Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Wednesday, September 10, 2014

Chapter 9: ในป่าต้องห้าม



บทที่ 1

 ณ โรงเรียนเวทมนตร์ฮอกวอตส์... 

แฮร์รี่ พอตเตอร์รู้สึกตัวตื่นขึ้นและกำลังหวังให้พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่านี้ เพราะโอลิเวอร์ วู้ด กัปตันทีมควิดดิช มักจะมาหาพร้อม(หรือก่อน) พระอาทิตย์ขึ้นกับประโยคเดิม ๆ คือ 

"ซ้อมควิดดิช! เร็ว!" 

แฮร์รี่ คิดได้ไม่ทันไรวู้ดก็โผล่พรวดเข้ามาราวกับว่าเมื่อคืนนี้เขานอนอยู่ใต้เตียงของแฮร์รี่นั่นเอง 

"เร็วเข้าแฮร์รี่ ฉันจะไปรอข้างล่างนะ" วู้ดเร่ง 

"พวกนายจะปลุกันเบา ๆ หน่อยได้ไหม" รอนงัวเงียบ่น ยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง 

"โทษทีรอน" วู้ดหันไปบอก ก่อนจะกำชับแฮร์รี่ซ้ำอีก 

แฮร์รี่เปลี่ยนชุดไปหาวไป แล้วก็แปลกใจที่เห็นรอนลุกขึ้นบ้าง 

"ตาค้างซะแล้ว ฉันจะไปดูด้วยละกัน" เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวม 

เฟร็ดกับจอร์จกำลังนั่งพิงหลับกันอยู่ข้างสนาม เมื่อทั้งสามคนเดินลงมา วู้ดก็เดินไปตบไหล่เฟร็ดให้ตื่น 

ฝาแฝดพ่นลมหายพรืดเป็นทางยาวขณะยืนขึ้นช้า ๆ ผู้เล่นคนอื่น ๆเดินมารวมกัน วู้ดจึงเริ่มพูดขึ้น 

"วันนี้เราจะซ้อมกันให้หนัก ("แล้วคิดว่าทุกวันนี้เราทำอะไรกันอยู่ล่ะ" จอร์จบ่น) - - และฉันคิดว่าเราจะสามารถเอาชนะทีมสลิธีรินได้ในเวลาที่เร็วกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา" เขาตะโกนบอกลูกทีมอย่างเชื่อมั่น 

และแล้วการซ้อมแสนหฤโหดก็เริ่มขึ้น ถึงแม้เฟร็ดกับจอร์จจะบ่นก่อนการซ้อมจะเริ่มทุกครั้ง แต่เมื่ออยู่ในสนาม พวกเขาก็เป็นนักกีฬาที่เอาจริงเอาจัง 

"แปลกนะ วันนี้ฟลินต์ไม่ยักมาแย่งสนามเรา" แฮร์รี่หอบฮัก ๆ ถามวู้ด เขาลงมาอยู่บนพื้นสนามแล้วเดินโซเซไปที่เก้าอี้ 

"ไม้กวาดของทีมสลิธีรินหายไปด้ามหนึ่ง" วู้ดบอกแล้วลงมือเปิดกระติกน้ำมารินแจกทุกคน "ฉันได้ยินมา" 

"ของใครล่ะ" 

"ของซีกเกอร์ แต่เห็นเขาบอกว่าเขารู้ว่าอยู่ไหนแล้ว" วู้ดตอบอย่างไม่สนใจ 

"มัลฟอยน่ะเหรอ" แฮร์รี่ถามอย่างสงสัย เพราะมัลฟอยไม่ใช่คนที่จะทิ้งไม้กวาดดี ๆ ไว้ที่โน่นที่นี่ 

"หายไปซะก็ดี!" รอนสมน้ำหน้า มัลฟอยเคยดูถูกว่าเขาไม่มีทางซื้อไม้กวาดได้แม้แต่ด้ามที่กระจอกที่สุด 

แฮร์รี่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วเขาก็เห็นเฮอร์ไมโอนี่เดินถือหนังสือเข้ามาในสนาม พวกเขาก็ทัก 

"หวัดดีเฮอร์ไมโอนี่" 

เด็กหญิงนั่งลงข้างเพื่อนทั้งสอง 

"อย่าบอกนะว่าเธอตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปห้องสมุด" รอนมองหนังสือในมือของอีกฝ่าย 

"ฉันกลัวว่าคงต้องตอบว่าใช่นะรอน" เธอตอบแล้วลงมือกางหนังสือออกอ่าน 

"พูดเป็นเล่น มันยังไม่เปิดหรอก" รอนร้อง 

"ฉันก็เลยมาดูแฮร์รี่ก่อนไงล่ะ" เฮอร์ไมโอนี่พูด ยังไม่ละสายตาจากหนังสือ 

"นั่นน่าปลื้มใจเหลือเกินนี่!" รอนประชด 

เฮอร์ไมโอนี่ปิดหนังสือเสียงดัง แล้วพ่นลมหายใจพรืด 

"ฉันไม่เคยพลาดดูควิดดิชที่แฮร์รี่เล่นเลยซักครั้งนะ - - " เด็กหญิงพูดอย่างมีอารมณ์ 

"แต่ฉันก็ควรมีเวลาส่วนตัวบ้างสิ" 

รอนขมุบขมิบปากเพื่อจะได้ไม่เถียงอะไรออกมาให้ยาวยืด ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ยินประโยคว่า "เธอคงไม่คิดว่าฉันจะเกาะพวกเธออยู่ตลอดหรอกนะ" หรือ "เวลาส่วนตัวของฉันเธอไม่ควรก้าวก่าย" 

แฮร์รี่ดูเหมือนจะรู้ว่าควรไกล่เกลี่ยสถานการณ์ดีกว่าจึงพูดขึ้น 

"แล้วจะไปอ่านหนังสืออะไรล่ะ ยังไม่สอบนี่" 

เฮอร์ไมโอนี่ยืดอกแล้วพูดเต็มเสียง 

"เพื่อโครงการส.ร.ร.ส.อ ไงล่ะ!" 

แฮร์รี่กับรอนหุบปากทันที แฮร์รี่ลุกจากเก้าอี้ อ้างว่าได้ยินเสียงวู้ดเรียก ส่วนรอนบอกว่าเขาจะไปคุยกับเฟร็ดกับจอร์จที่นั่งอยู่กลางสนาม 

เฮอร์ไมโอนี่คว้าชายเสื้อคลุมของทั้งสองไว้ได้แล้วพูดเสียงเฉียบขาด 

"ฉันหวังว่าเธอสองคนจะสนใจโครงการมากกว่านี้นะ ท่านรองประธานกับเหรัญญิก!" 

+-บทที่ 2-+

“ฉันไม่รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่สนใจอะไรไอ้โครงการนี้นักหนา” 

รอนบ่นกับแฮร์รี่ที่โต๊ะอาหาร 

หลังจากที่แฮร์รี่ซ้อมควิดดิชเสร็จแล้วก็เดินลากขาตามรอนมาในห้องโถงรวมเพื่อรับประทานอาหารเช้า ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ยังอยู่ที่ห้องสมุดและบอกว่าจะมาช้าสักเล็กน้อย 

“เดี๋ยวต้องมีโครงการเพื่อสิทธิสตรีแน่ - - โครงการสอง” แฮร์รี่พูดพลางหัวเราะ ขณะตักไส้กรอกสองสามชิ้นใส่จาน 
“ถ้ามีจริงล่ะก็ ฉันไม่มีทางเข้าร่วมเด็ดขาด” 

รอนพูดอย่างจริงจัง เขานึกภาพตัวเอง....เดินถือใบปลิว ที่คอคล้องกล่องบริจาค ขณะที่ถือโทรโข่งตะโกนบอกให้ทุกคนคำนึงถึงสิทธิสตรีให้มากขึ้น 

“ขอบใจนะ! รอน” เสียงประชดของเฮอร์ไมโอนี่ดังมาจากด้านหลังของพวกเขา แฮร์รี่กับรอนหันไปมองก็เห็นเฮอร์ไมโอนี่ยืนเท้าสะเอวข้างหนึ่ง (มืออีกข้างหอบหนังสือตั้งใหญ่กว่าตอนเช้า) และกำลังจ้องมาที่ทั้งสองอย่างเอาเรื่อง 

“หวังว่าเธอคงใจกว้างพอที่จะฟังความคิดเห็นของคนอื่นนะ” รอนแก้ตัว 

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอก!” เฮอร์ไมโอนี่ยักไหล่ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม วางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วลงมือนวดไหล่ตัวเอง 

“แล้วโครงการสิทธิสตรีอะไรนั่นก็จะไม่มีด้วย” เธอเหลือบไปมองแฮร์รี่บ้าง เขารีบพูด 

“เธอสงสารเอลฟ์ประจำบ้าน ก็น่าจะทำดีเฉพาะกับตัวที่มันยินดีรับสิ” 

“ช่าย ฉันเห็นมีแต่ด๊อบบี้” รอนเสริม 

“วิงกี้ด้วย!” เจ้าของโครงการเถียง 

“แต่มันไม่อยากรับ” รอนพึมพำไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน 

“พูดถึงด๊อบบี้ ฉันอยากให้ของขวัญเขาสักหน่อย” เฮอร์ไมโอนี่พูดแล้วเริ่มตักอาหารใส่จานตัวเองบ้าง 

“ทำไมล่ะ” แฮร์รี่ถาม 

แล้วเธอก็เล่าเหตุการณ์ที่ไปติดอยู่ใเรือนกระจกให้เพื่อนทั้งสองฟัง แน่นอนว่าเธอต้องข้ามตอนที่ไปเจอมัลฟอยและเกิดอะไรขึ้นบ้างไปโดยสิ้นเชิง แฮร์รี่ฟังจนจบก็พูด 

“ซื้อถุงเท้าให้มันอีกก็ได้นี่นา ฉันว่ามันชอบนะ ยิ่งได้มากยิ่งดี” พวกเขาเคยไปเดินเลือกซื้อถุงเท้าให้ด๊อบบี้กันมาก่อนแล้ว 

“เหรอ งั้นฉันจะซื้อให้เขาอีกสักสองสามคู่ คงต้องรอวันไปฮอกส์มี้ด” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าคิด 

“กว่าเราจะไปก็อีกสามวัน ดีเหมือนกันฉันจะได้เก็บเงินไปซื้อของที่ร้านซองโก้ กับบัตเตอร์เบียร์” 

รอนร่ายโครงการ แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ทางเดินเข้าห้องโถงกลางของบ้านสลิธีริน มัลฟอย แครบและกอยล์เดินมาพร้อมกันแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหารของบ้านตัวเอง 

“เฮอะ! ไม้กวาดหาย” รอนนินทาตามข้อมูลที่ได้ยินมา 

“ใครเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่หันไปมองบ้าง พร้อมกับที่มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมาเห็นเธอพอดี 

เด็กหญิงรีบหันหน้ากลับอย่างรวดเร็ว ด้วยใบหน้าสีชมพู เธอจึงไม่เห็นว่ามัลฟอยยังคงจ้องเขม็งมาด้วยแววตาแข็งกร้าวขณะเอาส้อมเข้าปาก 

“ไม้กวาดหมอนั่นหายไปน่ะสิ” แฮร์รี่บอก พยายามไม่ให้มัลฟอยรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง 

“หายเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้ว ก็เธอรู้นี่นาว่าเขาลืมไว้ที่ห้องครัวใต้ดินเมื่อครั้งที่ลงไปกับด๊อบบี้ 

“ขอให้เจออีกทีก็เหลือแต่ด้าม!” รอนแช่งอย่างดุเดือด 

...+*+*+...

แล้ววันเดินทางไปฮอกส์มี้ดก็มาถึง สามสหายตัดสินใจไปหาอะไรดื่มที่ร้านไม้กวาดสามอันก่อน แล้วบัตเตอร์เบียร์ร้อน ๆ สามแก้วก็ถูกยกมาตั้งไว้ข้างหน้าทีละคน 

“ฉันจะไปซื้อถุงเท้าให้ด๊อบบี้ก่อนนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด 

“ร้านขายเสื้อผ้าของพ่อมดแกลดแร็กส์น่ะ ดีที่สุดแล้ว จำทางไปได้ไหม” แฮร์รี่ถาม 

เฮอร์ไมโอนี่ดื่มบัตเตอร์เบียร์จนหมดแก้วแล้วก็เดินออกจากร้านไปตามทางที่เคยเดินไปเพียงคนเดียว เพราะคิดว่ารอนกับแฮร์รี่คงอยากไปซื้อของที่ร้านขายของตลกซองโก้มากกว่าจะไปช่วยเลือกซื้อถุงเท้า ระหว่างทางที่เดินนั้น เฮอร์ไมโอนี่ผ่านกลุ่มนักเรียนฮอกวอตส์หลายคนที่กำลังเดินเล่น และซื้อของอยู่มากมาย 

พ่อมดที่เหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องกำลังโฆษณาสินคเาให้เด็กกลุ่มหนึ่งด้วยเสียงอันดัง 

“ถ้าดื่มยานี้เข้าไปแล้วรวบรวมสมาธิสักสองชั่วโมง ก็จะสามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเป็นระยะทางร้อยเมตร!” พ่อมดคนนั้นชูขวดยาในมืออย่างภูมิใจ 

“เดินเอาไม่เร็วกว่าเหรอครับ” เด็กคนหนึ่งที่ยืนดูอยู่ถาม 

ไม่ช้า เฮอร์ไมโอนี่ก็มาถึงร้านขายเสื้อผ้าพ่อมดแกลดแร็กส์ เด็กหญิงเลือกซื้อถุงเท้าให้เข้ากับรสนิยมของด๊อบบี้เท่าที่จำได้ หลังจากนั้นเธอก็ได้ถุงเท้าสีเขียวสะท้อนแสงที่ประดับด้วยกากเพชรที่ไม่มีวันหลุดออกแม้จะซักหลายครั้ง ถุงเท้าสีฟ้าสดคาดด้วยริบบิ้นสีแดงเพลิง และคู่สุดท้ายเป็นถุงเท้าสีน้ำเงินธรรมดา แต่คนขายบอกว่าจะมีขนนกสีเหลืองงอกออกมาทั่วทั้งสองข้างเมื่อสวม เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มแห้ง ๆ เมื่อเจ้าของร้านรับสินค้าไปห่อของขวัญให้ก่อนจะขอโทษและวิจารณ์อย่างทึ่ง ๆ ว่าผู้รับมีรสนิยมที่แปลกเพียงใด 

...+*+*+...

“ไม่น่ารีบห่อเลย ฉันอยากเห็นสักหน่อย” รอนพูดเหมือนบ่น เมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่เดินถือห่อของขวัญมาที่โต๊ะ 

ขณะนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็นของโรงเรียน แฮร์รี่และรอนที่นั่งอยู่ก่อนกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารมาก 

“ฉันอยากให้มันสมกับเป็น’ของขวัญ’หน่อย” เฮอร์ไมโอนี่รับห่อคืนมาจากรอนแล้ววางมันลงข้างตัวอย่างเป็นงานเป็นการ 

“ฉันว่าจะแอบย่องไปให้เขาคืนนี้” 

แฮร์รี่กับรอนมองหน้ากัน เพราะของขวัฐที่พวกเขาเคยให้ด๊อบบี้ในครั้งแรกนั้นต่างกับเฮอร์ไมโอนี่โดยสิ้นเชิง แฮร์รี่ให้ถุงเท้าสีเหลืองมัสตาร์ดเก่าคร่ำคร่าที่ได้รับมาจากลุงเวอร์นอนอีกที ส่วนรอนให้ถุงเท้าสีม่วงและเสื้อกันหนาวไหมพรมที่นางวิสลีย์ถักให้มานานโขแล้ว 

“มันไมคิดมากหรอก” รอนพูดแล้วตักเนื้ออบใส่ปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดกับแฮร์รี่หรือบอกเฮอร์ไมโอนี่กันแน่ 

+-บทที่ 3-+

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็จัดแจงเอาของขวัญที่เตรียมมาลงไปหาด๊อบบี้ที่ห้องครัวโดยผ่านทางช่องรูปผลไม้ 

แต่พอเธอเดินเข้าไปก็ต้องแปลกใจที่ห้องครัวไม่เอะอะหรือวุ่นวายดังเช่นทุกครั้ง เอลฟ์ทุกตัวไม่ได้ทำงาน แต่กำลังนั่งรวมตัวกันร้องไห้และหน้าตาซีดเซียว 

มัลฟอยยืนถือไม้กวาดอยู่กลางห้องครัว ด๊อบบี้กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขา เด็กชายทำหน้าเหนื่อยหน่าย แล้วหันมาเห็นเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดินตรงมาหาแล้วถามเขา 

“เธอลงมาทำไม” 

มัลฟอยไม่ตอบ เขาโยกไม้กวาดในมือให้เธอดูเป็นเชิงว่า”มาเอาไอ้นี่น่ะสิ ถามได้” แล้วกลับไปดูด๊อบบี้ที่กำลังสะอึกสะอื้นตรงหน้าอย่างรำคาญใจ เฮอร์ไมโอนี่ทรุดตัวลงนั่งหน้ามันแล้วถาม 

“เกิดอะไรขึ้น” เธอตบลงที่ไหล่ผอมบางของมันอย่างอ่อนโยน 

ด๊อบบี้ร้องไห้อยู่เป็นพักใหญ่ถึงจะพูดได้ว่า 

“วิงกี้หายไปครับ” มันยกปลอกหุ้มกาน้ำชาที่สวมอยู่ขึ้นมาเช็ดน้ำตา 

“อะไรนะ!” เด็กหญิงร้อง ด๊อบบี้ขยี้ตาแล้วเริ่มเล่า 

“วิงกี้บอกว่าจะไปหาเพื่อนคนหนึ่งที่เจอแถว ๆ ป่าต้องห้ามครับ...” 

“พวกเราไม่ค่อยชอบเพื่อนของวิงกี้ เพราะเขาดูไม่ค่อยเหมือนเอลฟ์ แต่วิงกี้สงสารเขาเพราะเขาบอกวิงกี้ว่า เขาถูกเจ้านายไล่ออกจากบ้านเหมือนวิงกี้ วิงกี้เลยออกไปหา” 

“ตอนกลางคืนอย่างนี้น่ะเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างแปลกใจ อีกฝ่ายผงกศรีษะช้า ๆ 

“ป่านนี้เหลือแต่ซากแล้วมั้ง” มัลฟอยเปรยขึ้น 

“มัลฟอย!” เฮอร์ไมโอนี่ดุเขา แล้วรีบปลอบด๊อบบี้ที่ร้องไห้โฮทันทีที่ได้ยินเด็กชายพูด 

“ด๊อบบี้คิดไว้แล้วว่าเขาไม่น่าไว้ใจ ด๊อบบี้น่าจะเตือนวิงกี้ ด๊อบบี้เลว เลว” มันเอาหัวทุบกับพื้นจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องรีบห้าม 
“ทำอะไรเข้าสักอย่างสิ มัลฟอย” เธอบอกอีกคน 

“ทำอะไร สร้างหลุมศพรึไง” เขาพูดเบื่อ ๆ แล้วเอามือกอดอก นั่นทำให้เอลฟ์ตัวอื่น ๆ ร้องไห้เสียงดังลั่นไปทั่วครัว 

“ตั้งใจฟังฉันพูดให้ดี ๆ นะ!” เฮอร์ไมโอนี่แค่นเสียงดุ 

“เธอรู้รึไงว่าตัวอะไรจับวิงกี้ไป” 

มัลฟอยพ่นลมออกทางจมูก แล้วเบือนหน้าไปมองอีกทางเหมือนใช้ความคิด - - เหมือนเอลฟ์รึ? 

“ตัวเออร์คลิงล่ะมั้ง” 

“เออร์คลิงไม่กินเอลฟ์! มันเป็นพวกเดียวกันนี่” เฮอร์ไมโอนี่เถียงทันควัน 

“แต่กินเด็ก” มัลฟอยต่อให้ 

“หมู่นี้มันคงอดอยากจนกินพวกตระกูลเดียวกันได้แล้วมั้ง หาเหยื่อยากนี่” 

เมื่อจบประโยคนั้นเอลฟ์ที่เหลืออยู่บังเอิญได้ยินเข้าก็ร้องไห้โฮเสียงดังสนั่น และยังคงส่งเสียงโหยหวนเป็นระยะ ๆ เฮอร์ไมโอนี่มองพวกมันอย่างเวทนาแล้วโพล่งขึ้น 

“เราจะไปช่วยวิงกี้” 

“หมายความว่าไง ‘เรา’ เหรอ” มัลฟอยขมวดคิ้ว 

“ฉันกับเธอไงล่ะ” เธอตอบเต็มปากเต็มคำ มัลฟอยอ้าปากค้างแล้วพูดเสียงดัง 

“ไม่มีทาง! ฉันไม่ยอมเสี่ยงเข้าป่าต้องห้ามเพราะเอลฟ์ตัวเดียวหรอกนะ!” 

“หรือเธอกลัวตัวเออร์คลิง” เฮอร์ไมโอนี่พูดเย้ย ๆ - - พวกเขาไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะถูกมันทำร้ายได้อีกแล้ว 

“ฉันไม่ได้กลัวตัวเออร์คลิง!” อีกฝ่ายยังไม่ยอมลดเสียงลง เขาจ้องเธอเขม็ง 

“เธอคิดว่าในป่าต้องห้ามมีตัวเออร์คลิงแค่ตัวเดียวรึไง!” 

เฮอร์ไมโอนี่อึ้งไป จริงของเขา แฮร์รี่กับรอนเคยมาเล่าให้ฟังว่าเขาสองคนเคยเจอแมงมุมยักษ์อโครแมนทูล่ากับลูก ๆ ของมันนับร้อยตัว และเกือบถูกทำร้ายมาแล้ว เป็นโชคดีนักหนาที่พวกเขารอดมาได้ 

“แต่เราก็ควรจะไปช่วยวิงกี้ ด๊อบบี้บอกว่ามันไม่ได้เข้าไปในป่าไม่ใช่เหรอ” เธอพูดแล้วก็หันไปมองด๊อบบี้ แต่มันไม่ยอมสบตา มัลฟอยเห็นท่าทางของมันก็รู้ว่าด๊อบบี้ไม่แน่ใจเสียแล้ว 

“ฉันไม่ไป!” เขาพูดเหมือนตะโกน 

“เธอมันขี้ขลาด” เฮอร์ไมโอนี่ใช้ไม้ตายด้วยการประชด มัลฟอยโมโหจนควันแทบออกหู เขากัดฟันแน่น 

“อย่ามาใช้วิธีนี้กับฉัน! ไม่ได้ผลหรอก!” เด็กชายหันหลังให้ 

“ถ้าเธออยากจะไปช่วยมันนักก็เชิญไปคนเดียวเถอะ!” 

พูดจบมัลฟอยก็เดินปึงปังออกไปพร้อมไม้กวาด เฮอร์ไมโอนี่มองจนเขาเดินพ้นห้องครัวไปก็ถอนใจเฮือก - - ถ้ายอมไปง่าย ๆ เพราะคำนึงถึงความเสียสละคงไม่ใช่มัลฟอยหรอก! 

ด๊อบบี้ยังร้องไห้อยู่ เธอจึงหันไปตบไหล่ปลอบใจมันแล้วพูด 

“ตัวเออร์คลิงไม่เป็นอันตรายกับฉัน…” เด็กหญิงเว้นวรรค เหมือนจะทบทวนความจำถึงข้อมูลในหนังสือ สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ว่าเป็นความจริงแค่ไหน 

“เราจะไปช่วยวิงกี้ด้วยกัน” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงเด็ดเดี่ยว ด๊อบบี้เช็ดน้ำาแล้วรับคำด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน 

+-บทที่ 4-+

แสงไฟจากตะเกียงเพียงหนึ่งดวงให้แสงสว่างได้ไม่มากนักสำหรับการที่ต้องเดินเข้าไปในป่าที่มืดสลัวเช่นนี้ ยิ่งถ้าป่านั้นคือ "ป่าต้องห้าม” แล้วล่ะก็ เฮอร์ไมโอนี่ยิ่งระแวงไปตลอดทางที่ว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้บ้างหรือเปล่า 

“เห็น เห็นอะไรบ้างหรือเปล่าครับ” ด๊อบบี้ที่ยืนอยู่ชิดจนแทบจะเกาะขาเด็กหญิงอยู่แล้วถามเสียงสั่น - - ช่างเป็นผู้ติดตามที่ไร้ประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น มิหนำซ้ำมันยังวิ่งไปหลบหลังเธอทุกครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรก็ตามดังขึ้น 

“ไม่เห็นเลย เธอแน่ใจนะว่าวิงกี้นัดมันไว้แถวนี้” เฮอร์ไมโอนี่ยกตะเกียงขึ้นส่อง 

ไม้กายสิทธิ์อยู่ในเสื้อ เธอตัดสินใจไม่ใช้คาถาจุดไฟอย่าง "ลูมอส" เพราะกลัวว่าถ้าแสงสว่างมากเกินไป ตัวเออร์คลิงอาจจะรู้ตัวแล้วพาวิงกี้หนีไป 

ทันใดนั้นเองด๊อบบี้ก้ร้องจ๊าก แล้วกระโดดเกาะเฮอร์ไมโอนี่ทันที เด็กหญิงตกใจและแทบหงายหลังเพราะน้ำหนักตัวของมัน 

“ตัวอะไรก็ไม่รู้ครับ อยู่…อยู่หลังต้นไม้!” มันร้อง 

เฮอร์ไมโอนี่มองไปตามที่เอลฟ์ตัวจ้อยชี้ พลางพยายามแกะมันออกจากตัวอย่างทุลักทุเล เพราะด๊อบบี้กำลังไต่ไปเกาะที่ศรีษะของเธอแทน 

“ใจเย็น ๆ สิ ฉันไม่เห็นอะไรเลยนะ” 

จริงอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่บอก ด๊อบบี้จึงกระโดดลงมาบนพื้นแล้วขอโทษเด็กหญิงเป็นการใหญ่ แก้ตัวว่ามันคงตาฝาดไป 
ทั้งสองคนเดินลึกยิ่งขึ้นเข้าไปในป่ามืดมิด โดยไม่รู้เลยว่ามีดวงตาส่องสว่างนับสิบคู่ตามหลังไปอย่างเงียบเชียบ….

...+*+*+...

“เราเข้ามาลึกมากแล้วนะ ยังไม่เห็นอะไรเลย” เฮอร์ไมโอนี่ยกตะเกียงหมุนไปรอบ ๆ ตัว ดูเหมือนว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งมืดมากขึ้นเท่านั้น 

“หรือว่าวิงกี้…” ด๊อบบี้ไม่กล้าพูดว่า 'ถูกกินไปแล้ว' ออกมา มันจึงร้องไห้แทน 

เฮอร์ไมโอนี่ถอนใจอย่างกังวล พยายามส่ายตามอง แต่รอบตัวก็มีแต่พุ่มไม้มืดมิดที่ขยับขยุกขยิกตามแรงลมเท่านั้น.... 
เดี๋ยวก่อน!….นี่ไม่มีลมพัดมาซักนิดไม่ใช่เหรอ - - เฮอร์ไมโอนี่นึกแล้วกลืนน้ำลาย เธอขยับตัวไปชิดด๊อบบี้ 

สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นพุ่มไม้รอบตัว ดูเหมือนจะบีบตัวเขามาเป็นวงล้อมรอบทั้งสองอย่างช้า ๆ 

“ด๊อบบี้ ถือตะเกียงเร็ว” เฮอร์ไมโอนี่พยายามบังคับเสียงให้เป็นปรกติ เอลฟ์รับไปถืออย่างงง ๆ ในตอนแรก แล้วมันก็เริ่มสังเกตเห็นรอบตัวบ้าง 

เฮอร์ไมโอนี่ล้วงมือไปหยิบไม้กายสิทธิ์ในเสื้อออกมาเตรียม เธอเริ่มหอบเพราะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นด้วยความกลัว แล้วเธอก็สะบัดไม้ครั้งหนึ่ง 

“ลูมอส” แสงจากปลายไม้สว่างขึ้น 

“อ๊ากกกกกกกก!!!!!” ด๊อบบี้ร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นรูปร่างที่แท้จริงของพุ่มไม้ 

อโครแมนทูล่า! 

เฮอร์ไมโอนี่หัวใจแทบหยุดเต้น แมงมุมขนาดยักษ์ราวยี่สิบตัวจ้องตรงมาที่เธอกับด๊อบบี้ด้วยดวงตาสว่างและมุ่งร้าย เสียงก๊อกแก๊กจากขาของแมงมุมประสานกันเหมือนเห็นเหยื่อขณะที่พวกมันย่างเข้ามาช้า ๆ 

ตะเกียงหล่นจากมือของด๊อบบี้กระทบพื้นเสียงดังเพล้ง - - เหมือนเป็นสัญญาณจู่โจม อโครแมนทูล่าตัวเหนึ่งกระโจนมาหาเฮอร์ไมโอนี่ทันที! 

“สตูเปฟาย!” เด็กหญิงสะบัดปลายไม้กายสิทธิ์ แมงมุมตัวนั้นกระเด็นออกไปราวกับถูกกระแทก 

“วิ่งเร็ว! ด๊อบบี้!” เฮอร์ไมโอนี่ร้อง เอลฟ์ตัวจ้อยเผ่นโดยไม่รอให้สั่งซ้ำ 

แมงมุมยักษ์ดูโกรธจัด เมื่อเห็นพวกพ้องถูกทำร้าย มันส่งเสียงก๊อกแก๊กดังลั่นอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วรุมเข้ามาหาเฮอร์ไมโอนี่ทันที ยังไม่ทันที่เธอจะขยับไม้กายสิทธิ์ป้องกันตัว ชายเสื้อคลุมของเธอถูกมันเกี่ยวไปเพียงนิดเดียว 

“เพื่อนของแฮร์รี่ พอตเตอร์!” ด๊อบบี้กรีดร้องเมื่อเห็นว่าเธอถูกทำร้าย แต่มันก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เพราะตัวเองก็กำลังจนมุมอยู่ที่ต้นไม้ โดยมีแมงมุมยักษ์ล้อมไว้ 

เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดเผือดเมื่อรู้สึกว่ามีเลือดไหลออกมาบริเวณที่เสื้อคลุมฉีกขาด มันคงจะบาดผิวเธอไปด้วยเป็นแน่ แมงมุมที่เหลือทุกตัวย่างเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ... 

เด็กหญิงกระชับไม้กายสิทธิ์ในมือแน่น จำนวนของแมงมุมเยอะมากเกินกำลังไปเสียแล้ว 

+-บทที่ 5-+

มีเสียงเหมือนแส้ฟาดลงมากลางอากาศ และเร็วเกินกว่าจะคาดคิด มีบางสิ่งโฉบมาคว้าเฮอร์ไมโอนี่ไปทันเวลา 

“มัลฟอย!” เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นหลังจากที่คิดว่าตัวเองคงกำลังอยู่ในปากของแมงมุมตัวใดตัวหนึ่งแล้ว 

“กอดฉันเร็ว!” มัลฟอยสั่ง สายลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู เขาต้องบังคับไม้กวาดด้วยความเร็วสูง และต้องคอยหลบต้นไม้ใหญ่ในป่าอีกด้วย 

แมงมุมยักษ์ฝูงใหญ่วิ่งไล่มาติด ๆ มัลฟอยเหลียวหลังไปมองเห็นแมงมุมตัวหนึ่งกำลังจะคว้าปลายไม้กวาดได้แล้ว เด็กชายกัดฟันแน่น ทิศทางของไม้กวาดเริ่มเฉียงไปเฉียงมา

“รู้ว่ารังเกียจฉัน! แต่ถ้าตอนนี้เธอไม่กอดฉันละก็เราลงไปโหม่งพื้นทั้งคู่แน่!” มัลฟอยตะโกนแข่งกับเสียงลมที่แหวกผ่าน 
แล้วเขาก็อยากจะถอนคำพูดที่บอกให้เฮอร์ไมโอนี่กอดเขา เพราะพอเธอกอดเขาเข้าจริง ๆ มัลฟอยก็ไม่มีสมาธิจะบังคับไม้กวาดแล้ว 

“ถ้าอยู่บนพื้นคงดีกว่านี้แน่” มัลฟอยครางแล้วรัดแขนข้างที่โอบเธอให้แน่นขึ้น 

อโครแมนทูล่าตัวหนึ่งคว้าปลายไม้กวาดไว้ได้แล้ว ไม่กวาดเริ่มบินต่ำลงสู่ฝูงแมงมุมที่วิ่งไล่อยู่เบื้องล่าง 

“เกรนเจอร์! จับไม้กวาดที!” มัลฟอยบอก 

เฮอร์ไมโอนี่ใช้มือข้างที่อยู่ใกล้ด้ามที่สุดจับไม้กวาดไว้แน่น ขณะที่มัลฟอยหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ไปที่แมงมุมตัวที่เกาะอยู่ตรงปลายไม้กวาด 

“สตูเปฟาย!” 

แมงมุมตัวนั้นหล่นลงสู่พื้นทันที มัลฟอยรีบหันกลับมาบังคับไม้กวาดเอง ไม้กวาดเริ่มสั่นและบินต่ำลงเรื่อย ๆ 

“มัลฟอย!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องแล้วเขย่าตัวคนที่เธอเกาะไว้ 

“น้ำหนักเกินน่ะสิ” มัลฟอยบอกเสียงหวั่น 

นับว่าเป็นโชคดีล้นเหลือ เมื่อในที่สุดทั้งสองก็หลุดออกมาจากป่าต้องห้ามได้สำเร็จขณะที่ไม้กวาดบินต่ำลงจนเกือบห่างจากพื้นแค่เมตรเดียว 

“หยุด! หยุด!” มัลฟอยร้อง แต่ไม้กวาดเหมือนเสียการทรงตัว มันพาทั้งคู่ไถลไปบนพื้นดินชื้น ๆ นอกป่า 

หลังจากที่ไถลไปได้ราวสิบเมตรจนถลอกปอกเปิกไปด้วยกันทั้งสองคน ทุกอย่างก็หยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ 

เฮอร์ไมโอนี่ผงกศรีษะขึ้นแล้วยันตัวขึ้นนั่ง โชคดีที่ไม่มีบาดแผลตามตัวมากนัก และศรีษะก็ไม่ได้กระแทกพื้น 

“มัลฟอย!” เธอนึกขึ้นได้แล้วรีบเขย่าตัวคนที่นอนนิ่งอยู่ไม่ห่าง 

เด็กชายขยับตัวแล้วเอามือกุมศรีษะ เขาครางเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวด เฮอร์ไมโอนี่พูด 

“เราปลอดภัยแล้ว” 

“ให้มันจริงเถอะ” 

มัลฟอยเงี่ยหูฟังเสียงร้องจากป่าต้องห้าม เสียงร้องโหยหวนของสัตว์และเสียงก๊อกแก๊กของแมงมุมยักษ์ในป่าต้องห้ามที่เงียบไปแล้วทำให้เขาถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก 

แล้วเขาก็ลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่เดินตรงกลับเข้าไปในป่าต้องห้ามอีก 

“เกรนเจอร์! จะไปไหน!” เขาวิ่งไปดึงแขนอีกฝ่ายไว้ 

“เราทิ้งด๊อบบี้ไปไม่ได้!” เด็กหญิงหันมาประจัดหน้ากับเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว 

“นายทิ้งด๊อบบี้! นายมันอำมหิตที่สุด!” 

มัลฟอยกัดฟันกรอด แล้วเขย่าตัวเด็กหญิง 

“เอลฟ์ไม่มีทางถูกอาราก๊อกกิน!” เขาพูดเหมือนตะโกน 

“มันดีดนิ้วครั้งเดียวก็หนีได้แล้ว! แต่ฉันกับเธอจะถูกเคี้ยวจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกซักชิ้น!” 

เฮอร์ไมโอนี่นึกขึ้นได้ เธอจึงสงบลงทันที มัลฟอยก็ดูเหมือนจะคุมอารมณ์ได้แล้วเขาจึงปล่อยมือที่บีบเด็กหญิงออก แล้วเดินไปหยิบไม้กวาดขึ้นมาปัดฝุ่น

“ฉัน…ขอบใจเธอมากนะ” 

มัลฟอยหันมามองอย่างไม่เชื่อหู เฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีชมพู เด็กชายเดินมาตรงหน้าเธอแล้วก้มหน้าลงมาชิด 

“ตอบแทนซะสิ” มัลฟอยแกล้งยื่นริมฝีปากมาใกล้แล้วหลับตา 

เด็กหญิงหน้าเป็นสีจัดขึ้นอีก เธอเม้มริมฝีปากนิดหนึ่งแต่ก็หลับตาแน่น ก่อนจะยื่นหน้าเขาไปใกล้เขา มัลฟอยเห็นท่าทางของเฮอร์ไมโอนี่แล้วก็ถอนใจพรืด 

“ถ้าเธอจะจูบฉันเพราะ 'ต้องจูบ' ล่ะก็ ลืมมันซะเถอะ” เขาพูดหงุดหงิดแล้วมองเธอเขม็ง 

เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นแล้วมองเขาด้วยใบหน้าสีแดง มองดวงตาสีซีดของเขาแล้วก็อ้าปากจะพูดแต่มัลฟอยพูดขึ้นซะก่อน 
“แต่ฉันไม่ได้คิดเหมือนเธอ ถ้าไม่ว่าอะไร…” 

“ก็หลับตาสิ” เด็กชายเกาจมูกด้วยใบหน้าสีชมพู ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลง เมื่อมัลฟอยก้มหน้าเข้ามาชิด เธอก็พูดขึ้นเหมือนนึกออก 

“เธอมาช่วยฉันได้ยังไงเนี่ย” 

“เงียบได้แล้ว” มัลฟอยว่า 

เมื่อริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน เฮอร์ไมโอนี่ก็ยกแขนขึ้นไปพาดไว้บนไหล่ของมัลฟอยเอง เพราะใบหน้าชิดกัน เธอจึงไม่เห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นสีชมพูเข้มยิ่งกว่าเธอเสียอีก.... 

“ด๊อบบี้ปลอดภัยครับ” 

มัลฟอยสะดุ้งโหยง เฮอร์ไมโอนี่เองก็ตกใจจนเผลอกัดลิ้นมัลฟอยเข้า แต่ทั้งสองก็ผละออกจากกันได้ก่อนที่ด๊อบบี้จะสังเกตได้เช่นเคย 

“ปัท…โธ่…เอ๊ย!” มัลฟอยแค่นเสียงทีละคำ เอาหลังมือแตะริมฝีปาก เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างกลัว ๆ ว่าจะเจ็บไหม (แต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นไร) 

“ด๊อบบี้เจอวิงกี้แล้วด้วย วิงกี้ไม่ได้เข้าไปในป่าครับ วิงกี้สงสัยเพื่อนใหม่ก็เลยหนีมาตอนมันเผลอ ตอนนี้วิงกี้…กลับ…..ไป…...แล้ว…....ครับ....เอ่อ...." เอลฟ์อธิบายอย่างรวดเร็วในตอนแรกแล้วก็ช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าคนฟังสองคนจ้องมาด้วยแววตาต่างกัน เฮอร์ไมโอนั้นนี่ยิ้มอย่างดีใจ ส่วนมัลฟอยเหมือนจะเอาไม้กวาดตีมันสักป้าบ 

+-บทที่ 6-+

แล้วทั้งสามคนก็เดินทางออกจากป่าต้องห้ามมาด้วยกัน ด๊อบบี้ชวนเฮอร์ไมโอนี่กับมัลฟอยให้แวะที่ห้องครัวชั้นใต้ดินก่อนที่จะกลับหอนอน เพราะถ้ามันไม่ได้ตอบแทนทั้งสองเพื่อน ๆ คงไม่ยกโทษให้มันแน่ 

เมื่อไปถึงเฮอร์ไมโอนี่ก็ตกใจกับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีจากเอลฟ์ทุกตัว ตรงกลางห้องครัวมีโต๊ะที่จัดเรียงขนมหวานและอาหารนานาชนิด พวกมันกึ่งลากกึ่งจูงทั้งคู่ไปที่โต๊ะแล้วลงมือบริการเสริฟ์ให้อย่างสุดชีวิต 

“ขอบคุณ คุณทั้งสองมากเลยนะครับ” ด๊อบบี้โค้งแล้วโค้งอีก 

เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าแหยง ๆ กับอาหารบนโต๊ะ สีหน้าของเธอเหมือนจะบอกว่า - - ดึกป่านนี้แล้วไม่ใช่เวลากินอาหารสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ฝืนกินอย่างละนิดละหน่อยเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ 

มัลฟอยที่ดื่มชาแค่ถ้วยเดียวไม่ได้สนใจอะไรกับการรักษาน้ำใจนัก เขาส่งสายตาดุดันให้เอลฟ์ตัวหนึ่งที่พยายามจะตักเนื้อสเต็กชิ้นใหญ่ไห้เขา จนมันยอมแพ้ 

งานเลี้ยงเล็ก ๆ ผ่านไปได้ราวหนึ่งชั่วโมง ด๊อบบี้อาสาพาเฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยไปส่งที่หอนอน เมื่อไปถึงหน้าหอของบ้านกริฟฟินดอร์ มันก็โค้งลาเด็กหญิงอย่างนอบน้อมอีกครั้ง 

“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ แล้วก็ราตรีสวัสดิ์ครับเพื่อนของแฮร์รี่ พอตเตอร์” มันพูดจบก็หายไปเป็นควันเส้นจาง ๆ เหมือนครั้งก่อน 

“เอาล่ะ ห้องใครห้องมันเถอะ” มัลฟอยที่ถือไม้กวาดอยู่จะเดินจากไป 

“วันนี้ฉันคงทำให้เธอเดือดร้อนมากเลยสินะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นเสียงอ่อย ๆ 

มัลฟอยชะงักหันมามองเธอ แล้วพูด 

“คงรู้แล้วนะ ว่ามันอันตราย” 

“ฮื่อ” เฮอร์ไมโอนี่ก้มหน้าสำนึกผิด 

“ถ้าฉันไม่มาช่วยเธอได้เป็นอาหารแมงมุมไปแล้ว” 

“ฮื่อ” 

“คราวหน้าอย่าคิดจะเข้าไปคนเดียวเด็ดขาด” 

“ฮื่อ” 

"ถ้ามีอะไรก็ต้องเอาตัวให้รอดก่อนนะ" 

"ฮื่อ" 

“ไปห้องฉันไหม” 

“ฮื่อ….เอ๊ย!” 

เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นทันที มัลฟอยเอาไม้กวาดค้ำตัวเองไว้แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น เด็กหญิงหน้าเป็นสีชมพูจัดขณะมองอีกฝ่ายที่ยังไม่หยุดหัวเราะ 

“นายแกล้งฉันนี่!” เธอว่าเสียงดัง 

“ช่วยไม่ได้” เขาหยุดหัวเราะแล้วยักไหล่ ตั้งท่าจะเดินมาดึง 

“ไปกันเถอะ ไป” 

“ไม่มีทาง!” เฮอร์ไมโอนี่ถอยหลัง หน้าเป็นสีเข้มขึ้นอีก มัลฟอยมองเธอแล้วยิ้มกวน ๆ 

“ไม่ต้องเดี๋ยวนี้ก็ได้ เอาไว้…วันหลังเธออาจจะเปลี่ยนใจ” เขาพูดแล้วหันหลังให้ก่อนจะเดินจากไป 

เฮอร์ไมโอนี่ทั้งโกรธทั้งอาย เธอตะโกนไล่หลังเขาเสียงดังโดยไม่กลัวว่าใครจะได้ยินด้วยใบหน้าสีชมพูจัด 

“ฉันไม่มีวันไปห้องนายเด็ดขาด!” 

มัลฟอยหยุดเดินแล้วหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ 

“แล้วฉันจะคอยดู” 

TBC

No comments:

Post a Comment