขา 
เพราะคิดว่าเขาบังเอิญผ่านมาพบ และตรงมาที่นี่เพื่อช่วยเธอแท้ๆ

“อยู่นี่ก่อนนะ ฉันต้องไปตามจับพวกที่เหลือ”

เมื่อความจริงปรากฏอยู่ในคำพูดของเขา ความโกรธของเฮอร์ไมโอนี่ก็พุ่งจี๊ดขึ้นมาทันที
 เธอกระชากแขนเสื้อมัลฟอยที่กำลังจะผละจากไป

“นายทำแบบนี้ได้ยังไง” เธอแหว เขาหันกลับมาทำหน้าดุใส่เธอ

“เบาหน่อยเกรนเจอร์ เดี๋ยวพวกนั้นได้ยินก็ได้แห่กันมาหรอก” แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สนใจ

“ฉันถามว่า นายทำแบบนี้ได้ยังไง!!” เธอยังคงแผดเสียงใส่เขาอย่างฉุนเฉียว 
เขามองเธออย่างแข็งกร้าว พลางบีบปากเธออย่างแรงเพื่อให้เงียบ

“ฉันบอกให้อยู่เงียบๆ!” มัลฟอยคำรามเสียงเข้ม “อยากถูกจับอย่างเจ้าพอตเตอร์เรอะ!” เฮอร์ไมโอนี่เบิกตากว้าง 
เธอกระชากมือเขาออกเต็มแรง ใจเต้นรัวเร็ว

“นายจะบอกว่า แฮร์รี่ถูกจับได้แล้วงั้นเหรอ?” มัลฟอยแสยะยิ้มอย่างไม่น่าดูมาที่เธอ

“ใช่! และคนที่จับเจ้านั่นได้ คือฉันเอง!”

เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้าเขาเขม็งอย่างปวดร้าว รู้สึกเหมือนมีมือขนาดใหญ่ยักษ์ที่มองไม่เห็นฟาดลงมาบนใบหน้า 
เธอโกรธตัวเองที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้คงมีแต่เขาเท่านั้นที่คิดจะทำขึ้นมาได้
 เธอผลักเขาอย่างแรงและทำท่าจะวิ่งออก
ไปจากที่ซ่อน มัลฟอยรีบรั้งเธอไว้อย่างรวดเร็ว

“เธอจะไปไหน!”

เฮอร์ไมโอนี่หันกลับมาจ้องเขาแล้วพูดอย่างกราดเกรี้ยว

“ฉันยอมถูกจับไปกับเขายังจะดีซะกว่าได้รับความช่วยเหลือจากคนอย่างนาย!” มัลฟอยได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด
 เขากระชากเฮอร์ไมโอนี่กลับเข้ามา

“นี่รักมันมากขนาดนั้นเลยเรอะ” เขาตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว

“ใช่!” เฮอร์ไมโอนี่ก็ตะโกนแข่งอย่างไม่ยอมแพ้ เด็กชายกระชากแขนเฮอร์ไมโอนี่
แล้วเหวี่ยงเธอเข้ากับกำแพงอย่างแรงและเข้า
จู่โจมเธออย่างรวดเร็วโดยไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว 

มัลฟอยบดขยี้ริมฝีปากเฮอร์ไมโอนี่อย่างก้าวร้าวรุนแรงและเต็มไปด้วยโทสะ
 เด็กหญิงพยายามขัดขืนและผลักเขาอย่างสุดฤทธิ์ 
แต่มัลฟอยกลับกอดรัดและเหนี่ยวรั้งเธอไว้ด้วยความรุนแรงยิ่งขึ้น
 ริมฝีปากของเขากดลงไปที่เธออย่างหนักหน่วงและกราด

เกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
 เธอจิกปลายเล็บลงไปที่ต้นคอของเขาอย่างแรง
 มัลฟอยสะดุ้งเฮือกแล้วผละออกจากริมฝีปากของเธอที่บวมเจิ่งด้วยฝีมือของเขาทันที
 เขาถลึงตามองเธอแล้วผลักให้เข้าไปอยู่ในซอกลึกยิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้หัวใจของเด็กชายเต้นเร็วและแรงราวกับรัวกลอง อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านพร้อมที่จะ
ระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
 ในขณะที่อีกฝ่ายมีน้ำตากลบตา เฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจเนื้อตัวสั่นเทิ้ม
 เธอจ้องหน้าเขาอย่างเสียใจเป็นที่สุด คาดไม่ถึงว่าเขา

จะทำกับเธอรุนแรงขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร มัลฟอยก็โบกไม้กายสิทธิ์
ร่ายคาถาปิดปากเธอเอาไว้ แล้วเสกคาถา
บังตาพร้อมกับคาถาป้องกันไม่ให้เฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากที่ตรงนั้นก่อนถึงเวลาอันควรด้วยความรวดเร็ว

“อยู่แบบนั้นไปก่อนเถอะเกรนเจอร์” เขาคำราม”ถ้าฉันไม่มีเรื่องที่จะต้องจัดการละก็..” เขาจ้องหน้าเธอเขม็ง

“ฉันต้องทำอะไรกับเธอมากกว่าจูบแน่ๆ - - แล้วฉันก็ไม่เกี่ยงหรอก ถ้าจะต้องทำมันตรงนี้!”

เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากจ้องหน้าเขาเขม็ง ทั้งโกรธทั้งเสียใจ เธอร้องไห้จนตัวสั่น แต่มัลฟอยกลับไม่สนใจ 
เขาจ้องหน้าเธออย่างกราดเกรี้ยวอีกครั้ง แล้วคำรามลอดไรฟันออกมาอย่างมีโทสะ

“เธอเป็นของฉันเท่านั้น!” แล้วเขาก็สะบัดผ้าคลุมเดินผละจากไปทันที

เมื่อคล้อยหลังมัลฟอย เฮอร์ไมโอนี่ก็ทรุดตัวลงนั่ง รู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่มีอยู่ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น
 เธอร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นที่สุด เธออยากจะเกลียด! เกลียดเขาที่สุดแสนจะร้ายกาจได้มากมายขนาดนี้

 แต่เธอกลับเกลียดตัวเองมากกว่า ที่จนทุกวันนี้ แม้แต่ในวินาทีที่เขาทำกับเธอและเพื่อนๆ ขนาดนี้ เธอก็ไม่เข้าใจ
ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงเกลียดเขาไม่ลงเสียที 

แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องเสียใจจริงๆ อย่างที่มัลฟอยเคยลั่นวาจาไว้ เพียงแต่ว่าเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
เขาได้เคยพูดไว้แบบนั้น 
ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าเรื่องราวที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่แต่เขาเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด 
เธอเองก็เสียใจมากพออยู่แล้ว
 แต่เขากลับเพิ่มความทุกข์ให้เธออีกโดยที่ตัวเขาเองไม่ได้มารับรู้เลยแม้แต่น้อย

เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ ยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาแตะริมฝีปากที่เจ็บระบมของตัวเองแล้วร้องไห้โฮออกมาอีก
 เมื่อนึกถึงการกระทำ
อันแสนหยาบคายของเขาเมื่อครู่ เธอนึกไม่ออกเลยว่า เรื่องราวระหว่างเธอและเขาจะไปจบลงที่ตรงไหน 
แล้วเธอก็มองไม่เห็นเลยว่า 

จะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เธอให้อภัยกับการกระทำอันเลวร้ายของเขาในครั้งนี้ได้ 
เด็กหญิงรู้สึกหวิววาบสั่นสะท้าน 
เธอกลัวใจตัวเอง ที่กำลังคิดว่า จะไม่มีวันให้อภัยมัลฟอยกับเรื่องราวในครั้งนี้ได้เลย... 

*****7***** 

ศาสตราจารย์อัมบริดจ์ได้ทำการแต่งตั้งเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งขึ้นเป็นสมาชิกหน่วยสอบสวนพิเศษของเธอ
 คอยสอดส่องดู
แลและจับตามองนักเรียนที่ก้าวล้ำเส้นที่เธอกำหนดไว้ และสมาชิกของหน่วยสอบสวนนี้มีอำนาจที่จะ
ตัดคะแนนนักเรียนบ้านต่างๆ 

ได้ มัลฟอยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกไม่รอช้าที่จะตัดคะแนนบ้านกริฟฟินดอร์ทุกครั้งที่มีโอกาส 
ไม่เว้นแม้แต่เฮอร์ไมโอนี่ ที่เขาจงใจตัดคะแนนเธออย่างออกนอกหน้าด้วยสาเหตุที่ร้ายกาจและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง

เวลานี้เด็กทุกคนในโรงเรียนต้องคอยระมัดระวังตัวกันทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
 โดยเฉพาะกลุ่มของแฮร์รี่ที่มีสายตาประสงค์ร้ายของมัลฟอยจับจ้องอยู่อย่างไม่วางตา เฮอร์ไมโอ
นี่ซึ่งเสียความรู้สึกกับเขาไปกับเรื่องราวคราวที่เขากระทำการรุนแรงกับเธอ 
ตอนที่เขาและพรรคพวกออกจับกองทัพดัมเบิลดอร์อยู่แล้วนั้น ดูจะเสียความรู้สึกมากขึ้นไปอีก
 และพักหลังนี้เขามักจะเน้นย้ำเรื่อง
ความเป็น “เลือดสีโคลน” ของเธอบ่อยๆ และนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาใช้ในการตัดคะแนนบ้านของเธอ

........................................................... 

ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมาจากห้องสมุดในเย็นวันหนึ่ง เธอพบกับมัลฟอยที่กำลังอยู่ตามลำพังเข้าโดยบังเอิญ
 เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้ 
เธอหมุนตัวกลับแล้วเดินเลี่ยงเขาไปอีกทางในทันที

“หัก 5 คะแนนจากกริฟฟินดอร์” เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ เฮอร์ไมโอนี่หยุดกึก เธอเหลียวกลับไปมองหน้าเขาอย่างสงสัย

“หักเรื่องอะไรไม่ทราบ” เธอพูดอย่างฉุนๆ จ้องหน้าเขาเขม็ง
 มัลฟอยยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาเดินเลี้ยวมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ

“ก็เรื่องที่เธอไม่ทักทายฉัน” เฮอร์ไมโอนี่ทำตาโต “นายคิดว่านายเป็นใครกัน!” มัลฟอยยิ้มเยาะ

“สมาชิกหน่วยสอบสวนพิเศษ” เขาว่าพลางยืดอกให้เธอดูตราบนหน้าอกชัดๆ 
เฮอร์ไมโอนี่มองตรานั้นแล้วเบะปากอย่างรังเกียจ 
เธอสะบัดหน้าแล้วตั้งท่าจะเดินหนีเขา แต่มัลฟอยไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในโอกาสอันดีของเขาเช่นนี้แน่ๆ
 เขาคว้าข้อมือของเด็กหญิงได้ทันแล้วรวบเอวเธอให้เข้ามาใกล้

“ปล่อยนะ!!” เฮอร์ไมโอนี่ประท้วง แต่มัลฟอยไม่ยอมทำตามคำร้องของเธอเป็นแน่
 เขากลับกระชับตัวเธอให้แนบแน่น
กับเขามากขึ้นไปอีก เด็กชายโน้มหน้าเข้าไปใกล้ รอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ของเขาฉาบฉายขึ้นมาในทันที

“วันนี้ฉันไม่มีธุระที่ไหน...เพราะฉะนั้น..มาต่อเรื่องที่ทำค้างกันไว้วันนั้นดีกว่า” เขาก้มหน้าลง
ไปหาเธอแต่เฮอร์ไมโอนี่ยกมือ
ขึ้นมาดันหน้าเขาออกไปอย่างแรง เธอดิ้นหลุดออกจากอ้อมกอดของเขา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว!” เธอตะคอก มัลฟอยเอียงคอมองเธอแล้วยิ้มอย่างร้ายๆ 
เขาไม่ตอบอะไรแล้วก้าวเข้าไปหาเธออีก
 แต่เฮอร์ไมโอนี่ล้วงมือเข้าไปหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากเสื้อคลุมแล้วชี้ไปที่ใบหน้าของเขา

“หยุดนะ นายคิดว่านายจะทำอะไรกับฉันก็ได้ตามที่นายต้องการงั้นเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างเหลืออด

“เธอเป็นของฉัน” มัลฟอยพูดเสียงเรียบหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจทีท่ากราดเกรี้ยวของเธอแม้แต่น้อย

“ฉันไม่ใช่ของของนาย!!!” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนกลับอย่างฉุนโกรธ

“โอ้...งั้นเรอะ...ถ้างั้นฉันจะทำให้เธอเป็นของฉันซะเดี๋ยวนี้!” เขาคำรามดวงตาเป็นประกายขณะพูด
 เฮอร์ไมโอนี่ก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ มือยังคงกำไม้กายสิทธิ์แน่นชี้ตรงไปที่เขา 
เธอมองเขาราวกับมองคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

“นายมัน...เลวที่สุด! สกปรก..หยาบคาย...ชั่วร้าย!!!” เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนคำพูดออกมาอย่างสั่นเครือ
 มีน้ำตารื้นอยู่บริเวณขอบตา

“นายมันปิศาจ!” มัลฟอยหยุดกึก เขามองเธอนิ่งอย่างปวดร้าว น่าแปลกที่ไม่มีแววโกรธอยู่
ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย
 แม้แต่เฮอร์ไมโอนี่เองก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาในตอนนี้ได้เลย มัลฟอยเม้มริมฝีปาก แล้วกลับหลังหัน

“ก็ได้..เกรนเจอร์..” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉันมันก็คงเป็นได้แค่ปิศาจสำหรับเธอ..”
 เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยกับเธออีกครั้ง

“ฉันจะเป็นปิศาจตามที่เธอต้องการ..แต่ขอให้เธอรู้ไว้ว่า..เธอคือนางฟ้าของฉัน..
และมันจะเป็นแบบนั้นเสมอ...ตราบเท่าที่ฉันยังมีลมหายใจ”
 เขาสาวเท้าออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว เฮอร์ไมโอนี่ได้แต่อ้าปากค้าง 
ตะลึงจนไม่ทันได้รู้ตัวว่าเขาได้หาย

ไปจากตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอรู้สึกสันสน ไม่แน่ใจว่าได้พูดอะไรที่เป็นการทำร้ายเขาออกไปหรือเปล่า
 เด็กหญิงค่อยๆ ลดมือที่ถือไม้กายสิทธิ์ลงช้าๆ ในสมองยังคงครุ่นคิด แต่แล้วเธอก็สะบัดศีรษะ
 พยายามจะสลัดให้ความรู้สึกผิดหลุดพ้นออกไปจากห้วงสำนึก

“ถ้าเทียบกับการกระทำของนาย..เท่านี้มันยังน้อยเกินไป” เฮอร์ไมโอนี่พูดออกมาเบาๆ 
เหมือนกับพยายามจะเน้นย้ำกับตั
วของเธอเองมากกว่า เธอกัดริมฝีปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมองทางที่เขาเดินผ่านไป

“ฉันไม่ใช่นางฟ้าของนายหรอกมัลฟอย...” เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจหนัก
 เธอก้มหน้ามองพื้น ทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ 
แล้วครางออกมาเบาๆ อย่างเจ็บปวด ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปยังทิศตรงกันข้ามอย่างอ่อนแรง

“...ฉันเป็นศัตรู....”

...........................................................................

 *****8*****

 

การที่มีสมาชิกหน่วยสอบสวนพิเศษเดินตรวจตราทุกซอกทุกมุมภายในโรงเรียนอย่างไม่มีวันหยุด
 ทำให้ทุกอิริยาบทของเด็กนักเรียน
ในฮอกวอตส์เป็นอันต้องถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แต่พวกแฮร์รี่ก็ต้องตัดสินใจทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการ
ถูกจับได้เป็นที่สุดในวันหนึ่ง
 เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว ความเป็นห่วงและกังวลใจของแฮร์รี่ที่มีต่อซีเรียสนั้น
มีมากเกินพอที่เขาจะกล้าเสี่ยง
 และเพื่อนๆ ของเขาก็พร้อมที่จะร่วมมือด้วย

ภาพนิมิตที่แฮร์รี่เห็นตอนที่เขานอนหลับในห้องสอบเกี่ยวกับอันตรายที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นกับพ่อทูนหัวของเขา
 ทำให้เขาแทบ
จะกระโจนออกไปหาซีเรียสเสียเดี๋ยวนั้น หลังจากที่เขาเล่าให้เพื่อนๆ ของเขาฟัง พวกเด็กๆ ต่างก็พากันคิด
หาอุบายที่จะทำให้

แฮร์รี่ติดต่อกับซีเรียสผ่านทางเตาผิงในห้องทำงานของอัมบริดจ์ได้ เมื่อเด็กๆ ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 แฮร์รี่ก็รีบดำเนินการ
ตามแผนอย่างไม่รอช้า แต่ปรากฏว่าแฮร์รี่ไม่พบซีเรียสที่นั่น เขาพบเพียงครีเชอร์--เอลฟ์ประจำบ้านของ
ตระกูลแบล็กเท่านั้น
 แฮร์รี่พยายามไต่ถามครีเชอร์เกี่ยวกับซีเรียส แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ความจริงอะไรจากมัน อัมบริดจ์ก็เข้ามา
พบเขาเสียแล้ว

หญิงร่างอ้วนป้อมตรงเข้ากระชากแฮร์รี่ออกจากเตาผิงอย่างแรง หล่อนจับตัวเขาไว้ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่
ถูกมิลลิเซนต์ บัลสโตรดร่างยักษ์รวบแขนกดติดกำแพงห้องอยู่ ส่วนรอน จินนี่ ลูน่า และเนวิลล์
 ถูกเด็กนักเรียนสลิธีรินตัวโตๆ หลายคนจับ

กุมไว้ได้หมดทุกคน แฮร์รี่เห็นมัลฟอยยืนพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เขายิ้มเยาะๆ ให้แฮร์รี่พลางโยน
ไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่เล่นอย่างหยามหยัน เฮอร์ไมโอนี่เบี่ยงศีรษะที่ถูกกดอยู่จ้องตรงไปยังมัลฟอยอย่าง
เคืองแค้น เขาชายตามองไปยังเธอแล้วแสยะยิ้มพลาง

ขยับปากเป็นคำพูด “ปิศาจ” แล้วหันไปสำราญกับการสอบปากคำแฮร์รี่ของอัมบริดจ์ต่อ
 เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเสียใจที่พูดใส่เขาไปแบบนั้น
 เธอลืมนึกถึงผลที่จะตามมา เด็กหญิงโกรธตัวเอง--เธอน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร 

อัมบริดจ์พยายามเค้นความจริงจากแฮร์รี่อย่างเอาเป็นเอาตาย หล่อนต้องการรู้ให้ได้ว่าแฮร์รี่
พยายามติดต่อกับใครผ่านกองไฟของหล่อน 
แต่จนแล้วจนรอดหล่อนก็ไม่ได้รับฟังในสิ่งที่ต้องการ จนในที่สุดหล่อนตัดสินใจที่จะใช้คำสาปกรีด
แทงกับแฮร์รี่ เพื่อทรมานให้เขาพูดความจริง

หัวสมองอันปราดเปรื่องของเฮอร์ไมโอนี่คิดแผนการณ์ลวงอัมบริดจ์ได้ในฉับพลัน 
โดยไม่มีใครคาดคิด เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนปรามอัมบริดจ์ได้ทันก่อนที่หล่อนจะเปล่งเสียงร่าย
คำสาปออกมาทำร้ายเพื่อนของเธอ เธอโกหกไปว่าพวกเธอพยายามติดต่อ
กับศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ และอัมบริดจ์ก็เชื่อ! ก็นั่นเป็นสิ่งที่หล่อนกระหายที่จะได้ยินอยู่แล้ว..

มัลฟอยหรี่ตามองเฮอร์ไมโอนี่อย่างนึกสงสัย ใจหนึ่งเขาอยากจะทำลายแผนการณ์ของเธอ--เป็น
ปิศาจร้ายอย่างที่เธอต้องการ--
แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ทำแบบนั้น เพราะเขายังคงอาลัยความรู้สึกผูกพันที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในจิตใจอยู่เสมอ
 เขาไม่อยากทำร้ายเธอมากไปกว่านี้ เขาจึงได้แต่เพียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่
ลวงให้อัมบริดจ์ไปกับเธอและแฮร์รี่ 
มุ่งตรงสู่ป่าต้องห้ามกันตามลำพัง เขาเองก็อยากเห็นอัมบริดจ์ตกที่นั่งลำบากด้วยเช่นกัน
............................................................. 

เมื่อจัดการให้อัมบริดจ์ตกอยู่ในวงล้อมของเซ็นทอร์เรียบร้อยแล้ว แฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ก็สามารถเอาตัว
รอดจากคนครึ่งม้าพวกนั้นมาได้อย่างหวุดหวิดโดยความช่วยเหลือของกรอว์ป--น้องชายของแฮกริด 
ซึ่งเป็นยักษ์โตเต็มวัย นับเป็นโชคดีที่กรอว์ปจำเฮอร์ไมโอนี่ได้ 
ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาอาจจะกลายเป็นของหวานของกรอว์ปไปเสียก็ได้

พวกรอนตามมาสมทบกับแฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ในเวลาต่อมา พวกเด็กๆ สามารถหลุดรอดมา
จากพวกสลิธิรินได้ด้วยการเสกคาถาใส่พวกเขา ดูเหมือนจินนี่จะเก่งกว่าเพื่อน
 เพราะเธอเสกคาถาให้หน้าของมัลฟอยมีปีกค้างคาวใหญ่ๆ คลุมอยู่เต็มไปหมด

 เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกสมน้ำหน้ามัลฟอยเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้นึก
เป็นห่วงเขาได้ แถมยังเกรงว่าเขาอาจจะทำอะไรร้ายๆ เป็นการแก้แค้นจินนี่ในภายหลังก็ได้
 แต่เธอก็รีบสลัดความคิดเหล่านั้นไปแทบจะในทันที 
เพราะภาระกิจที่สำคัญมากกว่าการใส่ใจนิสัยไม่รู้จักโตของมัลฟอยกำลังรอเธออยู่

แฮร์รี่และเพื่อนๆ รีบรุดไปช่วยซีเรียสที่กองปริศนาโดยอาศัยเธสตรอลเป็นพาหนะนำทางไป
 แต่นั่นนับเป็นการตัดสิน
ใจที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงของแฮร์รี่ เพราะการไปของพวกเขาในครั้งนี้ นอกจากจะไม่สามารถช่วยเหลือซีเรียสได้ 
แต่ยังผลให้เกิดความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่กับตัวของแฮร์รี่เองอีกด้วย ภาพนิมิตที่เขาเห็นเป็นแผนการณ์
ที่ลอร์ดโวลเดอมอร์สร้างขึ้นเพื่อล่อให้แฮร์รี่ออกมาที่กองปริศนานั้น พวกเขาแทบจะเอาตัวไม่รอด 
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เสพความตายผู้ใหญ่หลายคน 

ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมุนเอกของโวลเดอมอร์แทบทั้งสิ้น ลูเซียส มัลฟอย ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย
 ถึงแม้เขาจะชั่วร้าย แต่เมื่อเทียบกับบรรดาผู้เสพความตายอื่นๆ ดูเขาจะมีสติครบถ้วนมากกว่าเพื่อนๆ 
เขายังคงความมีศักดิ์ศรีของพวกเลือดบริสุทธิ์ที่จะ
ไม่ทำร้ายแฮร์รี่และเพื่อนๆ อย่างบ้าคลั่งเหมือนคนอื่นๆ ในขณะที่คนอื่นๆ กระหายที่จะฆ่าเด็กๆ
 อยู่ตลอดเวลา เขาบีบคั้นแฮร์รี่ก็จริง
 แต่ก็ด้วยวิธีการที่รอบคอบและมีสมองมากกว่าพรรคพวกที่อยู่ ณ ที่นั้นด้วย

เบลลาทริกซ์ ซึ่งเป็นญาติของซีเรียสนั้นดูราวกับคนเสียสติ หล่อนบ้าคลั่งจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ 
หล่อนแสดงออกราวกับว่าสิ่งที่หล่อนต้องการมากกว่าอะไรอื่นคือความทุกข์ทรมาน 
การนองเลือด และความตายที่หล่อนพร้อมจะ
หยิบยื่นให้ใครก็ได้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับจ้าวแห่งศาสตร์มืด นายของหล่อน

เด็กๆ ต่อสู้กับผู้เสพความตายกันอย่างกล้าหาญ จนกระทั่งพวกของซีเรียสเดินทางมาช่วยเหลือ 
พวกเขาเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดอยู่เป็นนาน ดูเหมือนซีเรียสและเบลลาทริกซ์จะสู้กันอย่างเอาเป็น
เอาตายมากกว่าคู่อื่นๆ--อาจจะด้วยเพราะความเป็นญาติกันก็ได้ 

ทำให้ทั้งสองรู้สึกว่ายอมกันไม่ได้ กระทั่งเมื่อดัมเบิลดอร์มาถึง เด็กๆ หัวใจพองโตด้วยความดีใจ 
อย่างไรเสีย พวกเขาคงไม่มีวันพลาดท่า ถ้าอยู่ในสายตาของดัมเบิลดอร์ แต่ซีเรียสและเบลลาทริกซ์ก็
ยังคงไม่เลิกต่อสู้กัน พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขณะนี้ดัมเบิลดอร์ได้เดินทางมาถึงแล้ว ความดีใจที่เห็น
ดัมเบิลดอร์ปรากฏกายขึ้นของแฮร์รี่หายวับไปในทันทีที่เขาเห็นลำแสงจากปลายไม้กายสิทธิ์
ของเบลลาทริกซ์ พุ่งตรงเข้าสู่กลางอกของพ่อทูนหัวของเขา ซีเรียสผงะหงายม้วนตัวตามอำนาจ
ของคาถาที่เสกถูกเขาแล้วร่าง

ของเขาก็พุ่งดิ่งลงไปหลังผ้าม่านอย่างงามสง่า หัวใจของแฮร์รี่กระตุกขึ้นแรงราวกับจะฉีกขาด 
เหมือนมีมือขนาดใหญ่ยักษ์ที่เขามองไม่เห็นมาฉีกกระชากหัวใจของเขาออกไปเสียเดี๋ยวนั้น
 แฮร์รี่วิ่งถลาออกไปหาร่างที่หายไปหลังม่านที่พลิ้วไหวอยู่ภาย

หน้าอย่างคนไร้แล้วซึ่งสติสัมปะชัญญะ มันยากที่จะทำใจให้เชื่อ--แต่นั่นคือความจริง..ภาพของซีเรียสยาม
ที่เขาหัวเราะอย่างเริงร่า ภาพสุนัขตัวใหญ่สีดำที่ยอมทนกินหนูเพียงเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ กับเขา 
ภาพฝันที่เขาวาดไว้ว่าจะได้ไปอยู่กับพ่อทูนหัวของเขาคนนี้ 

ภาพเหล่านั้นผุดเข้ามาในห้วงสำนึกอย่างรวดเร็วและมลายหายไปภายในพริบตา เขาจะไม่มีวันเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
 แฮร์รี่รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาถูกพรากจากไปตลอดกาล อย่างไม่มีวันที่จะเรียกคืนกลับ
มาได้อีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงไร..เขาจะไม่มีวันได้เห็นใบหน้าที่ยังมีชีวิตอยู่ของ 

ซีเรียส แบล็ก    อีกต่อไปแล้ว...
 

TBC

*****9*****
 

การจากไปของซีเรียสนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแฮร์รี่ แต่การต่อสู้และการปรากฏตัวของ
โวลเดอมอร์ที่กองปริศนาในวันนั้นทำให้ คอร์นีเลียส ฟัดจ์ – รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ยอมรับในการกลับ
มาของจ้าวแห่งศาสตร์มืด 
และเริ่มประกาศให้ประชาชนชาวพ่อมดแม่มดได้รับทราบ นับเป็นเรื่องดีทีเดียวที่ทุกคนยอมรับความจริง
ในที่สุดว่าแฮร์รี่ไม่ได้เป็นคนปด หรือสติไม่สมประดีดังที่พวกเขาเคยกล่าวหา

ตอนนี้เพื่อนๆ ของแฮร์รี่จำนวนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นต้องนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลเนื่อง
จากต่างได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันกับผู้เสพความตายเป็นทิวแถว รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ด้วย 
หัวค่ำวันนั้น มัลฟอยแยกตัวออกมาจากกลุ่มนักเรียนสลิธีริน

 เพื่อจะเข้าไปเยี่ยมเฮอร์ไมโอนี่ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อนๆ 
ที่ต้องค้างอยู่ที่ห้องพยาบาลเหมือนกับเธอ เขาจ้องมองเธออยู่พักหนึ่งก็สะบัดผ้าคลุมเดินจากไปอย่างหงุดหงิด

แต่การปรากฏกายของเขาก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของมาดามพอมฟรีย์ได้ 
หล่อนมองตามท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเขาไปอย่างเป็นห่วง มาดามพอมฟรีย์เกรงว่านั่นอาจ
เป็นสัญญาณอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง หากหล่อนไม่ทำ
อะไรสักอย่าง เพราะนอกจากหล่อนแล้ว จะมีใครอีกเล่าที่ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
 หล่อนหมุนตัวอย่างเชื่องช้าเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานอย่างใช้ความคิด 
แล้วจึงตัดสินใจรีบเดินตามมัลฟอยไปในทันที 

มาดามพอมฟรีย์จ้ำเท้าตามนักเรียนรุ่นหนุ่มของหล่อนไปจนทัน หล่อนเอ่ยชื่อเขาเบาๆ เพื่อให้เขาหยุด

“มิสเตอร์มัลฟอย” มัลฟอยชะงักฝีเท้าแล้วเหลียวกลับมาที่ต้นเสียง เขาขมวดคิ้วมองหล่อนอย่างแปลกใจ

“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ พอจะมีเวลาตามฉันมาไหม” มาดามถาม มัลฟอยลังเล
 เขานึกไม่ออกว่าเขามีเรื่องอะไรที่จะต้องเสวนากับอาจารย์ประจำห้องพยาบาลด้วย 
เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่ก้มหน้านิ่งไปนาน มาดามจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เกี่ยวกับมิสเกรนเจอร์” มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมองหล่อนอย่างรวดเร็ว

“เรื่องอะไร” เขาถามห้วนๆ มาดามยิ้มตอบเขาอย่างใจเย็น

“ตามฉันมาก่อนเถอะ มันคงไม่เหมาะนักที่จะคุยเรื่องแบบนี้ตรงระเบียงทางเดิน” ว่าจบหล่อนก็เดินนำเขาไป
 มัลฟอยเดินตามไปอย่างร้อนใจ เขาแทบอยากจะลากแขนมาดามพอมฟรีย์วิ่งไป
ให้ถึงสถานที่ที่หล่อนเห็นว่าเหมาะสมให้เร็วที่สุด 
เมื่อเดินมาถึงยังห้องเรียนว่างห้องหนึ่ง มาดามก็เดินนำเขาเข้าไปในนั้น มัลฟอยยิงคำถามทันทีอย่างใจร้อน

“เกิดอะไรขึ้นกับเกรนเจอร์” มาดามมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยปาก

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าระหว่างเธอกับมิสเกรนเจอร์มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง” มาดามเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวแล้วลงนั่ง 
หล่อนผายมือไปที่เก้าอี้อีกตัวเป็นเชิงเชิญชวนให้มัลฟอยนั่งลงบ้าง แต่เขาส่ายศีรษะ

“มาดามต้องการจะพูดอะไรกันแน่” เด็กชายจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาก้าวร้าว

“เธอจำเรื่องที่ฉันพูดกับเธอเมื่อคราวก่อนได้หรือเปล่า” มัลฟอยไม่ตอบ เขายังคงจ้องหน้าเธออย่างเด็กที่ดื้อรั้น

“ถึงฉันจะไม่รู้ลึกในรายละเอียด แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอกระทำนั้นไม่ถูกต้อง”
 มาดามหยุดสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดต่อ

“การแสดงออกของเธอมันแข็งกระด้างเกินไป” มัลฟอยสวนขึ้นทันควันอย่างเหลืออด

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ!” มาดามพอมฟรีย์สูดลมหายใจลึก มองหน้าเด็กชายอย่างปราณี

“ใช่..มิสเตอร์มัลฟอย..มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยแม้แต่น้อย..แต่มันเกี่ยวกับตัวเธอ” คราวนี้มัลฟอยนิ่งเงียบ 
เขาไม่ได้โต้เถียงอะไร แต่ใบหูยังคงแดงจัดเพราะความโกรธ

“เธอกับมิสเกรนเจอร์เข้าออกห้องพยาบาลบ่อยเสียจนทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะรักษาความสัมพันธ์ของเธอสองคนไว้” 
มัลฟอยขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไร มาดามจึงพูดต่อไป

“ทำไมเธอถึงไม่พยายามปรับความเข้าใจกับมิสเกรนเจอร์..
ทำไมเธอถึงประชดประชันและทำตัวร้ายกาจกับเธอตลอดเวลา” 
หล่อนมองเขาอย่างต้องการคำตอบ แต่มัลฟอยกลับยังคงนิ่งเงียบ

“มิสเตอร์มัลฟอย สิ่งที่เธอทำกับความรู้สึกของเธอมันช่างขัดแย้งกันนัก
 เธออยากให้เรื่องของเธอสองคนเป็นแบบนี้ต่อไปละหรือ?”
 มัลฟอยเม้มริมฝีปาก เขาส่ายศีรษะ

“แล้วผมจะต้องทำยังไง ทำยังไงถึงจะดึงเธอกลับมาได้” เขาโพล่งออกมาในที่สุด มาดามยิ้มน้อยๆ นั่นแปลว่าเธอ
เข้าถึงเขาได้อย่างตรงจุด มัลฟอยก็เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาคนนึงที่ไม่รู้ว่าจะต้องแสดงออกอย่าง
ไรกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ 

และกำลังต้องการคนชี้แนะ เธอจึงรีบสานต่ออย่างนุ่มนวลที่สุด เพราะเธอรู้ดีว่าอารมณ์ของเขานั้น ร้ายกาจเพียงใด
 หากพูดไม่เข้าหูเข้า เรื่องอาจจะกลับหน้ามือเป็นหลังมือได้ทุกเมื่อ

“เธอต้องทำทุกอย่างตามความรู้สึกของเธอ ทะนุถนอมเขา ไม่ใช่ทำร้ายเขา..”

“ผม.....” มัลฟอยพูดออกมาได้แค่นั้น เขารู้ตัวดีว่าเขาคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ ตราบใดที่เฮอร์ไมโอนี่ยังคง
อยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆ ที่เป็นศัตรูของเขา

“มิสเตอร์มัลฟอย..อย่างน้อย เธอก็ควรจะนุ่มนวลกับมิสเกรนเจอร์ ควรพูดกับเธอดีๆ ควรเป็นฝ่ายเข้าหาเธอ
 อย่าไปสนใจคนรอบข้าง ฉันคิดว่า มิสเกรนเจอร์เป็นเด็กดีพอที่จะเข้าใจเธอนะ”

มัลฟอยเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปหรือไม่

“เธอคงไม่มีวันให้อภัยผมอีกแล้ว” เขากล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อย
 “ผมคงไม่มีวันได้เธอกลับมา..” มาดามส่ายศีรษะ

“ไม่...เธอทำได้ มิสเตอร์มัลฟอย เธอต้องไม่ท้อถอยก่อนที่จะพยายาม” มัลฟอยสวนกลับแทบจะตะโกน

“ผมพยายามแล้ว!” มาดามพอมฟรีย์ขมวดคิ้ว

“เธอแน่ใจแล้วหรือ ว่าสิ่งที่เธอทำลงไปเป็นการรักษาความสัมพันธ์?
 ฉันรู้สึกว่ามันเป็นการทำลายมากกว่านะ” มัลฟอยชะงัก เขาสะบัดหน้าไปอีกทาง

“มิสเตอร์มัลฟอย..ฉันเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ฉันรู้ว่าผู้หญิงต้องการอะไร”
 เด็กชายหันกลับมามองหน้าอาจารย์ประจำห้องพยาบาลของเขาอีกครั้ง

“แค่เพียงเธอบอกความรู้สึกของเธอออกไปให้เขารู้ คำพูดที่ออกมาจากหัวใจ อาจเป็นปาฏิหารย์อันยิ่งใหญ่
ที่สามารถประสานรอยร้าวได้เป็นอย่างดีก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องยาก แล้วก็ไม่น่าอายหรอก พ่อหนุ่มน้อย”
 มาดามยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของเขามีสีเลือดสูบฉีดขึ้นมาในทันที

“ผม....ผมทำไม่ได้” เขาพูดด้วยใบหน้าชมพูระเรื่อ

“แต่เธอทำร้ายความรู้สึกของมิสเกรนเจอร์ได้?” มาดามเลิกคิ้วสูงมองเขา

“ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจ...ผมไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง” มัลฟอยหันหลัง เดินไปยังริมหน้าต่าง
 เขาเอามือทั้งสองข้างเท้าขอบหน้าต่างไว้ แล้วจ้องเขม็งออกไปข้างนอก เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ 
บ่งบอกให้เห็นถึงความเคร่งเครียด มาดามพอมฟรีย์ลุกยืนขึ้น เธอก้าวเท้าอย่างนุ่มนวลไปยืนข้างหลังเขา

“เพียงแต่เธอเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองที่มีต่อมิสเกรนเจอร์ แล้วยอมรับมัน..ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เกินไปหรอก มันสำคัญตรงที่ว่า........” มาดามหยุดเว้นจังหวะ 
ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่มีค่าที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งสองออกไป

“เธอรักมิสเกรนเจอร์หรือเปล่า..มิสเตอร์มัลฟอย” มัลฟอยชะงักค้าง เขายังคงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอันมืดมิด 
มาดามพอมฟรีย์ยืนมองแผ่นหลังของเขานิ่งเงียบ ให้เวลาเขาได้ทบทวน ก่อนจะตอบคำถามหล่อน

คำพูดของมาดามซึมซับเข้ามาในกระแสความรู้สึก ราวกับเป็นคำถามที่เขาเพียรถามตัวเองมานานแล้ว 
เขาปล่อยให้คำถามนั้นดังก้องสะท้อนอยู่ในห้วงสำนึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจคะนึงถึงเรื่องราวต่างๆ
 ระหว่างพวกเขาที่ผ่านมา.

.รอยจุมพิต ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากอ้อมกอดของเด็กหญิง วันเวลาดีๆ ที่มีร่วมกัน
 ความถวิลหาที่เขามีให้เธอเสมอ
ยามที่ต้องห่างไกลกัน ความกลัวเมื่อคิดว่า สักวันหนึ่งเขาอาจต้องสูญเสียเธอไป...มัลฟอยก้มหน้าลงมองพื้น 

ถามตัวเองอีกครั้ง ว่าเขารักเด็กผู้หญิงที่เขาใกล้ชิดที่สุดคนนี้ไหม?? เด็กชายสูดลมหายใจลึก เขายืดตัวตรง 
แล้วหันหน้ากลับมาประจันหน้ากับอาจารย์ประจำห้องพยาบาลของเขา
 มัลฟอยมองหน้าหล่อนด้วยดวงตาที่แน่วแน่และจริงจัง 
ก่อนจะตอบคำถามของเธอออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้มและหนักแน่น

“สุดหัวใจเลยครับ.....”
 

TBC

*****10*****

 

มาดามพอมฟรีย์เดินกลับมาที่ห้องพยาบาลด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ หล่อนเหลือบสายตามอง
ไปยังเตียงที่เด็กๆ นั่งคุยกันอยู่
 แล้วเดินตรงไปยังตู้ยา หยิบขวดยาสองสามชนิดออกมา จัดการปรุงยาพวกนั้นอย่างแคล่วคล่อง
ก่อนจะนำขวดยาที่ปรุงเรียบร้อย
แล้วทั้งหมดจัดวางลงบนถาดแล้วยกเดินตรงไปยังเตียงคนไข้

เด็กๆ เงียบเสียงลงทันทีที่มาดามพอมฟรีย์เดินถือขวดยาเข้ามา รอนหันไปเห็นน้ำยาในขวดก็กลืนน้ำ
ลายอย่างยากลำบาก
 เขาทำหน้าเหยเกมองมันอย่างสยอง ไม่ต้องรอให้ลิ้มรสยาพวกนั้นก่อนหรอก 
แค่เห็นสีของมันเขาก็รู้แล้วว่ารสชาติมันจะ
สามารถฆ่าเขาอย่างทรมานได้ขนาดไหน มาดามแจกขวดยาให้เด็กๆ ทุกคนจนครบ
 ยกเว้นเฮอร์ไมโอนี่ เธอเอ่ยถามอย่างสงสัย

“แล้วของหนูล่ะคะมาดาม” มาดามทำท่าเหมือนนึกได้

“โอ้...ขอโทษทีจ้ะ มิสเกรนเจอร์ ฉันคงจะปรุงตกหล่นไปขวดนึงน่ะ เดี๋ยวฉันจะไปปรุงมาให้ใหม่นะจ๊ะ”
 แล้วหล่อนก็หันไปทางเด็กคนอื่นๆ

“เอ้า...เด็กๆ รีบดื่มยาสิจ๊ะ ฉันจะได้เอาขวดไปเก็บ แล้วก็รีบนอนกันซะล่ะ 
ไม่อย่างนั้นพวกเธอไม่มีวันได้ออกไปจากห้องพยาบาลแน่ๆ”

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็รีบดื่มรวดเดียวหมด ไม่มีใครอยากจะนอนในห้องพยาบาลต่อ เพราะต่างก็ขยาดกับยาขมๆ 
ของมาดามพอมฟรีย์ที่มักจะเข้าไปปั่นป่วนอยู่ในช่องท้องของพวกเขาเสมอๆ 
จะไม่ดื่มหรือแอบเททิ้งก็ไม่ได้ เพราะมาดามจะต้องยืน
เฝ้ามองรอให้แน่ใจเสียก่อนว่าพวกเขาดื่มยากันจนหมดทุกหยดแล้วทุกครั้งไป

มาดามพอมฟรีย์ยิ้มเมื่อเห็นขวดน้ำยาว่างเปล่าในมือของเด็กๆ หล่อนเก็บขวดเหล่านั้นมาใส่ถาดดังเดิม
 แล้วยืนรอให้พวกเขานอนลงให้เรียบร้อยก่อน จึงค่อยผละออกไป หล่อนหันมาหาเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง

“รอสักครู่นะจ๊ะ มิสเกรนเจอร์ เดี๋ยวฉันกลับมา” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้ารับ แล้วหันไปมองเพื่อนๆ
 ของเธอที่หลับกันแล้วเรียบร้อยอย่างนึกประหลาดใจ

มาดามพอมฟรีย์เดินกลับเข้ามาอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก หล่อนเสกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาไว้ตรงข้างๆ 
เตียงของเฮอร์ไมโอนี่แล้วนั่งลง วางขวดยาขวดใหม่ไว้ตรงโต๊ะข้างเตียง มองเด็กหญิงอย่างปราณีก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ มิสเกรนเจอร์” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้ว เธอเหลือบไปมองเพื่อนๆ 
ของเธอที่หลับอย่างรวดเร็วผิดปกติอีกครั้ง 
แล้วหันกลับมามองหน้าอาจารย์ของเธออย่างไม่เชื่อ มาดามพอมฟรีย์ยิ้มแล้วพยักหน้าช้าๆ

“ใช่จ้ะ..น้ำยาที่เพื่อนๆ ของเธอดื่มเข้าไปน่ะ มีส่วนผสมของยาเร่งหลับอยู่ด้วย พวกเขาจะไม่ตื่นจนกว่าจะถึงตอนเช้า 
ไม่ว่าจะมีเสียงใดๆ มารบกวนก็ตาม ไม่ต้องห่วงจ้ะ มันปลอดภัยดี และพวกเขาจะรู้สึกดีขึ้นเมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น”

“อาจารย์มีเรื่องอะไรจะพูดกับหนูเหรอคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างสุภาพ 
เธอนึกแปลกใจไม่น้อยที่คนอย่างมาดามพอมฟรีย์ถึง
ขั้นยอมลงทุนวางยานักเรียนเพียงเพื่อจะคุยกับเธอ มันคงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว

“มิสเกรนเจอร์..ฉันพอจะทราบว่าเธอกับมิสเตอร์มัลฟอยมีเรื่องบาดหมางกัน”
 เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้ว ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามอะไรออกไป มาดามก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

“ไม่ต้องสงสัยหรอก ฉันอยู่ที่ห้องพยาบาลมานานพอที่จะรู้ว่ามีเด็กคนไหนแอบย่องออกมาเยี่ยมกันเวลาดึกๆ 
ดื่นๆ บ้าง” เด็กหญิงอ้าปากค้าง แก้มของเธอมีริ้วรอยสีชมพูบางๆ ฉาบระเรื่อขึ้นมาเดี๋ยวนั้น 
มาดามพอมฟรีย์ยิ้ม หล่อนนึกถึง
ปฏิกิริยาของมัลฟอยในครั้งที่หล่อนพูดประโยคเดียวกันนี้กับเขาเมื่อช่วงต้นเทอม

“มิสเกรนเจอร์ ฉันคิดว่าเธอสองคนควรจะหันหน้ามาพูดกันดีๆ นะ อย่าปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเลย” 
เฮอร์ไมโอนี่นั่งนิ่ง เธอหรุบตาลงมองมือตัวเองที่ตอนนี้ประสานกันแน่น ก่อนจะเอ่ยถาม

“มาดามคิดว่าหนูควรจะคืนดีกับเขาหรือคะ” มาดามส่ายศีรษะ

“เธอควรถามตัวเธอเองดูมากกว่า” เฮอร์ไมโอนี่เม้มริมฝีปาก ทำหน้าครุ่นคิด

“แต่สิ่งที่เขาทำ...มันร้ายกาจมากเลยนะคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองหล่อนด้วยสายตาขอความเห็น 
มาดามพอมฟรีย์เอื้อมมือไปกุมมือเล็กๆ ของเด็กหญิง

“มิสเกรนเจอร์..เธอน่าจะรู้นิสัยเขาดีกว่าคนอื่นๆ และน่าจะรู้ว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร”
 มาดามผละมือออกจากเฮอร์ไมโอนี่ หล่อนนิ่งมองดูนักเรียนหญิงของหล่อนชั่วครู่ จึงค่อยกล่าวต่อ

“แล้วตัวเธอเองมีความสุขดีอยู่หรือ ที่เรื่องมันกลับกลายไปเป็นเสียแบบนี้..
.เธอต้องถามใจของตัวเธอเองดูให้ดีเสียก่อน 
ว่ามันคือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือ” เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองมือตัวเองอีกครั้ง

“เธออยากให้เหตุการณ์มันเลวร้ายลงกว่าเดิมละหรือ” มาดามถาม

“ฉันเชื่อว่า คนอย่างมิสเตอร์มัลฟอยสามารถเป็นผู้เสพความตายได้อย่างไม่ยากเย็นเลย 
ดูจากพื้นฐานครอบครัวของเขา แล้วตัวของเขาเองก็คงไม่ต้องเสียเวลาคิดทบทวนเลยสักนิด
 ก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายมืด..” เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมอง
หล่อนขวับ เด็กหญิงใจเต้น...นั่นคือสิ่งที่เธอเองก็กลัวอยู่แล้ว

“ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยนะ..ฉันอยู่ที่นี่มานานพอที่จะเห็นตัวอย่างก่อนๆ มาบ้างแล้ว”

“อาจารย์คิดว่าหนูจะช่วยอะไรเขาได้เหรอคะ? ถ้าใจของเขารักที่จะทำเรื่องแบบนั้น
 เป็นใครก็คงฉุดรั้งเขาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่แย้ง แต่มาดามกลับส่ายศีรษะ

“เปล่าเลย..เธอเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะปลดปล่อยเขาได้ มิสเกรนเจอร์”

“หนู...” เฮอร์ไมโอนี่ก้มหน้า หยาดน้ำใสปริ่มไหวอยู่บริเวณริมขอบตา ความร้ายกาจของเขาตลอดปีนี้ทำให้เธอ
ไม่อยากจะอภัยให้เขาเลยแม้แต่น้อย

“เขาไม่เคยทำดีๆ กับเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียวหรือยังไง มิสเกรนเจอร์” มาดามถามอย่างใจเย็น
 เด็กหญิงก้มหน้า เธอหลับตาแล้วพูดค่อยๆ

“เขา...ก่อนหน้านี้..เขา...เขาดีกับหนูมาก..มากอย่างที่หนูไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างมัลฟอยจะดีกับใครได้แบบนั้น” 
เฮอร์ไมโอนี่พยายามสลัดความรู้สึกโหยหาอีกฝ่ายให้ออกไปจากมโนนึก

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น” มาดามถาม

“เรื่องมันเกี่ยวเนื่องกับการกลับมาของโวลเดอมอร์ และพวกผู้เสพความตายค่ะอาจารย์”
 เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองมาดามอย่างเจ็บปวด

“อาจารย์คะ..พ่อของเขาเป็นผู้เสพความตายนะคะ” มาดามพอมฟรีย์ถอนใจหนัก

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความสัมพันธ์ของเธอทั้งสองล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก 
เธอกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อไม่ให้สะอื้นไห้ออกมา

“มิสเกรนเจอร์ เรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่นะ” มาดามลูบผมเธอเบาๆ อย่างเอ็นดู

“เธออยากจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตหรือ ถ้าสักวันหนึ่งเขาต้องกลายไปเป็นผู้เสพความตาย
เพราะผิดหวังจากความรักในวัยเด็ก”

“เขาไม่เคยบอกสักคำว่าเขาชอบ หรือรักหนู” มาดามยิ้ม

“เขาไม่เคยบอก หรือไม่กล้าบอก? เขาไม่เคยแย้มอะไรออกมาให้เธอรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียวหรือ” เฮอร์ไมโอนี่นิ่ง 
หวนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่เธอกับเขาผจญภัยด้วยกันตอนปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา

“เขาเคยฝากข้อความดีๆ ไว้ให้หนู...แต่นั่นไม่ใช่การบอกรัก...หนูไม่เคยได้ยินจากปากเขาเองเลยแม้สักครั้ง” 
เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ เธอคิดว่าเธอคงไม่มีวันได้ยินคำพูดนั้นจากปากของอีกฝ่ายเป็นแน่
 คำพูดที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเธอว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ

“และหนูก็ไม่ต้องการให้คำพูดของเขาเป็นเพียงแค่ลมปากเป่า...หนูต้องการให้มันออกมาจากหัวใจของเขา”

“แล้วเธอจะยอมยกโทษให้เขาหรือ ถ้าเขายอมพูด” มาดามถาม

“หนูไม่ทราบค่ะ...แต่หนูคิดว่าถ้าเขากล้าพอที่จะยอมรับความจริงในเรื่องนี้ หนูก็กล้าพอที่จะให้อภัย 
และยินดีเสี่ยงชีวิตกับเขาตลอดไป” มาดามพอมฟรีย์ยิ้มอย่างพอใจในคำตอบของนักเรียนหญิงของหล่อน

“เธอรักเขา?” มาดามถามเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง หล่อนมองหน้าเด็กหญิงแน่แน่ว เฮอร์ไมโอนี่มองตอบมาดาม 
สีหน้ามั่นคงเด็ดเดี่ยว เธอไม่มีอะไรจะปิดบังมาดามที่ดูเหมือนจะมองความสัมพันธ์ของเธอ
กับมัลฟอยได้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกแล้ว 
เด็กหญิงยอมรับอาจารย์ของเธออย่างกล้าหาญ เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“มากเกินกว่าที่อาจารย์จะคาดเดาได้...”

มาดามพอมฟรีย์ยิ้มรับกับคำตอบนั้นด้วยหัวใจพองโต สำหรับมาดามแล้ว หล่อนรู้สึกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก 
นี่นับเป็นสัญญาณดีอย่างแรกเลยก็ว่าได้ นับจากเกิดเหตุการณ์วุ่นวายต่างๆ ขึ้น สิ่งที่หล่อนปรารถนานั้น

 ไม่เพียงแต่ช่วยประสานรอยร้าวให้กับคนทั้งสอง แต่มันมีความหมายมากมายกว่านั้น
 ตัวหล่อนเองต้องการลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาหากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนักเรียนสองคนนี้ 
หล่อนทราบดีว่ามัลฟอยเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกประหลาด

และร้ายกาจเพียงใด หากมีสิ่งใดไม่ได้สมดังใจของเขา ที่สำคัญ หล่อนไม่ต้องการให้มีจำนวนผู้เสพ
ความตายเพิ่มมากขึ้นอีกแล้ว
ในอนาคต ฉะนั้น หล่อนจึงพยายามตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยการนำพาตัวเองเข้ามา
ข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเด็กๆ แบบนี้

เมื่อได้รับคำตอบที่เป็นที่พอใจแล้ว มาดามพอมฟรีย์จึงเห็นสมควรว่าเฮอร์ไมโอนี่ควรจะพักผ่อนเสียที 
หล่อนหยิบขวดยายื่นส่งให้คนไข้ของหล่อน เด็กหญิงรับขวดยานั้นมาถือไว้

“ฉันหมดเรื่องที่จะคุยกับเธอแล้ว...ทีนี้ก็ถึงตาเธอล่ะ..ที่จะต้องคุยกับเขา” 
มาดามลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพูดกับเฮอร์ไมโอนี่ด้วย
น้ำเสียงที่ยังคงความปราณีอย่างไม่ขาดสาย

“ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม และมีปาฏิหารย์ในตัวของมันเองเสมอ
 ฉันหวังว่าเธอจะค้นพบมันในตัวของเธอทั้งสองในเร็วๆ นี้นะ” มาดามยิ้ม

“การให้อภัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะพึงกระทำให้แก่มิตรภาพของกันและกัน....
อย่าให้ทิฐิ มาอยู่เหนือความปรารถนาของหัวใจนะจ๊ะ”
 เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบว่าอะไร เธอเพียงแต่มองน้ำยาในขวดยา สีหน้าตรึกตรองครุ่นคิด

“เอาล่ะ...ดื่มยาแล้วพักผ่อนได้แล้ว เธอยังมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกเยอะ..มันหนักหนา..
แต่ผลของมันก็คุ้มค่าเสมอ เชื่อฉัน...”

มาดามพอมฟรีย์ยืนมองเฮอร์ไมโอนี่ดื่มยาจนหมดขวดแล้วรับขวดยาเปล่าๆ คืนมาจากเธอ
 รอให้เธอลงนอนแล้วจึงเดินจากไป

เฮอร์ไมโอนี่นอนมองเพดานห้องทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ เธอถอนหายใจแล้วหลับตา พึมพำกับตัวเองเบาๆ

”แล้วนายล่ะ...รู้สึกเหมือนกับฉันบ้างหรือเปล่า...เดรโก มัลฟอย..”

 

. . . . . . . . . . . . . .

*****11*****

 

ยาที่มาดามพอมฟรีย์ปรุงให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้มีส่วนผสมของยานอนหลับใดๆ ทั้งสิ้น
 เด็กหญิงจึงยังคงนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
 ในใจได้แต่คิดเวียนวนอยู่กับบทสนทนาเมื่อครู่ เฮอร์ไมโอนี่ ขยับผ้าห่มขึ้นมาโอบกระชับกับร่างของตน
 พยายามข่มตาให้หลับ

 แต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาของเธอจะปิดลง เฮอร์ไมโอนี่ก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางหน้าต่าง
 เมื่อเธอหันไปมองก็พบมัลฟอยขี่นิมบัส2001
ของเขาอยู่เหนือขอบหน้าต่างห้องพยาบาล เฮอร์ไมโอนี่ขยับลุกขึ้นนั่งทันที เธอเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“นายมาได้ยังไง?!?” มัลฟอยขมวดคิ้ว เขาค่อยๆ หย่อนตัวเข้ามาในห้องพยาบาลแล้วเอียงศีรษะ
ไปทางไม้กวาดของตนเป็นเชิงบอก

“ถามบื้อๆ” เขากล่าว เฮอร์ไมโอนี่ชักสีหน้าไม่พอใจ

“ออกไปนะ” เธอไล่ แต่มัลฟอยกลับขยับเข้าไปหาเธอที่เตียง

“มากับฉัน เกรนเจอร์” เขาคว้าข้อมือเธอทันทีอย่างเอาแต่ใจ แต่เฮอร์ไมโอนี่สะบัดมือออก มัลฟอยหรี่ตามองเธอ

“หรือว่าอยากให้เจ้าพวกนี้ได้ยินเรื่องที่เราจะคุยกัน” เขาบุ้ยใบ้ไปทางเตียงนอนที่เพื่อนๆ
 ของเธอกำลังหลับสบายอยู่ เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มเยาะ

“พวกเขาไม่มีทางตื่นขึ้นมาหรอก จนกว่าจะถึงตอนเช้า เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่ไปไหนกับนายทั้งนั้น”

“ต่อให้พวกมันเป็นศพนอนอยู่ ฉันก็ไม่ต้องการพูดอะไรต่อหน้าพวกมัน!” มัลฟอยตะคอก 
เขากระชากข้อมือเฮอร์ไมโอนี่แล้วลาก
เธอออกจากเตียงอย่างไม่สนใจต่อแรงทัดทานของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ขัดขืนเต็มที่
 แต่แรงคนป่วยอย่างเธอมีหรือจะสู้แรงของนักกีฬาหนุ่มอย่างมัลฟอยได้

เขาบังคับให้เธอนั่งลงบนนิมบัส2001ของเขา แล้วนั่งคร่อมร่างของเธอไว้อีกทีหนึ่ง
 ก่อนจะหันหัวไม้กวาดให้ทะยานออกไปจากห้องพยาบาล
 เฮอร์ไมโอนี่เกาะไม้กวาดแน่น หลับตาปี๋ด้วยความกลัว มัลฟอยจับมือเธอให้โอบรอบเอวเขาไว้แต่เธอก็ขัดขืน 

การบังคับไม้กวาดจึงเป็นไปได้อย่างลำบาก แต่เขาก็ยังคงสามารถประคับประคองทิศทางได้อย่างถูกต้อง
 ไม่นานมัลฟอยก็พาเฮอร์ไมโอนี่ร่อนลงสัมผัสกับพื้นหญ้านุ่มๆ บริเวณทะเลสาบ
 เฮอร์ไมโอนี่ลงไปทรุดนั่งอยู่กับพื้นทันทีที่เท้าของเธอสัมผัสกับพื้นหญ้า

 เด็กหญิงหอบฮั่กด้วยความตื่นเต้น--เธอไม่ชอบบินเท่าไหร่นักหรอก มัลฟอยเห็นทีท่าของเธอก็พอจะเดาได้ 
เขาแสยะยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยให้เธออยู่แบบนั้นสักพักก่อนจะเริ่มบทสนทนาใดๆ

เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ เอนกายพิงต้นไม้ใหญ่ในมุมที่เธอเคยนั่งเป็นประจำ ถึงแม้วิธีการที่นำพาเธอมาที่นี่จะ
ไม่เป็นที่พึงใจเธอนัก
 แต่ก็นับว่านานเหลือเกินแล้วที่เธอไม่ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศปลอดโปร่งแบบนี้ 
ช่วยไม่ได้เลยที่สายลมที่พัดเอื่อยๆ

 ระผิวของเธอไปนั้นจะทำให้เธอหวนนึกถึงอดีตที่เธอและมัลฟอยเคยมีร่วมกันที่นี่ เฮอร์ไมโอนี่หลับตา ปล่อย
ให้สายลมที่พัดอ้อยอิ่งอยู่ทั่วบริเวณนั้นอาบไล้ผิวกายของเธอ เด็กหญิงปล่อยความคิดคำนึงให้เพริดไปกับสายลม 
โดยลืมไปแล้วว่ามีคนอีกคนหนึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วย

“เกรนเจอร์” เสียงยานคางของเขาดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบสงัด หลังจากที่เขาปล่อยให้เธอรื่นรมย์กับบรรยากาศมา
พอสมควรแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นทันที เธอไม่ได้เหลียวกลับไปมองเขา แต่คอเธอกลับแข็งตึง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย 

เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกำลังคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา 
แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้
--ในเวลาที่เธอต้องการผ่อนคลายแบบนี้...

“ได้โปรด.....หันมาพูดกับฉัน...” คำพูดของมัลฟอยช่างมีผลต่อจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ เด็กหญิงลุกขึ้นยืน
 เธอหลับตาพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าไปทางเขา

“นายมีอะไรจะพูด” เธอพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติที่สุด มัลฟอยหรุบตาลงต่ำ
 เฮอร์ไมโอนี่สังเกตว่ามือของเขานั้นกำแน่นจนสั่นน้อยๆ

“ตอนนี้พ่อของฉันอยู่ที่อัซคาบัน” มัลฟอยพูดเสียงเครียด นัยน์ตาเคืองแค้น
“นั่นฉันรู้แล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ เชิดหน้าขึ้นนิดๆ เพื่อบดบังความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้

“เพื่อนของเธอทำให้พ่อของฉันต้องไปอยู่ที่นั่น!” น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเองก็พยายามบังคับ
อารมณ์ของตัวเองอยู่อย่างยากลำบากเช่นกัน

“นายเข้าใจถูกแล้ว แต่นายควรรู้ไว้ด้วยว่า เขาสมควรที่จะได้รับโทษแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่กล่าว มัลฟอยตวัดสายตา
ขึ้นมามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ทันที เขาจ้องหน้าเธอเขม็งราวกับต้องการจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว
 เฮอร์ไมโอนี่เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามข่มความกลัวไว้ไม่ให้เขาสังเกตเห็น

“แล้วฉันล่ะ? สมควรที่จะได้รับโทษแบบไหนจากเธอ?” เขาถาม เฮอร์ไมโอนี่นิ่งอึ้ง
 ไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามเธอแบบนี้
 เด็กหญิงอึกอักพูดอะไรไม่ออก เธอจึงได้แต่ก้มหน้ามองพื้นนิ่ง

“เกรนเจอร์” มัลฟอยเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่ทั้งสองเงียบกันไปครู่ใหญ่

“เธอรักหมอนั่นจริงอย่างที่เธอพูดหรือเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“หมอนั่นน่ะใคร?” 

“พอตเตอร์!” มัลฟอยพ่นคำพูดชื่อแฮร์รี่ออกมาอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก

“ใช่..ฉันรักเขา...แต่ในฐานะเพื่อนนะ” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวเสียงเรียบ “นายจะรู้ไปทำไม” มัลฟอยอึกอัก

"ถ้างั้น......” เขาเงียบไปพักหนึ่ง สายตาไล่เลี่ยไปตามพื้นหญ้า เห็นได้ชัดว่ากำลังลังเลว่าควรจะเลือก
ใช้คำพูดแบบไหนจึงจะเหมาะสม
 “เราสองคนยังเป็นเหมือนเดิมได้ใช่ไหม..” มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างมีความหวัง 

เขามีความรู้สึกว่าไม่ได้มองเธอเต็มตาแบบนี้มานานมากแล้ว แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ เธอกำมือแน่น 
เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นบางเฉียบ และยังคงไม่ยอมสบตาเขา เด็กหญิงนึกไปถึงความร้ายกาจตลอด
ปีที่เขาเพียรทำกับเธอและเพื่อนๆ 
เธอรู้สึกว่าลมหายใจของเธอขาดช่วงก่อนที่เธอจะตัดสินใจตอบ

“...คงไม่ได้....” เสียงที่เฮอร์ไมโอนี่เปล่งออกมานั้น แทบจะไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ แต่มันก็ดังพอที่จะไปกระ
ทบหัวใจของอีกฝ่ายจนแทบเข่าอ่อน เขาก้มหน้าลงมองมือข้างหนึ่งของตน
ที่กำสร้อยทองคำขาวที่เป็นของขวัญวันคริสมาสต์ของเธอ 

เขาลังเลใจที่จะคืนมันให้กับเด็กหญิง มัลฟอยก้าวเท้าเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่ 
แต่ทันทีที่เขาทำแบบนั้น เฮอร์ไมโอนี่ก็ขยับตัวออก
ห่างโดยอัตโนมัติ มัลฟอยชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างปวดร้าว

“ทำไม...เกรนเจอร์”

“ไม่เห็นต้องถามเลยมัลฟอย เหตุการณ์ที่ผ่านมามันเป็นคำตอบทั้งหมดอยู่แล้ว” เฮอร์ไมโอนี่กัดฟันตอบ
 เด็กหญิงรู้สึกตกใจกับคำตอบของตัวเอง เธออยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ เธอไม่อยากจะเชื่อ
เลยว่าตัวเองจะพูดอะไรออกไปแบบนั้น 
มัลฟอยเพ่งมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างผิดหวัง

“เธอเคยรู้บ้างหรือเปล่า ว่าเธอคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน” มัลฟอยกล่าวเสียงเครือ เฮอร์ไมโอนี่ชะงักงัน
 เธอเบือนหน้าหลบสายตาเขา พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่รู้สึกผิด

“ฉันต้องเจอเรื่องอะไรมามากมายหลายเรื่องก่อนที่จะมาพบกับเธอ” เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงของคนสิ้นหวัง

“ฉันเคยหวังไว้ว่า เธอจะมาเป็นผู้ปลดปล่อยฉันออกจากความทุกข์ทรมานที่ฉันได้รับ” เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบว่าอะไร
 เธอได้แต่เพียงก้มหน้ามองพื้น

“แต่เธอกลับกลายเป็นคนที่เพิ่มความทุกข์ทรมานให้ฉันอย่างใหญ่หลวง” เขาหยุดมองหน้าเธอก่อนจะพูดต่อไปอีก

“เธอคิดว่าฉันมีความสุขอย่างแท้จริงเหรอ ที่เกิดมาในตระกูลที่นิยมศาสตร์มืด
 ฉันผิดด้วยเหรอที่ฉันเลือกเกิดไม่ได้” เสียงของเขาเริ่มสั่น

“ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลย กับชะตาชีวิตที่ฉันไม่ได้เป็นผู้กำหนดมันขึ้น” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงมองพื้น
 เธออยากจะทำเป็นไม่ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังจะพูด

“ฉันผิดด้วยเหรอ ที่ฉันไม่เหมือนเธอ หรือใครๆ” มือของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำอยู่แน่นเริ่มสั่นนิดๆ

“ถึงแม้ว่าพ่อของฉันจะทำแบบนี้ หรือไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง แต่เขาก็ยังเป็นพ่อของฉันไม่ใช่เหรอ”
 เขาสูดลมหายใจเข้าลึก

“ฉันผิดด้วยหรือที่ฉันรักพ่อของฉัน” เขานิ่งไปสักพัก เพ่งพินิจดวงหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ที่
ไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตากับเขา 
ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงอันแหบพร่าออกมาอีกครั้ง

“ฉันผิดด้วยเหรอ ที่ฉันรักเธอ” ทันทีที่คำพูดนี้ของเขาลอยล่องมากระทบโสตประสาท 
เฮอร์ไมโอนี่ก็เงยหน้าขึ้นมอง
เขาอย่างไม่เชื่อหู หัวใจเธอเต้นเร็วและแรง รู้สึกว่าลมหายใจติดขัดและถี่กระชั้น
 มัลฟอยก้าวเท้าเข้ามาหาเฮอร์ไมโอนี่

“ฉันรักเธอ เกรนเจอร์” เขากระซิบออกมาเสียงแผ่ว แต่มันก็ดังพอที่เฮอร์ไมโอ
นี่จะซึมซับทุกถ้อยคำนั้นไว้ในทุกอณูของความรู้สึก

“รักมาก...อาจจะมากเกินกว่าที่คนเราจะรักใครสักคนได้...” ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่ดวงตาของเธอนิ่ง 
เฮอร์ไมโอนี่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น คำพูดทั้งหมดเมื่อครู่ของเขาก้องสะท้อนอยู่ในห้วงสำนึก 
เด็กหญิงรู้ใจตัวเองในทันทีว่า
ไม่สามารถแข็งขืนอีกต่อไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของเขาแต่เพียงผู้เดียวจริงอย่างที่เขาว่า

เฮอร์ไมโอนี่ประสานสายตากับเขา ดวงตาสีซีดที่ดูจริงจังของอีกฝ่ายยังคงประทับนิ่งอยู่บนดวงหน้าของเด็กหญิง 
เฮอร์ไมโอนี่ขยับตัวช้าๆ ไปหาเขา ดวงตายังคงประสานกันมั่นอย่างไม่วางวาย
 เมื่อย่างก้าวของเธอเคลื่อนไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
 เฮอร์ไมโอนี่ก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นไปแนบประทับข้างแก้มของมัลฟอยอย่างแผ่วเบา

“นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมา”

พูดจบเธอก็เป็นฝ่ายโน้มหน้าของเขาลงมาใกล้ แล้วบรรจงแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากบางเฉียบของเขา 
เธอขยับริมฝีปากเบาๆ ส่งผ่านความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างอ่อนโยน แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ 

จากเฮอร์ไมโอนี่ แต่การกระทำของเธอตอนนี้ มีค่ามากมายกว่าคำพูดใดๆ นัก ถึงแม้จุมพิตของเธอในครั้งนี้จะไม่
ดูดดื่มลุ่มลึกเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แต่มัลฟอยรู้ตัวดีว่า รอยจุมพิตที่อ่อนโยนและนุ่มนวลที่เธอกำลังส่งผ่านมาให้นั้น
 เขาจะไม่มีวันลืมมันเลยจวบจนตลอดชั่วชีวิต

“ขอบคุณที่ปลดปล่อยฉัน เกรนเจอร์” เขากระซิบเหนือริมฝีปากของเธอเมื่อเธอค่อยเลื่อนริมฝีปากออกจากเขา

“หลังจากที่พ่อของฉันต้องเข้าไปอยู่ที่อัซคาบันแล้ว เธอคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันยังอยากจะอยู่ที่นี่” เขามองตาอีกฝ่ายนิ่ง

“การได้อยู่กับเธอคือทางเดียวที่ชีวิตฉันจะมีความสุข” มัลฟอยโอบกอดร่างแบบบางของเฮอร์ไมโอนี่กระชับมั่นไว้ในอ้อมแขน
 เขาซุกหน้าลงบนไหล่บางของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ไล้นิ้วมือเรียวยาวของเธอไปบนเส้นผมสีบลอนด์ของเขา 
เธอยิ้มน้อยๆ แล้วถามเขาเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“แล้วถ้าฉันป่วยล่ะ?”

“ถ้าเธอเป็นโรคติดต่อ ฉันก็ยินดีจะติดจากเธอ” เด็กหญิงหัวเราะเบาๆ

“นายไม่คิดจะรักษาฉันหรอกเหรอ?” เธอพูดกลั้วหัวเราะ เขาไม่ตอบ แต่มีรอยยิ้มแห่งความพึง
ใจปรากฏขึ้นบนมุมปากบางซีดนั้น
 มัลฟอยสูดดมกลิ่นหอมจากพวงแก้มของเฮอร์ไมโอนี่เข้าเสียเต็มปอด ก่อนจะซุกหน้าลงบนไหล่ของเธออีกครั้ง 
ความเครียดขึงที่มีมาก่อนหน้านี้ดูจะมลายหายไปจนหมดสิ้น

สำหรับเฮอร์ไมโอนี่แล้ว ความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีต่อเธอ ดูจะทำให้เธอสามารถยกโทษให้เขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย 
มันเป็นสัญญาณว่าต่อจากนี้ไป สิ่งต่างๆ ที่รายล้อมรอบตัวพวกเขาทั้งสองกำลังเตรียมพร้อม
ที่จะพบกับความเปลี่ยนแปลง

มัลฟอยหลับตาซบอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่นิ่ง เขารู้สึกราวกับได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่ผูก
มัดเขาไว้มานานแสนนาน
 ด้วยความอบอุ่นที่เขาได้รับจากเธอในวินาทีนี้ เขาอยากจะคิดว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านมาคือความฝัน

“เธอคือหนึ่งเดียวในใจของฉัน เป็นคนเดียวที่ฉันจะรักไปจนวันตาย” เขากระซิบกับตัวเองเบาๆ 
เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้น แล้วถาม

“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” เขาหน้าแดงและไม่ยอมตอบคำถามของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ
 เธอผละออกจากเขาแล้วจูงมือเขาให้เดินไปนั่งใต้ต้นไม้กับเธอ

เฮอร์ไมโอนี่นั่งลงโดยมีมัลฟอยเอนซบลงมาบนตัก เธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา 
ทั้งสองทอดสายตาไปยังทะเลสาบ 
อยากจะให้วันเวลาแบบนี้หมุนเวียนอยู่เรื่อยไปในวิถีชีวิตของทั้งสอง มัลฟอยกุมมือข้างหนึ่ง
ของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ เขาภาวนาให้โลกหยุดหมุน เฮอร์ไมโอนี่ใช้มือข้างที่เป็นอิสระลูบไล้
เรือนผมของเขาอย่างแผ่วเบา มัลฟอยหลับตาลง อยากจะจดจำสัมผัสนี้ไว้
ให้นานที่สุด ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก แต่มันเป็นความเงียบที่มีค่ายิ่งสำหรับพวกเขา 
มัลฟอยดื่มด่ำกับความรู้สึกที่รายล้อมเขาอยู่ตอนนี้ วาดฝันไปถึงวันข้างหน้าที่จะมีเฮอร์ไมโอนี่คอยอยู่เคียงข้าง

“เธอเชื่อหรือเปล่า ว่าการที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักคือพรอันประเสริฐ” จู่ๆ เขาก็กล่าวขึ้นทำลายความเงียบ 
เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้น เธอยิ้ม แต่ก็ไม่ตอบว่าอะไร

“มันวิเศษจริงๆ ที่จะได้วาดฝันถึงเวลาที่อยู่กับคนที่คอยมองหน้าเราไปจนยามที่เราแก่ตัว
 แล้วยังเห็นเราหนุ่มแน่นอย่างที่เราคิด” เขาพูดเหมือนคนเพ้อ
 เฮอร์ไมโอนี่หัวเราะหึหึ แล้วส่ายศีรษะกับความเพ้อฝันของเขา
 มัลฟอยขยับกายลุกขึ้นมาประสานสายตากับฝ่ายหญิง

“เกรนเจอร์...ฉันอยากแก่เฒ่าไปพร้อมกับเธอ” คำพูดนี้มีผลต่อความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่อย่างใหญ่หลวงนัก
 เธอรู้ดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เธอยอมรับว่าเธอดีใจ..แต่มันจะเป็นไปได้ละหรือ
..มัลฟอยมองดวงตากลมใสสีน้ำตาลของ

เฮอร์ไมโอนี่ที่มีน้ำตาคลอหน่วย เขาจุมพิตพวงแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างแผ่วเบา
ก่อนจะเลื่อนลงมาสัมผัสริมฝีปาก มัลฟอยกุมมือเธอมั่น รู้สึกถึงความสั่นสะท้านของเด็กหญิง
 เมื่อคลายริมฝีปากออก เฮอร์ไมโอนี่จึงกล่าวออกมาค่อยๆ

“อีกไม่นาน พ่อของนายก็คงจะออกมาจากอัซคาบันแล้ว เรื่องของเรามันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”
 เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างเศร้าๆ มัลฟอยส่ายศีรษะ

“ฉันจะทำให้มันเป็นไปได้” เขาพูดอย่างดื้อรั้น เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มอย่างอ่อนแรง

“นายไม่กลัวพ่อนายจะทำโทษเอาเหรอ” เธอถาม มัลฟอยมองตาเธอด้วยสายตาที่แน่วแน่

“สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือการที่จะต้องสูญเสียเธอไป” ได้ยินดังนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็โผเข้ากอดเขาไว้แน่น 
เธอปล่อยให้น้ำตารินหลั่งออกมาท่วมบ่าของอีกฝ่าย มัลฟอยกระชับร่างอันสั่นสะท้านของเธอเอาไว้
 เขาไม่รู้จะสรรหา

คำพูดใดๆ มาปลอบโยนคนที่เขารักได้ เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเรื่องของพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง 
และเขาเองก็ยังมองไม่เห็นทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยด้วย

เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย เธอใช้หลังมือเช็ดน้ำตา ก่อนจะพูดกับเขา

“พาฉันกลับห้องพยาบาลเถอะมัลฟอย ดึกมากแล้วนะ” มัลฟอยนิ่งเงียบ แต่ก็เดินไปหยิบนิมบัส2001ของเขาแต่โดยดี 
เฮอร์ไมโอนี่เดินไปนั่งบนไม้กวาดของเขา มัลฟอยค่อยๆ บังคับให้ไม้กวาดทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
 เด็กหญิงซบหน้าลงบนอกอุ่นของเขา มัลฟอยกอดเธอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เขากระซิบกับเธอเบาๆ

“เกรนเจอร์ ฉันอยากให้เธอรู้ไว้เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนใจจากเธอ”
 เขาก้มหน้าลงมองเฮอร์ไมโอนี่ เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาแล้วยิ้ม

“ฉันก็เหมือนกัน มัลฟอย” มัลฟอยยิ้มรับ แล้วก้มลงจุมพิตหน้าผากของเธอเบาๆ สักพัก
 ไม้กวาดของเขาก็พาพวกเขาทั้งสองมาถึงห้องพยาบาลอันเงียบสงัด เฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่เตียงของเธอ
 มัลฟอยตามมาส่ง เขามองเตียงแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาที่เธอ

“อยากนอนเฝ้าจัง..” เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง เธอจ้องหน้าเขาด้วยสายตาขุ่นเขียว มัลฟอยหัวเราะ

“พูดเล่นน่า..ถ้าจะทำอะไรกับเธอ ฉันไม่ยอมทำต่อหน้าเจ้าหัวแดงนั่นหรอก” เฮอร์ไมโอนี่ปาหมอนใส่เขาทันที

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” เขาไม่พูดอะไรแต่กลับเดินเข้ามาใกล้เธอด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่ม
 เฮอร์ไมโอนี่กระถดถอยหลังไปจนติดเตียง
 เขาก้มหน้าลงมาใกล้เธอจนจมูกทั้งสองแทบชนกัน

“ไม่พูดก็ได้ งั้นทำอย่างอื่นแทนนะ” เขาแกล้งงับริมฝีปากบนของเธอเบาๆ แล้วดันตัวเธอลงไปที่เตียง 
เฮอร์ไมโอนี่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกเรี่ยวแรงที่มีอยู่ดูจะหดหายไปเสียเฉยๆ เธอดันตัวเขาให้ออก
ไปแต่มัลฟอยกลับรวบมือเธอเอาไว้ทันควัน เขายิ้มเมื่อรู้สึกว่าตัวเธอสั่น

“กลัวเหรอ?” เขาถาม เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ เธอได้แต่ภาวนาให้มาดามพอมฟรีย์เข้ามาขวางเขาเอาไว้
 แต่มัลฟอยกลับเป็นฝ่ายผละออกไปเสียเอง เขาหัวเราะเบาๆ แล้วขยี้ผมเธอเล่น

“ล้อเล่นน่า..บอกแล้วไง ถ้าจะทำอะไรต้องในที่ที่บรรยากาศดีกว่านี้” เฮอร์ไมโอนี่หน้าบึ้ง

“คิดเหรอว่าฉันจะยอม”

“คิดเหรอว่าจะขัดขืนได้” เขาสวน เฮอร์ไมโอนี่เม้มริมฝีปากนิ่งไม่ตอบ
 แต่เลือดที่สูบฉีดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอแดงเรื่อไปจนถึงใบหู มัลฟอยส่ายศีรษะ

“ไม่ทำหรอก..” แล้วเขาก็หยิบของออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม

“เอามาคืน...ยังอยากรับมันไว้หรือเปล่า” เขาถาม พลางชูสร้อยทองคำขาวในมือขึ้น เฮอร์ไมโอนี่หรุบตาลงต่ำ
 แล้วพยักหน้าช้าๆ มัลฟอยจึงเอื้อมมือไปหลังต้นคอของเด็กหญิง เพื่อใส่สร้อยให้เธอ เขาเคล้นคลึงต้นคอของเธอเบาๆ
 ก่อนจะบรรจงจุมพิตเธออีกครั้ง

“หายเร็วๆ นะ เกรนเจอร์” เขากล่าวเสียงนุ่ม ก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของเธอ แล้วหย่อนกล่องของขวัญกล่องเล็กๆ 
ให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าฉงน

“ของขวัญคริสมาสต์ย้อนหลังน่ะ..” เขายิ้ม “ให้ฉันกลับออกไปก่อนค่อยเปิดนะ” เขาพูดเก้อๆ ริ้วรอยสีแดงผุดขึ้นเกลื่อนใบหน้าของเขา

มัลฟอยเดินไปที่หน้าต่างห้องพยาบาล เฮอร์ไมโอนี่เดินตามไปส่ง

“ฉันไม่มีอะไรให้นายเลย..ขอโทษด้วยนะ..” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างรู้สึกผิด แต่มัลฟอยส่ายศีรษะ
 เขาลูบผมเธอเบาๆ เป็นการปลอบใจ

“เธอคือของขวัญที่มีค่าที่สุดที่ฉันเคยได้รับ เกรนเจอร์” เขายิ้ม เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มรับ
 มัลฟอยจุมพิตที่แก้มเฮอร์ไมโอนี่เบาๆ อีกครั้ง ก่อนจะขึ้นขี่นิมบัส2001

“เจอกัน เกรนเจอร์” เขาโบกมือให้เธอ ก่อนจะบังคับไม้กวาดให้ทะยานไปยังหอสลิธีริน

เฮอร์ไมโอนี่ยืนมองเขาจนลับไปจากสายตาแล้วจึงเดินกลับไปนั่งลงบนเตียงนอน เธอมองกล่องของขวัญเล็กๆ 
ในมือ แล้วค่อยๆ แกะมันออก ภายในบรรจุต่างหูคู่เก๋ที่ประดับด้วยอัญมณีลาพิส ลาซูลี่และมรกต* เมื่อนึกถึงความหมายของมัน 
เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับหน้าแดง ใต้แป้นต่างหูมีกระดาษชิ้นเล็กๆ พับอยู่ เด็กหญิงหยิบขึ้นมาแกะออกอ่าน

 

Our love is like the wind...

You cannot see it, but you can feel it.

I love you Hermione...

You are the love of my life...

Merry Christmas...**

 

หยาดน้ำใสร่วงหล่นลงมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยทันทีที่อ่านจบ เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นมาปิด
ใบหน้ากลั้นเสียงสะอื้น
ไม่ให้เล็ดลอดไปถึงหูมาดามพอมฟรีย์ เธอดีใจเหลือเกินและไม่คิดว่าจะมีใครใน
โลกนี้อีกแล้วที่จะรักเธอได้มากถึงเพียงนี้ 

ไม่ว่าวันเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปสักแค่ไหน ไม่ว่าวิถีชีวิตของเธอและมัลฟอยจะโลดแล่นไปในทางใด
 เฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยแน่
ใจตัวเองดีเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต..เธอจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปรักชายอื่นใดได้อีกเลย 
นอกจากชายหนุ่มผิวสีซีดผู้เย่อหยิ่งคนนี้

เด็กหญิงยิ้มกับกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีคุณค่าต่อความรู้สึกอย่างมหาศาลตรงหน้า 
เธอบรรจงเก็บของขวัญที่เขาให้อย่างทะนุถนอม 
แล้วล้มตัวลงนอน รอคอยวันเวลาที่กำลังจะหมุนเวียนเข้ามาในชีวิตอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว 
เธอเริ่มเชื่อแล้วว่า 

ปาฏิหาริย์มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีหัวใจอันเต็มเปี่ยมไปด้วยรักเสมอดังเช่นที่มาดามพอมฟรีย์ได้กล่าวไว้
 เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยดวงใจที่เปี่ยมสุข

“ฉันก็รักเธอเช่นกัน มัลฟอย เธอจะนั่งอยู่กลางใจของฉันเสมอ และตลอดไป...”

 

The End..

 

 

* - ลาพิส ลาซูลี่ (Lapis Lazuli) เป็นหินที่มีสีน้ำเงินเข้ม มีละอองทองโรยอยู่ในเนื้อหิน
 จนดูเหมือนสะเก็ดดาวบนพื้นสี
น้ำเงินเข้มของท้องฟ้ายามค่ำคืน จึงเชื่อกันว่าเป็นหินที่มาจากฟากฟ้า เชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่สวม
ใส่มีความรักที่เป็นนิรันดร์ ถ้าคนรักมอบให้ แปลว่า คุณคือหนึ่งเดียวในใจของเขา

  - มรกต (Emerald) แสดงถึงความมั่นคง จริงใจ และความรักที่แท้จริง รักเพราะรัก ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

(ขอบคุณข้อมูลเรื่องอัญมณีหิน จากเจ๊ลู Luthien ที่รักซ์ค่ะ ^_^)

 

** Our love is like the wind...You cannot see it, but you can feel it.

    I love you Hermione...You are the love of my life...

    ความรักของเราเหมือนสายลม มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้..

    ฉันรักเธอเฮอร์ไมโอนี่ เธอคือรักแท้ของฉัน

    (สำนวน You are the love of my life แปลว่า คุณคือรักแท้ของฉันค่ะ)

 

 


  
    






 


No comments:

Post a Comment