Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Part I เมืองบนฟ้า: Chap 1



           ยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ เริ่มมีแสงไฟสว่างขึ้นตามบ้านต่างๆ ถึงแม้จะมืดค่ำ แต่ก็มีหมู่เมฆมาบดบังดวงดาวและดวงจันทร์ไว้ รถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นฉิวออกไป
พร้อมผู้โดยสารที่เป็นเด็กหนุ่ม ทิ้งความโศกเศร้าให้กับคนที่มาส่งเขา เด็กน้อย ชายหญิงอายุประมาณห้าขวบสองคน..มองรถแท็กซี่คันนั้นจนลับตา…


. . . . .

“แกอยู่นี่เอง” เสียงเยียบเย็น และออกจะเย็นชาพูดขึ้น ดึงความสนใจของเด็กชายที่หันมามองด้วยใบหน้าที่ถอดสีจนซีด ทั้งแววตา สีผมและใบหน้าถอดแบบมาจากชายที่เรียกเขา

“พ่อ” เด็กชายอุทาน จู่ๆก็รู้สึกแข็งไปทั้งตัว

ลมเย็นพัดเอาต้นหญ้าในสนามของสวนพลิ้วไหว ผสมผสานกับความเงียบในขณะที่ ชายผู้มีดวงตาสีเทา
แฝงด้วยความโหดร้ายย่างก้าวมายังบุตรชายของตนอย่างเชื่องช้า เด็กชายมองดูผู้เป็นพ่อของตนด้วยความหวาดผวา มือของเขาเกาะกุมมือเล็กๆของเด็กหญิงที่ยืนอยู่เคียงข้างซะแน่น ราวกับว่าเขากำลังจะเสียเธอไป  และเหมือนกับว่าเธอก็รู้สึกเช่นเดียวกับเด็กชาย

“พ่อ..” เด็กชายพึมพำ

“ฉันเคยสอนแกแล้วใช่มั้ย!” ชายผู้ที่ถูกเรียกว่าพ่อตวาด แววตาไร้ความปราณีมองผ่านเข้าไปในบ้านหลังเล็กแลเห็นเงาพ่อแม่ของเด็กหญิงที่อยู่ภายใน 

“ฉันเคยสอนแกว่าอะไร ฮะ!”

เด็กชายตัวสั่นด้วยความกลัว เขารู้ดีว่าพ่อของเขาพร่ำสอนอะไรแก่เขา

“ตระกูลของเราเป็นตระกูลสูงศักดิ์ ลูกหลานของตระกูลล้วนเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
อย่าได้ไปทำสนิทชิดเชื้อกับพวกมักเกิ้ลเป็นอันขาด”

คำพูดของผู้เป็นพ่อดังก้องสะท้อนในโสตประสาท แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือจากเด็กหญิง
 เขาไม่คิดว่าการที่ได้สนิทสนมกับพวกมักเกิ้ลแล้วจะเกิดอันตราย และเขาก็เพิ่งคิดได้ในขณะนี้เองว่า
หากเขาจะได้รับอันตรายก็คงจะได้จากผู้เป็นพ่อของเขานี่แหละ เด็กชายบีบมือของเด็กหญิงผมสีน้ำตาลหยิกฟู  ผู้ที่พ่อของเขา เรียกครอบครัวของเธอว่าเป็นมักเกิ้ล

“กลับไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ไอ้หนู” พ่อของเขาคำราม ขบฟันแน่นด้วยความโกรธ ผมสีบลอนด์ยาวที่รวบไว้
พลิ้วไหวตามสายลม

“ผมไม่กลับ!” เด็กชายตะโกนลั่น แล้วก้าวถอยหลัง

“แกอย่าได้มาดื้อกับฉันนะ ฉันสั่งให้กลับก็ต้องกลับ” เขาคว้าตัวบุตรชายเพียงคนเดียวของเขาไว้

“ไม่ ผมไม่กลับ” ดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของบิดา ทำให้ต้องปล่อยมือของเด็กหญิงที่มีน้ำตานองหน้าเพราะหวาดกลัว

เด็กชายพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้หลุดพ้น ความรู้สึกและอารมณ์ของเขาบัดนี้รุนแรงยิ่งนัก และ เริ่ม
ทวีความรุนแรงขึ้นอีก สะสมเป็นพลัง พลุ่งพล่านทั่วกาย จนกระทั่งเขาไม่สามารถที่จะควบคุมมันได้
และปลดปล่อยมันออกมา เป็นผลให้เกิดเสียงดังก้องทั่วบริเวณนั้น พร้อมด้วยชายร่างสูงที่กระเด็นไปไกล
 เด็กชายถลาลงกับพื้น ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด จ้องมองไปที่บิดาของตนด้วยแววตาที่คล้ายคลึงกัน
 เขาหันกลับไปมองเด็กหญิงที่วิ่งมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง

“ฉันไม่น่าเอาแก มาฝากไว้กับป้าแกเลย” พ่อของเขากล่าวเชือดเลือดสีแดงสดที่มุมปาก
 แล้วย่างสามขุมมาที่เด็กทั้งสอง แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม เด็กชายรู้ดีว่ามันคืออะไร
 เขาเคยเห็นมัน แท่งไม้ยาวเรียว ทำจากไม้อย่างดี.. 

“เห็นทีว่าฉันจะต้องทำให้พวกแกลืม..”

ร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวก็ก้าวออกมาจากบ้าน พ่อแม่ของเด็กหญิงนั่นเอง
ยังไม่ทันที่สามีและภรรยาคู่นี้จะกล่าวอะไร ลำแสงสีฟ้าบาดตา ก็พุ่งออกจากปลายไม้ตรงไปยังทั้งสอง
ก่อนที่พวกเขาจะล้มลง

“พ่อ แม่ !” เด็กหญิงตะโกนลั่น น้ำตาไหลพรากอย่างหยุดไม่ได้เธอกำลังจะวิ่งไปหาพ่อแม่ของเธอ
 แต่เด็กชายฉุดเธอไว้ไม่ให้ไปไหน …นี่มันเรื่องอะไรกันนะ เด็กหญิงไม่เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่นิด

“โถ เด็กน้อย” ชายผู้โหดร้าย พูดกับเด็กหญิง “ฉันแค่ลบความทรงจำพ่อแม่ของเธอเอง
 แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเธอก็จะหนีมันไม่พ้นหรอก รวมทั้งแกด้วย เจ้าลูกไม่เอาไหน”

ชายผู้นั้นชี้แท่งไม้ยาวเรียวมาที่เด็กทั้งสองที่กอดกันแน่น ก่อนที่จะปล่อยลำแสงสีฟ้านั้นออกมา
เกิดมีแสงสว่างขึ้นรอบตัวของเด็กหญิง ครอบคลุมตัวเธอและเด็กชายเอาไว้ ประจวบกับลำแสงสีฟ้าพุ่ง
มากระทบกับมัน ชายผู้นั้นถอยผงะไป

“นึกไม่ถึง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นชวนขนลุก “ลูกมักเกิ้ล เลือดสีโคลน”

เพื่อไม่ให้ เด็กๆตั้งตัว มันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง… แสงสีฟ้าบาดตานั้น พุ่งตรงมาอย่างช้าๆ…

ภาพความทรงจำช่วงล่าสุดแวบผ่านเข้ามา...



ลูกบอลเป่าลมกลิ้งไปมาบนพื้นหญ้า.. เด็กหญิงที่ยื่นศีรษะออกมาจากพุ่มไม้..
 เด็กชายที่ถือท่อนไม้ชี้มาที่.. งูตัวใหญ่ที่อยู่ห่างจากเด็กหญิงไม่กี่คืบ.. แสงสีเหลืองบาดตากระทบเจ้างูนั่น...

แสงสีฟ้า..เริ่มขยายใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้น..

“นายชื่ออะไร”..

“เดรโก..เดรโก มัลฟอย แล้วเธอล่ะ”..

“เฮอร์ไมโอนี่”..

“เฮอร์มี”..

“เฮอร์-ไม-โอ-นี่”..

“เฮอร์มี”..

แสงสีฟ้า..ใกล้เข้ามามากขึ้น..มากขึ้น..พร้อมกับภาพแห่งความทรง..ภาพสุดท้าย..

ล็อกเก็ต สามอันที่เหมือนกัน ภายนอกมีลักษณะกลม จะว่าง่ายๆมันเป็นล็อกเก็ต สัญลักษณ์ หยินกับหยาง ด้านหนึ่งทำด้วยเงินส่วนอีกด้านทำด้วยทอง… ภายในมีรูปถ่ายของพวกเขาทั้งสามคน..
 เด็กชายสองคนยืนขนาบข้างเด็กหญิง.. เด็กชายผมบลอนด์ ดวงตาสีเทาซีดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหญิง. . เด็กหญิงผมสีน้ำตาลหยิกฟู..เด็กชายที่อายุมากกว่าผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับดวงตา…
รอยยิ้ม..มิตรภาพ..ความผูกพันธ์..ความอบอุ่นใจ…และน้ำตา…



แสงสีฟ้ากระทบร่างของเด็กชายและเด็กหญิง ทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า
 มือของแต่ละคนกุมล็อกเก็ตไว้แน่น.. ราวกับปกป้องความทรงจำที่แสนสุขนั้นไว้ไม่ให้เลือนหาย..

ชายผู้ไร้ความเมตตาอุ้มร่างบุตรชายของตนขึ้น จัดการถอดสร้อยล็อกเก็ตนั่นออกและโยนมันหาย
ไปในพุ่มไม้แล้วเดินจากไป หารู้ไม่ว่า ผู้มีดวงตาสีเขียวกลมโต รื้นด้วยน้ำตาแอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่
หูที่เหมือนกับค้างคาวกระดิกน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของล็อกเก็ตที่ตกลงอยู่ใกล้เท้าของมัน……


. . . . . . . . . . . . . . . . .  . .






ข้าขอสาบานอย่างจริงจังว่าข้านั้นหาดีไม่ได้


ข้าพเจ้าทั้งหลาย นายจันทร์เจ้า นายหางหนอน นายเท้าปุย และ นายเขาแหลม
ผู้ให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาตัวกวนแสนร้อยเล่ห์
มีความยินดีเสนอ


 4th Dimension of Relation 


žŸ
เช้าวันสดใสของช่วงปิดเทอม อากาศเย็นสบายต้องลงบนผิวหน้าของสาวน้อยที่มีชื่อว่า เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ เธอออกมาส่งพ่อแม่ของเธอซึ่งกำลังเดินทางไปทำงาน ก่อนจะใส่กุญแจประตูแล้วออกจากบ้าน ไป การวิ่งออกกำลังกายเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเธออย่างหนึ่งในช่วงเช้าของวันปิดเทอม

“อรุณสวัสดิ์ เฮอร์ไมโอนี่” เสียงหนึ่งเรียกชื่อของเธอขณะที่เธอวิ่งผ่านร้านเบเกอร์รี่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบผู้เรียกเธอ เขาเป็นพนักงานชายของร้านเบเกอร์รี่อายุมากกว่าเธอประมาณ 2-3 ปีนั่นเอง  แล้วเธอก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ แวะซื้อของต่างๆ ก่อนจะกลับมาร้านเบเกอร์รี่

“จะรับอะไรดี” พนักงานชายที่ชอบทักทายทุกเช้าที่เธอวิ่งผ่านถาม

“เหมือนเดิมค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ เธอชอบแวะมาที่นี่ทุกเช้าเป็นประจำ คงเป็นเพราะรสชาติและกลิ่นหอมของขนมปังที่เพิ่งอบใหม่ๆ เธอหันหลังกลับเพื่อจะไปนั่งพัก แต่เธอกลับเหยียบถูกเท้าของใครบางคนที่อยู่ด้านหลังเธอเข้า

“โอ๊ย!” เสียงนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ชาย “นี่เธอ..”

“ขอโทษค่ะ” เธอกล่าวพร้อมกับหันกลับไปมองชายผู้นั้น

มัลฟอย!? นั่นเอง

มัลฟอยเลิกคิ้วด้วยสีหน้าแปลกใจ พอๆกับเฮอร์ไมโอนี่ แต่เขาก็เปลี่ยนกิริยาท่าทางได้อย่างรวดเร็ว

“ไง ยัยเลือดสีโคลนซุ่มซ่าม” มัลฟอยพูดเสียงยานคางตามแบบฉบับของเขา “เธอทำให้รองเท้าฉันสกปรก   ดูซิ เพิ่งขัดมาแท้ๆ”

“แล้วไง ฉันไม่ได้มีตาหลังนี่ หรือว่านายมีล่ะ พ่อมนุษย์ต่างดาว” เธอโต้กลับ

“นี่เธออยากเจอดีรึไง” เขาจ้องเธอเขม็งแล้วเธอก็จ้องเขาตอบ ทั้งสองมองตากันนิ่งนาน สื่อความหมายของความไม่ชอบหน้าของอีกฝ่าย

“ก็ลองดูสิ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ ขณะนี้ผู้คนพลุกพล่านเดินมากันเยอะ เขาคงไม่ทำอะไรร้ายแรงหรอก
 และดูเหมือน มัลฟอยคงจะคิดเหมือนกับเธอ เขาเปิดทางให้เธอเดินผ่าน

“เฮอะ ลางไม่ดีแต่เช้าเลย แย่จริง” เธอบ่นพึมพำ ดังพอที่จะทำให้มัลฟอยได้ยิน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
เธอไม่คิดว่าจะเจอเขา ที่นี่ แถวบ้านเธอ ในโลกของมักเกิ้ล

“นายมาทำอะไรที่นี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามเมื่อมัลฟอยนั่งลงตรงข้ามเธอ

“ฉันควรจะถามเธอมากกว่า” เขาตอบ แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากปากของเฮอร์ไมโอนี่ เขาก็เลยตอบเธอกลับไป

“ฉันไม่อยากอยู่บ้าน เลยออกมาเที่ยว” เขาพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “แล้วเธอล่ะ”

“มาหาอะไรกิน” เธอตอบแบบกวนๆ ก่อนมองหน้าเขาที่ทำให้ต้องเธอบอกเขาไปว่า “บ้านฉันอยู่แถวนี้”

“งั้นหรอ แล้วแถวนี้มีโรงแรมดีๆมั้ย ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน” เขาถาม แล้วเธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
นี่เองที่ทำให้เขาเลิกทะเลาะกับเธอได้ง่ายๆ

“เรื่องนั้นชั้นไม่รู้หรอก แต่ถ้านายอยากรู้เดี๋ยวฉันจะโทรถามพ่อให้”

“โธ่ นึกว่า เกรนเจอร์ผู้รอบรู้จะตอบได้” มัลฟอยเริ่มแขวะเธอแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกเคืองๆ

“แต่นายก็มาขอความช่วยเหลือฉันนี่ มัลฟอย” เธอเริ่มประชด แต่ก่อนที่จะทะเลาะกันมากกว่านี้
 พนักงานชายพร้อมกับขนมปังหอมกรุ่นและเครื่องดื่มที่เฮอร์ไมโอนี่สั่งก็มาถึง

“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวกับพนักงานชายที่กำลังยื่นดอกไม้สีชมพูให้เธอ

“วันนี้ไม่มีดอกสีขาวเลย เฮอร์ไมโอนี่ แต่ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบ” พนักงานชายอธิบายแล้วยิ้มให้เธอ
 “นี่เพื่อนเธอหรอ”

“เอ่อ คงงั้นมั้งคะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบแล้วส่งเงินให้เขา แล้วเขาก็จากไป

“เฮอะ ฉันไม่นึกเลยนะว่า เลือดสีโคลนอย่างเธอจะชอบดอกไม้” มัลฟอยพูด

เฮอร์ไมโอนี่ไม่อยากเถียง จึงลงมือจัดการนมและขนมปังอุ่นๆ แต่แล้วกลับเปลี่ยนประเด็นเอาซะนี่

“แปลกนะ นายมาร้านเบเกอร์รี่แต่ไม่ยักจะซื้อกินซักอย่าง” เฮอร์ไมโอนี่กล่าว

“เอ้อ..ฉันไม่อยากกิน ฉันตั้งใจจะถามคนแถวนี้ เกี่ยวกับโรงแรมน่ะ แต่เจอเธอซะก่อน” เขาตอบ

“งั้นหรอ ฉันนึกว่านายมีปัญหาเกี่ยวกับมักเกิ้ลซะอีก อย่างการใช้เงิน หรือ..” เธอหยุดพูดก่อนที่มัล
ฟอยจะระเบิดออกมา เธอวางช้อนหลังจากจัดการอาหารในจานจนหมด

“แล้วนายจะทำอะไรต่อล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม

“ก็ไปเรื่อยๆ ถ้ารู้เรื่องโรงแรมก็ ส่งไปรษณีย์นกฮูกมาบอกฉันด้วยก็ดี” มัลฟอยตอบ

“ขอโทษนะ ฉันไม่มีนกฮูก” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ “แต่ถ้านายจะรอให้ฉันโทรศัพท์ถามพ่อให้…”

“เออๆ จะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันรออยู่ตรงนี้แหละ” มัลฟอยตอบ เขารำคาญเวลาที่เธอจะเริ่มบรรยาย

“ไม่ได้นายต้องไปกับฉัน แถวนี้ไม่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ ฉันก็ต้องไปโทรที่บ้าน แล้วฉันจะไม่เสียเวลาออกมาหานายหรอกนะ” ว่าแล้วเฮอร์ไมโอนี่เดินนำมัลฟอยไปที่บ้านของเธอ

. . . . . . . .

“ถึงแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ว่าพลางเปิดประตูเข้าไป มัลฟอยตามเธอเข้าไปแล้วมองดูรอบๆ ความรู้สึกอันคุ้นเคยเกิดขึ้นในใจของเขา เหมือนกับว่านานมาแล้วเขาเคยมาที่นี่ ที่ที่เขาผูกพันกับ.. กับใครล่ะ เขาพยายามนึกแต่เขาก็ไม่สามารถนึกออก… เขาหันกลับมามองที่สาวน้อยวัยสิบหก

หลังจากที่เดินมาเปิดโทรทัศน์ แล้วเธอก็หายเข้าไปในครัวคว้าโทรศัพท์ไร้สายติดมือไปด้วย
 และกลับออกมาพร้อมกับขนมทานเล่น

“เป็นอะไรไป มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น เมื่อเห็นอาการครุ่นคิดและเหม่อลอย

“ก็ไม่มีอะไร แต่ฉันรู้สึกคุ้นๆกับบ้านหลังนี้ยังไงไม่รู้ นี่เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดเลยรึเปล่า เกรนเจอร์”

“ใช่ แหงอยู่แล้ว แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่านายจะเคยมาที่นี่น่ะ มันไม่น่าเป็นได้”

“ก็คงจะอย่างนั้น” มัลฟอยพูด “แล้วเรื่องที่พักล่ะ ว่าไง”

“พ่อไม่รับสาย เดี๋ยวค่อยโทรไปอีกที นายก็อยู่นี่ก่อนก็ได้” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ “ว่าแต่ทำไมนายไม่ไปที่ตรอกไดแอกอนล่ะ ไปพักที่ร้านหม้อใหญ่รั่วน่ะ”

“ฉันไม่อยากไปที่นั่น”

“แล้วทำไมถึงเลือกที่จะมาแถวนี้” เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างสงสัย

“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆก็นึกขึ้นมาได้..” มัลฟอยทำหน้าเซ็งๆ เขาไม่ค่อยอยากจะอยู่นักหรอก
 บ้านของพวก ‘เลือดสีโคลน’พวกนี้ คำๆนั้นยังคงดังอยู่ในจิตใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระเบียบน่าอยู่
และน่าค้นหาที่มาของความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยนี้สำหรับตัวของเขาเองก็เถอะ

แต่เขาก็นั่งลงบนโซฟาดูรายการโทรทัศน์ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่จัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อย
 แล้วหยิบหนังสือเล่มโตออกมานั่งอ่านที่โซฟา โดยพยายามที่จะไม่สนชายผู้นั่งอยู่ข้างๆ
ที่ขยับตัวอย่างไม่เป็นสุขบนโซฟา แต่ความสงสัยกลับเกิดขึ้นในความคิดของเธอ ความคิดที่ว่า
ทำไมเขาไม่ชวนเธอทะเลาะเหมือนทุกครั้ง.. การทะเลาะที่ล้วนแต่จะสร้างความรุนแรง
ความเจ็บใจให้กับแต่ละฝ่าย แต่เพียงแค่..

“นี่เธอ จะให้ฉันดู เอ่อ ไอเครื่องบ้านี่อีกนานมั๊ยฮะ”

“ไอเครื่องบ้าของนายน่ะ ฉันเรียกว่า โทรทัศน์ และถ้านายเบื่อนายก็เปลี่ยนช่องสิ รีโมตก็อยู่บนโต๊ะนั่นไง”    เฮอร์ไมโอนี่พูดโดยที่สายตาเธอไม่ได้ละจากหนังสือเลย

เงียบ. ...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มัลฟอยไม่ได้เปลี่ยนช่องหากแต่นั่งจ้องรีโมท์อยู่อย่างนั้น จนเฮอร์ไมโอนี่สังเกตได้

“นี่เมื่อไหร่นายจะเปลี่ยนช่องสักที” เธอถามแล้วละสายตาจากหนังสือมองไปที่โทรทัศน์ที่กำลังโฆษณาและมอง กลับมาที่มัลฟอย

“เอ้อ ฉันไม่ได้อยากจะดูสักหน่อย” เขาแก้ตัวแล้วก็เปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ “แล้วเรื่องโรงแรมล่ะ
นี่ฉันไม่อยากอยู่บ้านเธอนานหรอกนะ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากให้นายอยู่นักหรอก” เฮอร์ไมโอนี่แล้วเดินไปคว้าโทรศัพท์

ระหว่างที่เฮอร์ไมโอนี่โทรศัพท์อยู่ มัลฟอยก็คว้ารีโมท์ขึ้นมาพิจารณา

“เฮ้ นายอย่าทำโทรทัศน์ฉันพังนะ” เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งรอสายพ่ออยู่ตะโกนข้ามห้องมาด้วยรอยยิ้ม

“โธ่ เงียบน่า” มัลฟอยบ่นสีหน้าเริ่มแดงด้วยความอาย

และแล้วรอยยิ้มของเฮอร์ไมโอนี่ก็หายไปเมื่อได้คุยกับพ่อของเธอ

มัลฟอยได้ยินเสียงโวยวายของเฮอร์ไมโอนี่เล็ดรอดผ่านเข้ามาในหู จนเขารำคาญและไม่คิดจะ
ฟังบทสนทนาจึงใจจดใจจ่ออยู่กับโทรทัศน์ เมื่อเฮอร์ไมโอนี่เดินกลับมา

“ว่าไง ฉันไม่รู้ว่าเธอจะโวยวายเสียงดังทำไม แค่เรื่องหาที่พักให้ฉันเนี่ย” มัลฟอยถาม

“ก็เพราะนายนั่นแหละ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ “พ่อบอกว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีโรงแรม
จะมีก็มีอยู่ที่เดียวแต่ห้องเต็มหมดแล้ว เพราะที่พ่อไปจองให้ลูกค้าน่ะเป็นห้องสุดท้าย แล้ว..”

“แล้วไง”

“แล้วก็ แย่ที่สุดน่ะสิ พ่อบอกให้นายนอนค้างที่นี่”

˜TBC

No comments:

Post a Comment