Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Monday, July 20, 2015

IV: Pure Blood สายเลือดแห่งความตาย

Chapter 1: บทนำ

          เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับหอพักด้วยจิตใจที่ร่าเริงและเบิกบานเพราะศาสตราจารย์เวคเตอร์ผู้สอนวิชา
ตัวเลขมหัศจรรย์ไม่ได้การบ้านกับเธอเลยสักข้อ เด็กสาวยิ่งดีใจเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของรอนที่
กำลังบ่นเรื่องการบ้านวิชาพยากรณ์ศาสตร์ของศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ที่ให้เขาและแฮร์รี่มามากมายเหลือเกิน

“ยายค้างคาวแก่หนังเหี่ยว” รอนพึมพำบ่นอย่างขุ่นเคืองใจ เฮอร์ไมโอนี่รีบร้องทัก

“การบ้านแยะเหรอ” เธอถามเสียงใสระคนเย้าเมื่อเดินตามพวกเขาทัน “ศาสตราจารย์เวคเตอร์ไม่ได้ให้
การบ้านเราเลยล่ะ!”

“ขอให้ศาสตราจารย์เวคเตอร์จงเจริญๆ” รอนประชด

ทั้งสามเดินมาถึงหน้าโถงทางเข้าที่มีนักเรียนกำลังทะยอยเข้าไปในห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารค่ำอยู่
เสียงร้องทักดังลั่นอยู่ท้ายแถว

“วีสลียื วีสลีย์”

เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

“มัลฟอย เธอจะก่อเรื่องอะไรกันอีกล่ะนี่” เธอพึมพำเบาๆกับตัวเองขณะที่มองดูรอนซึ่งเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ

“มีอะไร” รอนถามห้วนๆ มัลฟอยยิ้มเหยียดๆ

“พ่อนายอยู่ในหนังสือพิมพ์แน่ะ วีสลีย์” มัลฟอยพูดพลางโบกหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ตในมือไปมา
แล้วเริ่มต้นอ่านข่าวด้วยเสียงที่ดังลั่นเพื่อเรียกร้องให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นสนใจ

“มีรูปด้วยนะ” มัลฟอยพูด “ถ่ายที่หน้าบ้านนายด้วย นี่เขาเรียกว่าบ้านอย่างนั้นหรือ วีสลีย์
พวกฉันเรียกไอ้นี่ว่าโรงเลี้ยงม้านะ อ้อ แม่นายนี่น่าจะลดน้ำหนักหน่อยนะ ว่ามั้ย”

รอนตัวสั่นด้วยความโกรธ เฮอร์ไมดอนี่พยายามมองหน้ามัลฟอยแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจ

“ทุเรศน่า มัลฟอย” แฮร์รี่พูด “มาเถอะรอน....”

“อ้อ นายก็ไปอาศัยที่นั่นตอนหน้าร้อนที่ผ่านนี่นะพอตเตอร์ ไหนช่วยบอกสิว่าแม่ของเจ้าหมอนั่นน่ะอ้วน
ตุ๊ต๊ะจริงหรือเปล่า” มัลฟอยยังไม่ยอมเลิก

“แล้วแม่ของนายล่ะ มัลฟอย” แฮร์รี่ตอบอย่างใจเย็น มือพยายามรั้งชายเสื้อคลุมของรอนไว้
โดยมีเฮอร์ไมโอนี่ช่วยอีกแรง รอนพยายามออกแรงดิ้นเต็มที่เพื่อที่จะพุ่งเข้าใส่มัลฟอย

“แม่ของนายทำหน้าเหมือนมีของเหม็นๆจ่ออยู่ใต้จมูกตลอดเวลาเลยนะ แม่นายทำหน้าแบบนั้น
ตลอดเวลาเลยหรือเปล่าแม้แต่เวลาอยู่กับนายน่ะ” แฮร์รี่พูดต่อ

มัลฟอยหน้าเร่มมีสีชมพูจางๆ “นายอย่าได้กล้าสบประมาทแม่ของฉันนะ พอตเตอร์”

“งั้นหุบปากเสียๆของนายซะ มัลฟอย” แฮร์รี่ตอบพลางหมุนตัวกลับโดยมีรอนที่ทำท่าฮึดฮัดเดินตาม

ปัง!

ความร้อนพุ่งผ่านถากใบหน้าของแฮร์รี่ไปพร้อมๆกับเสียงหวีดร้องอย่างตกใจของคนรอบๆ
เขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมทันที

ปัง!

เสียงดังกึกก้องเป็นครั้งที่สองตามด้วยเสียงตะโกนร้องที่ดังลั่นไปทั่วห้องโถง

“อย่าทำแบบนั้นเป็นอันขาด พ่อหนุ่ม”


ศาสตราจารยืมูดดี้เดินลงจากบันไดด้วยท่าทางขโยกเขยกมือถือไม้กายสิทธิ์และชี้ตรงไปที่ตัวเฟเร็ต
สีขาวสะอาดที่กำลังนอนตัวสั่นอยู่ที่ที่มัลฟอยเคยยืนอยู่

“ฉันไม่ชอบคนที่ทำร้ายคนจากด้านหลัง” เขาคำรามอย่างน่ากลัวพลางโบกไม้กายสิทธิ์ขึ้นลง
 ร่างสีขาวของเฟเร็ตลอยสูงขึ้นและตกลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่น มันร้องเสียงแหลมอย่างเจ็บปวด

“น่ารังเกียจ ขี้ขลาดตาขาว โสโครก” มูดดี้พูดพลางสะบัดไม้กายสิทธ์ขึ้นลง เฟเร็ตกะดอนขึ้นและลอย
ลงกระแทกพื้นตามจังหวะของไม้

“อย่า...ทำ...แบบ...นี้....อีก.....!!!!” มูดดี้ออกเสียงเน้นย้ำทีละคำตามจังหวะกระแทกของเฟเร็ต

เฮอร์ไมโอนี่มองดูมัลฟอยในร่างของเฟเร็ตอึ้ง เธอพยายามจะร้องห้ามแต่เหมือนเสียงติดค้างอยู่ในลำคอ

“อย่า” เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากออกมาเบาหวิวจนแม้แต่ตัวของเธอเองยังไม่ได้ยิน
ใจหนึ่งสงสารมัลฟอยแต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกสมน้ำหน้าเขาที่มาหารเองรอน เสียงศาสตราจารย์มักกอนนากัล
ร้องอย่างตกใจ

“ศาสตราจารย์มูดดี้” เธอร้องเสียงดังลั่น

“อย่าบอกนะคะว่านั่นเป็นนักเรียน” เธอโบกไม้กายสิทธิ์ในมือทันที ร่างของเฟเร็ตค่อยๆกลายเป็นมัลฟอยดังเดิม
เขานอนกองอยู่กับพื้นผมสีบลอนด์ลู่ตกลงปรกใบหน้าที่เป็นสีเข้มจัด เขาส่งเสียงครางเบาๆ

“พวกเราไม่ลงโทษนักเรียนโดยการแหลงร่างนะคะ เราใช้วิธีกักบริเวณหรือไม่ก็แจ้งให้อาจารย์ประจำ
บ้านของผู้ที่ทำผิด”

“งั้นผมจะทำ” เขาเดินไปหามัลฟอยที่ยืนโงนเงนอยู่ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวด
 เด็กชายกัดฟันจ้องหน้ามูดดี้ด้วยความแค้นปากก็บ่นพึมพำ

“พ่อของฉัน”

“งั้นรึ” มูดดี้พูดค่อยๆ “ฉันรู้จักพ่อของเธอดีและรู้จักมานานแล้ว บอกเขาด้วยว่าฉันกำลังยืนจ่อ
อยู่ใต้คอหอยของเขา ทีนี้อาจารย์ประจำบ้านของเธอคือสเนปใช่หรือไม่”

“ใช่” มัลฟอยตอบห้วนๆ

“เพื่อนเก่าแก่ของฉันล่ะ อดใจแทบไม่ไหวสำหรับการได้เจอ มากับฉันสิ” เขากระชากลากมัลฟอยเดินออกไป

“อย่าเพิ่งพูดกับฉันนะ”รอนทำท่าเคลิ้มฝันหลังจากนั่งลงที่โต๊ะอาหารของพวกเขา สีหน้าดูดีที่สุด

“เดรโก มัลฟอย เฟเร็ตเจ้าแห่งลีลากระเด้งxxxนที่สุดแสนจะน่าทึ่ง”

แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน

“แต่ฉันว่าเขาคงจะเจ็บมากเลยนะ” เฮอร์ไมโอนี่อดพูดขึ้นไม่ได้ รอนทำตาโต

“เฮอร์ไมโอนี่ !!!” รอนร้องเสียงลั่นอย่างโกรธๆ “เธอกำลังทำลายนาทีที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ”

เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าอ่อนใจก่อนจะรีบรับประทานอาหารอย่างเร็ว ใจหนึ่งเธออยากจะไปที่ห้องสมุด
ในขณะที่อีกใจหนึ่งเธออยากจะไปดูมัลฟอยที่ห้องพยาบาล เด็กสาวรีบรวบช้อนแล้วดื่มน้ำ

“อย่าบอกนะว่าเธอจะไปที่ห้องสมุดอีกน่ะ” แฮร์รี่ร้องถาม

“ต้องไปน่ะ” เธอโบกมือแล้วรีบวิ่งออกไปทันที


                มัลฟอยส่งเสียงร้องครางเบาๆหลังจากที่แครบและกอยล์ค่อยๆประคองเขานอนลงบนเตียงในห้องพยาบาล

“เจ้าตาเดียว ฉันจะต้องหาทางล้างแค้นมันให้ได้คอยดูสิ” เขาพึมพำด้วยเสียงขุ่นแค้น แครบและกอยล์มองหน้ากัน

“แล้วนายจะแก้แค้นเขายังไงล่ะมัลฟอย เขาเก่งมากนะ”

“ฉันรู้แล้วน่ะ เจ้าโง่!” มัลฟอยตะคอกแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว ผมสีน้ำตาลไหววูบที่ประตูห้องพยาบาล
 มัลฟอยขมวดคิ้วน้อยๆก่อนจะพูดขึ้น

“พวกนายไปได้แล้ว”

“แต่ว่า” กอยล์อึกอัก มัลฟอยจึงตะคอกด้วยความรำคาญ

“ฉันบอกว่าให้ออกไป ไปให้หมดได้ยินไหม”

แครบและกอยล์สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจก่อนจะรีบลนลานออกจากห้อง มัลฟอยเม้มปากเล็ก
น้อยเมื่อเห็นผู้ที่ก้าวเข้ามาแทน

“จะมาสมน้ำหน้าฉันงั้นล่ะสิ เกรนเจอร์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงประชดเชิงน้อยใจ เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ
ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียง

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เธอตอบเสียงห้วนๆขณะที่มองดูเขา รอยช้ำแดงปรากฏอยู่ทั่วตัว
 เด็กชายหันหน้าไปมองทางอื่นอย่างขุ่นเคืองใจ

“เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงที่ถามดูอ่อนโยนขึ้น เด็กชายเงียบไม่ตอบ เฮอร์ไมโอนี่จับมือของเขาเบาๆ

“มัลฟอย”

เงียบ

“ถ้าไม่ชอบที่ฉันมาเยี่ยม ฉันก็จะไปล่ะรอแพนซี่เขามาดูแทนก็แล้วกัน” เธอลุกขึ้นหมุนตัวทำท่าจะ
เดินออกไป มัลฟอยรีบจับมือของเธอไว้

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไปสิ” เขาร้องเรียกอย่างเร็ว เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก

“อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปอย่างนั้นเหรอ” เขาบ่นเฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว

“ฉันตั้งใจจะมาเยี่ยมเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจนี่”

“ใครบอกล่ะ” เด็กชายตอบใบหน้าสีชมพูระเรื่อขณะที่พูดเบาๆ

“ฉันดีใจต่างหาก”

เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มน้อยๆอย่างพอใจกับคำพูดของเขาแต่ไม่วายหยอกเย้า

“เธอพูดว่าอะไรนะ ฉันไม่ค่อยได้ยินเลย”

“ช่างเถอะ” มัลฟอยตัดบทเขามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่นิ่ง

“เธอเป็นยังไงบ้าง” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้างงๆ

“นั่นควรจะเป็นคำถามของฉันมากกว่านะ มัลฟอย” เธอย้อน มัลฟอยส่ายหน้า

“ฉันหมายถึง.....ช่างเถอะ” เขาตัดคำพูดด้วยความน้อยใจระคนเสียใจ เด็กสาวมองดูเขาแล้วเอื้อมมือไปบีบมือเขาเบาๆ

“เธอแปลกๆไปนะ มัลฟอย เธอทำท่าเหมือนไม่อยากคุยกับฉันเลยตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น”

มัลฟอยมองดูเฮอร์ไมโอนี่เขากัดริมฝีปากตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบแก้มเด็กสาวเบาๆด้วยท่าทางที่อ่อนโยน

“ฉันแค่ไม่อยากให้เธอเดือดร้อนอีก ก็เท่านั้น” มัลฟอยตอบก่อนจะดึงตัวเฮอร์ไมโอนี่ลงมาจูบเบาๆที่แก้ม
 เด็กสาวขืนตัวเล็กน้อยแต่ก็ยินยอมโดยดี

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก เธอไม่ต้องเป็นห่วง หนักกว่านี้ก็เคยโดนมาแล้วนี่” เขาหัวเราะเบาๆกับตัว
เองด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขมขื่น เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองดูเขาอย่างเงียบๆก่อนจะลุกขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ นอนพักให้หายดีแล้วค่อยไปเรียน ฉันจะจดChapter 2: นักเรียนลึกลับ


                หลังจากที่ได้หมกมุ่นอยู่ในห้องสมุดยาวนานหลายวัน เฮอร์ไมโอนี่หอบกล่องกระดาษใส่ของบางอย่างเดินกลับหอด้วยท่าทางภูมิใจ เธอก้าวผ่านข้ามช่องประตูหลังจากที่บอกรหัสผ่าน เด็กสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ได้เห็นรอนและแฮร์รี่กำลังทำการบ้านวิชาพยากรณ์ศาสตร์อยู่ด้วยท่าทางเบิกบานใจ เด็กสาววางของทุกอย่างที่หอบในมือลงแล้วหยิบการบ้านของรอนขึ้นมาดู

“ดูท่าทางเธอจะมีเคราะห์หนักนะ ดูสิ จมน้ำตั้งสองครั้ง” เธอทักขำๆ รอนรีบดึงการบ้านของเขากลับ

“ไหนดูซิ ว้าแย่จัง เอาอย่างนี้ให้โดนฮิปโปกริฟทำร้ายก็แล้วกัน ยายค้างคาวแก่นั้นดูจะชอบใจมากแน่ๆ” เขารีบลบและแก้การบ้านอย่างเร็ว เฮอร์มโอนี่มองอย่างขำระคนไม่ชอบใจ

“วิธีนี้ไม่ดีเลยนะรอน เหมือนเธอเห็นเป็นเรื่องเล่นสนุกมากกว่านะ ไม่คิดหรือว่าอาจารย์เขาจะจับได้น่ะ”

“เรื่องเล่นสนุก! นี่เธอเห็นพวกเราที่คร่ำเคร่งทำการบ้านแทบตายเป็นเรื่องเล่นสนุกอย่างงั้นเหรอ” รอนร้องตะโกน แฮร์รี่ส่ายหน้าก่อนจะมองดูกล่องกระดาษที่เธอวางไว้

“นั่นอะไรน่ะ” เขาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว

“น่าแปลกใจที่เธอถามนะ แฮร์รี่” เด็กสาวยกกล่องเขย่าเบาๆ เสียงดังเหมือนมีเหรียญโลหะกระทบกันเบาๆ

“ส.ร.ร.ส.อ” เธอตอบ

“อะไรนะ สรรสอ” รอนย้อนถามพลางชะโงกหน้าเข้ามามองภายในกล่อง

“ส.ร.ร.ส.อ!” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเสียงดังแทบตะโกน “สนับสนุนสมาคมเรียกร้องสิทธิเอลฟ์”

“หา!” ทั้งแฮร์รี่และรอนร้องออกมาอย่างแปลกใจพร้อมๆกัน

“ไม่เคยได้ยินเลยแฮะสมาคมนี้” รอนพูดเสียงดัง เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงเล็กน้อย

“แน่ละ ฉันเพิ่งจะตั้งมันขึ้นมานี่” เธอบอก

“เรอะ แล้วมีสมาชิกกี่คนแล้วล่ะ” รอนถาม

“ก็......สามคน รวมเธอสองคนด้วย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเร็วๆ

“ฉันไม่มีทางติดเข็มกลัดบ้าๆนี่เดินไปทั่วโรงเรียนหรอก” รอนร้องขึ้นมาเฮอร์ไมโอนี่หน้าเป็นสีจัดด้วยความโกรธ

“พวกเธอต้องติดมัน พวกเธอทนเห็นพวกเอลฟ์เป็นทาสมาตลอดได้ยังไงกัน หลายร้อยปีเชียวนะ”

เธอตะโกน

“แต่พวกนั้นชอบแบบนี้ ได้ยินไหม เอลฟ์ชอบแบบนี้” รอนเน้นย้ำคำพูดทีละคำ

“ค่าสมาชิกคนละสองซิกเกิ้ล” เฮอร์ไมโอนี่ไม่ฟังเธอพูดต่อไปอย่างไม่สนใจรอน

“เราต้องเริ่มหาสมาชิก แฮร์รี่เธอเป็นเลขานุการสมาคมนะ ส่วนเธอเป็นเหรัญญิกรอน”

เฮอร์ไมโอนี่คงจะอธิบายยืดยาวต่อไปหากไม่มีเสียงเคาะกระจกเบาๆที่หน้าต่าง แฮร์รี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

“เฮ็ดวิก!”



....................................................................................................................................



                หลังจากที่ได้อ่านจดหมายจากซีเรียส แฮร์รี่รู้สึกหงุดหงิดและไม่สบายใจเป็นอย่างมากที่ซีเรียสบอกว่าเขาจะรีบเดินทางมายังฮอกวอตส์เพื่อคอยดูแลเด็กชาย แฮร์รี่พยายามเขียนจดหมายไปหาพ่อทูลหัวของเขาเพื่อห้ามไม่ให้เขาเดินทางมาทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีอะไรจะขัดขวางความตั้งใจของซีเรียสได้ หลังจากส่งจดหมายไปกับเฮ็ดวิคแล้วแฮรืรี่รีบเดินกลับไปที่ห้องอาหาร เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นบรรดาอาจารย์ต่างหันหน้าพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จนเมื่อทุกคนนั่งประจำที่ครบทุกคนแล้ว ศาตราจารย์ดัมเบิลดอร์ลุกขึ้นโบกมือน้อยๆ

“เอาล่ะ ก่อนที่ทุกคนจะได้ลิ้มรสอาหารที่แสนจะเอร็ดอร่อยจากฝีมือของเหล่าเอลฟ์ประจำบ้านของฮอกวอตส์” เขาหลิ่วตาให้เฮอร์ไมโอนี่เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“ฉันมีข่าวจะแจ้งให้พวกเธอทราบสองเรื่อง เรื่องแรกคือการแข่งขันประลองเวทไตรภาคีที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ทางเดิร์มสแตรงค์และโบซ์บาตง จะมาถึงในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคมนี้ ขอให้พวกเราร่วมใจกันให้ความต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น”

“แล้วอีกเรื่องหนึ่งล่ะ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้วนะ” รอนกระซิบเบาๆกับแฮร์รี่ เขาปิดปากหัวเราะก่อนจะตั้งใจฟังอาจารย์ใหญ่ต่อ

“สำหรับอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันจะรีบบอกกับพวกเธอเพราะพวกเธอคงหิวจะแย่อยู่แล้ว นั่นก็คือ วันนี้เราได้รับเกียรติจากโรงเรียนพ่อมดทางยุโรบเหนือที่จะฝากนักเรียนดีเด่นสองคนมาศึกษาการเรียนการสอนของฮอกวอตส์ และแน่นอน ทั้งคู่ได้สวมหมวกคัดสรรเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ เชิญทั้งสองคน”

ดัมเบิลดอร์ผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญ ร่างสูงโปร่งของนักเรียนสองคนก้าวขึ้นมายืนที่ด้านหน้า เสียงฮือฮาอย่างสนเท่ห์ใจดังขึ้น รอนกระตุกเสื้อของแฮร์รี่เบาๆ

“ฝาแฝดแฮะ สงสัยจริงว่าจะเหมือนเฟร็ดกับจอร์จหรือเปล่า” เขาหันไปมองแฝดผู้เป็นพี่ชายที่กำลังอ้าปากค้างมองดูผู้มาเยือนทั้งสองเช่นเดียวกัน

“มิสเตอร์เฮเดส ไทม์คีปเปอร์ และมิสออโรร่า ไทม์คีปเปอร์” ดัมเบิลดอร์พูดขึ้น เด็กนักเรียนปรบมือต้อนรับเสียงดังเปาะแปะเพราะมัวแต่ตะลึงตาค้างอยู่ เฮเดส ไทม์คีปเปอร์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปทางดัมเบิลดอร์

“พวกเราไปนั่งได้หรือยังครับ ท่านอาจารย์ใหญ์”

“เชิญ สลิธีรินอยู่ทางด้านนั้น ส่วนกริฟฟินดอร์อยู่อีกด้านใกล้ๆกัน” ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์บอกเด็กทั้งสองคน ทั้งคู่เดินตรงไปนั่งประจำที่ทันที อาจารย์ใหญ่แห่งฮอกวอตส์ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะปรบมือดังๆ

“เอาล่ะ ทานให้เรียบเลยนะ”

อาหารหลายหลายชนิดปรากฏขึ้นในชามทอง เด็กๆต่างพากันกินอย่างหิวกระหายในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองดูเด็กสาวที่นั่งข้างๆเธอพลางยื่นจานใส่เนื้อแกะย่างให้ เธอส่ายหน้าน้อยๆแล้วเอื้อมมือไปตักมันบดแทน

“ท่าทางจะเป็นพวกผักนิยม” รอนกระซิบกับแฮร์รี่ทั้งที่เนื้อแกะยังล้นปาก ออโรร่าหันไปมองดูเขาดวงตาสีดำสนิทนิ่งเสียจนรอนกลืนแกะลงคออย่างยากลำบาก เฮอร์ไมโอนี่ทำตาดุใส่เพื่อนของเธอ

“พูดอะไรรู้จักคิดบ้างสิ รอน”

“ไม่เป็นไร” เสียงตอบเรียบๆดังมาจากปากที่บางแต่มีสีแดงสดจนน่ากลัว เฮอร์ไมโอนี่มองดูเธออย่างทึ่งเล็กน้อย ออโรร่าแม้จะอายุ 14 เท่ากับเธอแต่ดูเหมือนจะมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่มาก ผมสีดำสนิทเหยียดตรงตัดกับดวงหน้าที่ขาวจนเกือบจะซีดแต่ริมฝีปากกลับแดงสดราวกับแต้มสีไว้ ดวงตาสีดำที่นิ่งราวกับก้นทะเลสาบมองทุกอย่างรอบๆตัวอย่างระวังทำเฮอร์ไมโอนี่นึกถึงสเนปขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ทันที เสียงหัวเราะดังมาจากทางโต๊ะสลิธีริน เด็กสาวละสายตาจากเพื่อนใหม่แล้วมองไปอย่างอยากรู้ มัลฟอยกำลังนั่งหน้างอขณะที่เฮเดส ไทม์คีปเปอร์ดูจะเป็นคนช่างพูดช่างคุยจนเป็นขวัญใจของเด็กสาวสลิธีรินหลายๆคน

“พี่เขาเป็นคนช่างพูดแบบนี้แหละ” เสียงเรียบเย็นดังมาจากปากบางเฉียบ เฮอร์ไมโอนี่ลดสายตามามองดูเพื่อใหม่ของเธอที่กำลังจ้องไปทางโต๊ะสลิธีรินเช่นเดียวกัน

“แต่น่าจะรู้นะว่าทำไมเขาถึงถูกส่งไปที่นั่น” เธอหันมามองดูเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะเลื่อนตาไปมองทางอื่น อย่างช้าๆและไร้อารมณ์ เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากจะถามแต่เปลี่ยนใจ

“เธอนอนห้องไหนกันน่ะ”

“ดูเหมือนว่าทางนี้จะจัดห้องให้ฉันเพิ่มเรียบร้อยแล้ว มันคงจะแยกห่างจากพวกเธอนิดหน่อยแต่อยุ่ในหอเดียวกันน่ะแหละ” ออโรร่าตอบพลางวางมีดกับส้อมลงแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“ฉันขอตัวก่อนนะ” เธอลุกขึ้นเฮอร์ไมโอนี่รีบดื่มน้ำและลุกขึ้นยืนตาม ออโรร่ามองดูเธออย่างฉงน

“ฉันจะกลับหอพอดี แล้วอีกอย่างเธอคงยังไม่รู้รหัสผ่าน” เฮอร์ไมโอนี่รีบบอก ออโรร่าหัวเราะในลำคอ

“ถ้าเรื่องนั้นฉันรู้แล้วล่ะ แต่ก็ขอบใจนะที่เป็นห่วง” เธอยอมเดินไปพร้อมๆกับเฮอร์ไมโอนี่แต่โดยดี ทั้งคู่ออกไปจากห้องอาหารโดยไม่รู้ว่ามัลฟอยได้มองตามหลังเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก

“สนใจเด็กคนนั้นเรอะ” เฮเดสถามมัลฟอยเบาๆ เด็กชายผิวซีดชักสีหน้าไม่พอใจทันที

“ใครจะไปสนใจพวกเลือดสีโคลนกัน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงห้วนกระชากก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหารอย่างไม่สบอารมณ์

 เลคเชอร์มาให้”

“ขอบใจ ยายผมยุ่งหนอนหนังสือ”



Chapter 3: การมาของเหล่าไตรภาคี


            เช้าวันรุ่งขึ้นเฮอร์ไมโอนี่เดินไปที่ห้องสมุดเหมือนทุกครั้งก่อนจะไปรับประทานอาหารเช้า เธอทำหน้าประหลาดใจที่เห็นใ
ครคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะในยามเช้าแบบนี้นอกจากเธอแล้วไม่มีนักเรียนคนใดในฮอกวอตส์
ที่จะมาอ่านหนังสือก่อนอาหารเช้า เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆเดินอย่างระวังเพท่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวและเงย
หน้าขึ้นมามอง

“อรุณสวัสดิ์ คุณเกรนเจอร์” ออโรร่าทักด้วยเสียงแผ่วราวกระซิบ เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนจะหยิบหนังสือมาสามสี่เล่ม
แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างระวัง

“อรุณสวัสดิ์ คุณไทม์คีปเปอร์” เธอตอบพลางกางหนังสืออกอ่าน ออโรร่ามองดูเธอนิ่งจนเฮอร์ไมโอนี่ทนไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามออกมา

“ฉันมีอะไรผิดปรกติอย่างนั้นหรือ”

“เปล่า เพียงแต่ฉันกำลังคิดว่าที่เขาลือกันน่ะเป็นความจริง” ออโรร่าตอบยิ้มๆ เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้างงๆ

“ใครลือเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”

“เรื่องที่ว่าเธอขยันมากที่สุดในบรรดานักเรียนในฮอกวาอตส์น่ะสิ” เด็กสาวตอบในขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“ก็แค่ฉันชอบค้นคว้า ชอบการอ่านเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรแปลกหรอก” เธอตอบอย่างไม่สนใจก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ
ออโรร่ามองดูหนังสือที่เฮอร์ไมโอนี่กำลังอ่าน

“นั่นมันหนังสือของปี 5 นี่”

“แค่อ่านผ่านๆตาไว้ก่อนเท่านั้นน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นยิ้มๆ

“แบบนี้เขาเรียกว่าอัจฉริยะมากกว่าคุณเกรนเจอร์” ออโรร่าเอ่ยชม เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าน้อยๆ

“อันที่จริงฉันเองก็เคยผ่านช่วงที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมาก่อนนะ” เธอพูดแล้วนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้เรื่องเลยทำหน้าเจื่อนๆ

“หมายถึงตอนที่คุณความจำเสื่อมน่ะเหรอ” ออโรร่าถามเรื่อยๆในขณะที่มือเรียวบางเปิดหนังสือไปทีละหน้าอย่างช้าๆสายตา
ที่คมนิ่งไล่อ่านตามอย่างรวดเร็ว เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าแปลกใจ

“เธอรู้ได้ยังไงกัน”

“หือม์” ออโรร่าทำท่าราวกับนึกขึ้นมาได้ก่อนจะพูดอย่างเร็ว

“มีคนเล่าให้ฟังน่ะ รู้สึกว่าจะชื่อมิสบราวน์หรือยังไงนี่ล่ะ” เธอตอบพลางปิดหนังสือที่อ่านจบแล้วก่อนจะเริ่มหยิบเล่มใหม่
ขึ้นมาเปิดออกอ่าน เฮอร์ไมโอนี่มองดูกิริยาของเพื่อนใหม่อยู่อย่างเงียบๆ ออโรร่าอ่านหนังสือเร็วมาก ดูเหมือน
เธอจะอ่านเพื่อศึกษาเรื่องราวต่างๆที่ผ่านไปมากกว่าจะหาความรู้เพิ่มเติม เด็กสาวไล่ตามองรายชื่อหนังสือที่วางตั้งเรียง
รายไว้ไม่น้อยกว่าสิบเล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพ่อมดในสมัยต่างๆ เรื่องราวเหตุการณ์ก่อกบฏของพวกก็อบลิน
หรือแม้แต่เรื่องเกี่ยวกับการทำลายล้างพ่อมดแม่มดในสมัยยุคกลางที่พวกมักเกิ้ลนิยมกระทำกัน ตลอดจนประวัติต่างๆของเหล่ามัก
เกิ้ลในช่วงสองสามร้อยปีที่ผ่านมา

“ดูเหมือนเธอจะในใจประวัติศาสตร์มากกว่าเวทมนต์นะ ไทม์คีปเปอร์” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น รอยยิ้มฉาบบนปากที่มีสีแดงสด

“กรุณาเรียกฉันว่าออโรร่าดีกว่า คุณเกรนเจอร์” เธอเงยหน้าขึ้น “ที่เก่าของฉันน่ะไม่ค่อยมีเรื่องพวกนี้ให้อ่านเท่าไหร่นักหรอก
ส่วนมากจะเน้นการสอนพวกเวทมนต์ด้านมืดมากกว่าด้วยซ้ำ สำหรับฉันมันน่าเบื่อแทบตาย” เธอปปิดหนังสือลงหลังจากที่อ่านจบแล้ว
เฮอร์ไมโอนี่ทำตาโตอย่างสนใจ

“สอนเวทมนต์ด้านมืด ทำได้ยังไงกันน่ะ” เธอขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเพื่อนสาวอย่างเร็วจนออโรxxxึกขำ

“ไม่เห็นว่ามันจะน่าแปลกที่ตรงไหน ก็ที่นั่นน่ะรับเฉพาะเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นวิชาที่สอนก็ต้องเป็นวิชาของพ่อมดแท้ๆ
โดยเฉพาะคำสาบ เหมือนพวกเดิร์มสแตรงก์ไง”

“พวกเดิร์มสแตรงก์อย่างนั้นเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่พูดทวนคำเบาๆ ออโรร่าพยักหน้าก่อนจะเริ่มเก็บหนังสือ

เฮอร์ไมโอนี่มองตามหลังเพื่อนใหม่ของเธอด้วยสีหน้าไตร่ตรองก่อนจะลุกขึ้นเก็บหนังสือของเธอบ้าง

“ไปห้องอาหารกันเถอะคุณเกรนเจอร์” ออโรร่าพูดชวน

“เรียกฉันว่าเฮอร์ไมโอนี่ก็ได้” เด็กสาวบอกก่อนจะเดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน

* * * * * * * * * * * *


                การเรียนในปีที่สี่ดูเหมือนจะยากขึ้นทุกวันจนแม้แต่เฮอร์ไมโอนี่เองยังรู้สึกเหนื่อยในบางครั้ง แต่ดูเหมือนออโรร่า
จะไม่เป็นอย่างนั้น เธอดูสนุกสนานกับการเรียนที่ฮอกวอตส์มากโดยเฉพาะวิชาของแฮกริด เด็กสาวจะทำท่าตื่นเต้นทุกครั้ง
ที่ได้เข้าเรียนต่างจากพี่ชายของเธอที่ทำท่าราวกับเป็นมัลฟอยคนที่สอง เขาดูสำอางค์และทำท่าราวกับเป็นเจ้าชายเกือบตลอดเวลา
จนทำให้มัลฟอยรู้สึกอยากจะสาบเขาให้กลายเป็นไส้เดือนวันละร้อยครั้ง

“ฉันเกลียดไอ้ไทม์คีปเปอร์ที่สุด มากกว่าเจ้าพอตเตอร์ด้วยซ้ำ” มัลฟอยบ่นกับแครบและกอยล์ในวันหนึ่ง ทั้งคู่มองหน้าเพื่อน
ของเขาที่กำลังโยนก้อนหินลงไปในทะเลสาปอย่างระบายอารมณ์

“เขาทำอะไรให้นายเรอะ” กอยล์ถามแล้วหดหัวลงทันทีอย่างรวดเร็วเมื่อนำขึ้นได้ว่าได้ถามคำถามที่ไม่เข้าท่าออกไป

“ลองฉันเกลียด มันก็ไม่จำเป็นต้องทีเหตุผลว่าทำไมหรอกเจ้าโง่” มัลฟอยตะคอกก่อนจะนิ่งเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังเดินลงมา
ที่ทะเลสาปด้วยท่าทางสบายๆ

“ฉันอยากอยู่ที่นี่คนเดียวสักพัก พวกแกกลับไปที่หอก่อน” เขาพูดกับลูกน้องทั้งสองคนโดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเด็กสาว
ที่กำลังเดินลงมา แครบและกอยล์มองหน้ากันอย่างงงๆจนมัลฟอยนึกรำคาญใจ

“หรือจะต้องให้ฉันเสกคาถาโยนพวกแกกลับเข้าไป หา!” เขาตวาดเสียงลั่นจนสมุนทั้คู่สะดุ้งและรีบลนลานวิ่งกลับเข้า
ไปในปราสาท มัลฟอยมองดูอย่างเบื่อๆก่อนจะค่อยๆเดินช้าๆและเงียบๆตรงไปยังที่ที่เฮอร์ไมโอนี่นั่ง

เขาค่อยๆเดินอ้อมไปทางด้านหลังของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่ามีคนเข้ามาใกล้ๆ เธอกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
อย่างสนอกสนใจ มัลฟอยค่อยๆกางแขนออกและโอบรอบตัวของเด็กสาวไว้อย่างเร็ว เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งสุดตัวและอ้าปากจะร้องออกมา
 แต่กลับโดนปากนุ่มๆของมัลฟอยประกบปิดเอาไว้เสียก่อน เด็กสาวนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะดิ้นอย่างแรง

“ปล่อย” เธอร้องออกมาทันทีที่มัลฟอยถอนริมฝีปากออก เขายิ้มน้อยๆดวงตาสีซีดจับจ้องที่ใบหน้าของเธอก่อนจะเลื่อนจมูกลง
สูดกลิ่นหอมที่พวงแก้มของเด็กสาวเบาๆ

“เรื่องอะไร” เขาตอบ “โอกาสดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายนักสำหรับฉัน”

“โอกาสที่ทุเรศมากกว่า” เฮอร์ไมโอนี่พูดโกรธๆ “จะปล่อยได้หรือยัง”

“ยัง” มัลฟอยตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆมือที่กอดยิ่งกระชับแน่นขึ้น

“ไม่คิดถึงฉันบ้างเลยหรือไง เกรนเจอร์” เขาก้มหน้าลงถามเฮอร์ไมโอนี่เบาๆแต่เด็กสาวนิ่งเงียบจนเขากระชับวงแขนแน่นขึ้นไปอีก

“ว่าไง”

“ไม่” เฮอร์ไมโอนี่ตอบห้วนๆอย่างโกรธๆทั้งที่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมัลฟอยกอดเธอไว้เช่นนี้

“แต่ฉันคิดถึงเธอนะ” มัลฟอยพูดต่อไปเรื่อยๆจนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งนานเข้าเขาจึงคลายอ้อมกอดออกช้าๆ

“โกรธฉันเหรอ” เขาถามเบาๆ เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากน้อยๆ

“แล้วมีใครบ้างจะไม่โกรธถ้าจู่ๆมีผู้ชายมาแอบกอดแบบนี้” เธอตอบเสียงห้วนๆ มัลฟอยหัวเราะ

“จูบด้วย อย่าลืมสิ” เขาพูดราวกับจะเตือนความจำ เด็กสาวหน้าแดง

“ทุกเรื่องน่ะแหละ” เธอตอบสวนไปทันทีก่อนจะเริ่มลงมือเก็บหนังสืออย่างรวดเร็ว มัลฟอยมองดูอย่างนึกน้อยใจ

“คิดว่าเธอจะคิดถึงฉันบ้าง” เขาพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ

“ก็มีบ้าง แต่บางครั้งเธอทำตัวน่าเกลียดเองนี่”

“ฉันทำตัวน่าเกลียดตรงไหน” เด็กชายถาม เฮอร์ไมโอนี่ตอบโดยไม่มองหน้าเขา

“แกล้งแฮกริด หาเรื่องว่าแฮร์รี่กับรอน แล้วก็.....”เธอชะงักค้างเมื่อมัลฟอยลุกพรวดพราดขึ้น

“อ้อ ที่แท้ก็เป็นห่วงเจ้าพวกนั้น ในใจของเธอคงจะมีแต่ไอ้หน้าแผลเป็นกับไอ้หัวแดงเท่านั้น ใช่ไหมเกรนเจอร์”
 เขาถามเสียงดังราวกับตะคอก เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับนิ่งแต่มัลฟอยกลับถือว่ากิริยานี้คือการยอมรับ เขากัดฟันกรอดก่อนจะเดิน
จากไปโดยไม่ยอมพูดอะไรสักคำ เด็กสาวอ้าปากค้างก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ

“ทำไมกันนะมัลฟอย เธอคนที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยนหายไปกับกาลเวลาแล้วหรือยังไงกัน” น้ำตาใสๆไหลรินออกมาขณะ
ที่เธอเก็บหนังสือต่อแล้วเดินกลับเข้าไปในปราสาท โดยไม่รู้ตัวว่ามีสายตาที่คมกริบเฝ้ามองดูเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตลอดเวลา
รอยยิ้มที่แสนร้ายกาจปรากฏขึ้นก่อนจะเลือนหายไปกับความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมา

                                    **************************************************



                ในวันรุ่งขึ้นทุกคนพากันประหลาดใจเมื่อศาสตราจารย์มูดดี้ประกาศว่าเขาจะเสกคำสาปสะกดใจใส่นักเรียนทีละคน
 เฮอร์ไมโอนี่กล่าวแย้งแต่กลับถูกต่อว่าราวกับไล่เธอให้ออกไปจากห้องเรียน เด็กสาวยืนนิ่งอึ้งแล้วมองดูเพื่อนๆในชั้นเรียนที่
โดนคำสาปคาถาทีละคนๆ ทุกคนดูตื่นเต้นระคนตกใจกลัว ยกเว้นออโรร่าที่มองดูราวกับว่าคาถาที่มูดดี้ร่ายใส่เพื่อนๆนั้นเป็น
คาถาที่อ่อนหัดเสียเหลือเกิน เธอปฏิเสธที่จะเข้าร่วมด้วยเหตุผลที่ว่าเธอได้รับการเรียนการสอนมาแล้ว มูดดี้มองหน้าเด็กสาว
ราวกับเธอเป็นสิ่งประหลาดก่อนจะเรียกแฮร์รี่ให้เข้าไปทดสอบเป็นคนต่อไป เฮอร์ไมโอนี่กระซิบถามออโรร่าเบาๆ

“เธอเรียนคาถาพวกนี้ด้วยเหรอ ออโรร่า”

“ใช่ ฉันเรียนตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้ว” เด็กสาวตอบดวงตามองนิ่งอยู่ที่มูดดี้อย่างครุ่นคิด

“แปลก” เธอพูดเบาๆ เฮอร์ไมโอนี่มองหน้า

“อะไรแปลกงั้นเหรอ”

“อ้อ เปล่าไม่มีอะไร” ออโรร่าตอบแล้วหันไปให้ความสนใจกับเพื่อนๆที่กำลังทำท่าประหลาดๆต่อ

                ถัดจากวิชาของมูดดี้เด็กๆก็เสียวสันหลังเมื่อเดินเข้าห้องของศาสตราจารย์มักกอนนากัลเพื่อเรียนวิชาการแปลงร่างต่อ
เธอไล่สายตามองนักเรียนทุกๆคนเมื่อพวกเขาบ่นถึงปริมาณการบ้านที่เพิ่มขึ้น

“ถ้าพวกเธอสามารถร่ายคาถาแปลงร่างเจ้าเม่นตัวนี้ให้เป็นหมอนปักเข็มได้อย่างดีเยี่ยมเหมือนมิสเกรนเจอร์และมิสไทม์คีปเปอร์แล้ว
ฉันอาจจะพิจารณาข้อเสนอของพวกเธอก็ได้” เธอตอบเสียงเข้มและเฉียบขาดจนทุกคนต้องหุบปากเงียบ

                ในช่วงคาบบ่าย รอนและแฮร์รี่สนุกสุดขีดกับวิชาพยากรณ์ศาสตร์เมื่อศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์เอ่ยปากชมการบ้านของ
พวกเขาแล้วทั้องคู่ก็รู้สึกห่อเหี่ยวลงเมื่อโดนสั่งให้ทำการบ้านแบบเดิมอีกสำหรับสองเดือนหน้า

“แล้วฉันจะหาอะไรร้ายๆสำหรับชีวิตฉันอีกล่ะ” รอนบ่น

                หลังวิชาประวัติศาสตร์เวทมนต์ที่ดูเหมือนจะมีออโรร่าและเฮอร์ไมโอนี่เท่านั้นที่จดเล็คเชอร์ได้ตลอดคาบเรียน
 วิชาของแฮกริดดูเหมือนจะเป็นวิชาที่ทุกคนดูหวาดกลัวไม่แพ้วิชาของมักกอนนากัล เขาสั่งให้เด็กนักเรียนทุกคนเฝ้าสังเกตุการเติบ
โตของสกรู๊ตปะทุไฟและเขียนรายงานส่ง

“ฉันไม่ทำหรอก” มัลฟอยพูดขึ้นเมื่อได้ฟังแฮกริดพูดจบ “ฉันทนเห็นเจ้าพวกตัวประหลาดบ้าบอนี่ในชั่วโมงเรียนพอแล้ว
 ไม่มีทางที่ฉันจะออกมาทำรายงานอยู่กับเจ้าพวกตัวน่าขยะแขยงไม่มีสกุลนี่ต่อในตอนเย็นหรอก”

“แต่เธอต้องทำตามที่ฉันสั่ง” แฮกริดพูด “ไม่อย่างนั้นฉันจะทำตามอย่างที่ศาสตราจารย์มูดดี้......รู้จักตัวแฟเร็ตใช่ไหม มัลฟอย”

พวกกริฟฟินดอร์หัวเราะลั่น มัลฟอยหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาเหลือบสายตามองดูเฮอร์ไมโอนี่แม้จะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็ก
น้อยที่เด็กสาวไม่ได้หัวเราะไปกับพวกเพื่อนๆของเธอด้วยแต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เขาคลายความน้อยใจที่มีต่อเธอให้ลดลงไปได้

“ฉันจะแก้แค้นพวกมันให้ได้ คอยดู” มัลฟอยคำรามเบาๆ

                หลังวิชาของแฮกริด ทุกคนเดินกลับไปยังปราสาทแต่ก็ติดอยู่ที่ห้องโถงทางเข้า เพราะมีนักเรียนกลุ่มใหญ่กำลังยืนแออัดกันอยู่
ทุกคนกำลังรุมอ่านป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่เพิ่งนำมาติดตั้งไว้ที่เชิงบันไดหินอ่อน รอนซึ่งมีตัวสูงที่สุดในกลุ่มเขย่งปลายเท้า
แล้วมองข้ามหัวคนข้างหน้าก่อนจะอ่านข้อความในป้ายประกาศให้เพื่อทั้งสองของเขาฟัง

การประลองเวทย์ไตรภาคี

ตัวแทนจากโรเรียนโบซ์บาตงและเดิร์มสแตรงก์จะมาถึงเวลา 18.00 น.

ในวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคมนี้

ชั้นเรียนจะเลิกเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง

ให้นักเรียนนำกระเป๋าและหนังสือไปเก็บในหอนอนและมารวมกันหน้าปราสาทเพื่อต้อนรับแขกของเราก่อนงานเลี้ยงรับ
ขวัญที่จะเริ่มขึ้นในตอนค่ำ



                “ยอดไปเลย วิชาปรุงยาเป็นวิชาสุดท้ายของวันศุกร์พอดี สเนปจะได้ไม่มีเวลาพอที่จะวางยาพวกเราทุกคน” แฮร์รี่พูดอย่างดีใจ
เพราะชั่วโมงที่แล้วสเนปได้ขู่พวกเขาไว้ว่าจะวางยาเด็กนักเรียนคนใดคนหนึ่งเพื่อทดลองยาแก้ที่พวกเขาปรุงขึ้น
 รอนหัวเราะก่อนจะเดินตามเพื่อนของเขาไป

“อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง” เออร์นี่ มักมิลันพูด “ฉันต้องรีบไปบอกเซดริก” เสียงฝีเท้าวิ่งออกไปทันทีที่พูดจบ รอนหันมามองหน้าเพื่อนของเขา

“เซดริก เจ้าโง่นั่นน่ะเหรอจะเป็นตัวแทนฮอกวอตส์” เขาพูดเสียงดัง

“เขาไม่ได้โง่สักหน่อย เธอไม่ชอบเขาเพราะเขาเล่นควิดดิชชนะกริฟฟินดอร์ เขาเป็นพรีเฟ็คและเรียนดีมากด้วย” เฮอร์ไมโอนี่พูด
รอนทำหน้าย่น

“เธอชอบเขาเพราะเขาหล่อ” เขาพูดอย่างดูแคลน

“ขอโทษ! ฉันไม่เคยชอบใครเพียงเพราะแค่ความหล่อ!” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยเสียงโกรธๆก่อนจะเดินกระแทกเท้าจากไป


                ดูเหมือนนักเรียนทุกคนจะพูดถึงแต่เรื่องการประลองเวทย์ที่เริ่มใกล้เข้ามา เฮอรืไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่าง
มากเมื่อเห็นออโรร่ามีท่าทางวางเฉยไม่สนอกสนใจเหมือนกับคนอื่นๆ เธอออกจะรำคาญเสียด้วยซ้ำเมื่อมีคนมาพูดเรื่องนี้กับเธอมากๆ

“ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเรื่องการประลองเลยนะ ออร่า” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นในห้องสมุดของเช้าวันหนึ่ง ออโรร่าตอบ
โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง

“เห็นมาตั้งหลายครั้งแล้ว” เธอชะงักคำพูดอย่างนึกขึ้นได้แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเฮอรืไมโอนี่ที่กำลังนั่งทำหน้าประหลาดใจ

“ฉันหมายถึง ได้ฟังมาจากคนเก่าๆน่ะ แล้วยังหนังสือพวกนี้อีก” เธอพูดต่ออย่างเร็ว

“แต่ที่เธอพูดเมื่อกี้เหมือนกับว่าเธอเห็นมันมาหลายครั้งแล้วนะ” เฮอร์ไมโอนี่แย้ง ออโรร่าอ้าปากจะตอบแต่ต้องชะงักแล้ว
มองจ้องไปทางด้านหลังเพื่อนของเธอ

“อย่าไปสนใจคำพูดไร้สาระของน้องสาวฉันให้มากนัก คุณผู้หญิง” เสียงทุ้มเบานุ่มดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่หันหน้าไปมอง
 เฮเดส ไทม์คีปเปอร์กำลังยืนยิ้มน้อยๆให้กับพวกเธอ

“แล้วก็อย่าไปสนใจคำพูดที่หวานจนน่าเบื่อของพี่ฉัน เฮอร์ไมโอนี่” ออโรร่าพูดต่อประโยคพี่ชายของเธอ ดวงตที่ดูมีชิวิต
ชีวากลับราบเรียบลงอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่มองดูคนทั้งคู่อย่างงงๆระคนสงสัย

“บางครั้งคำหวานก็สามารถสร้างสรรสิ่งที่ดีๆไม่ใช่หรือ ออโรร่า” เขาเลื่อเก้าอี้แล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเฮอร์ไมโอนี่ ออโรร่าเม้มปาก

“แต่มักลงท้ายด้วยความพินาศ” เธอตอบก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเร็ว

“จะไม่อยู่คุยกันก่อนหรือ คุณเกรนเจอร์” เฮเดสพูดเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังขยับตัวเพื่อลุกขึ้นตามออโรร่า

“ฉันต้องรีบไปเข้าเรียน วิชาแรกเป็นวิชาแปลงร่างของศาสตราจารย์มักกอนนากัล” ออโรร่าหันมาตอบแทนเพื่อนของเธอ
ก่อนจะรีบดึมือของเฮอร์ไมโอนี่ให้เดินตามออกไป เฮเดสยิ้มให้กับตัวเองขณะที่มองตามหลังเด็กสาวทั้งสอง

“ยิ่งรัก ยิ่งหวงห่วงดูแลทะนุถนอม ยิ่งน่าทำลาย”




Chapter 4: ความรักที่เลือนหายไป

                 ทั่วทั้งปราสาทได้รับการทำความสะอาดแม้แต่ซอกมุมเล็กๆ ฟีลซ์ซึ่งปกติไม่เคยเป็นมิตรต่อนักเรียนทุกๆคนยิ่งทำท่า
ราวกับพร้อมที่จะหักคอหากมีนักเรียนคนใดบังอาจเดินอยู่บนระเบียงโดยที่มีโคลนเปรอะเปื้อนรองเท้าอยู่โดยไม่รั้งรอหรือเสีย
เวลาขออนุญาตต่ออาจารย์ใหญ่ เด็กนักเรียนทุกคนก็ดูเคร่งเครียดไปด้วย โดยเฉพาะเนวิล ลองบัตท่อมซึ่งในชั่วโมงเรียนวิชา
แปลงร่างเขาใช้คาถาสลับที่ผิดพลาดทำให้หูของตัวเองไปติดอยู่ที่ต้นกระบองเพชรแทน

“ลองบัตท่อม ขอให้เธอพยายามซ่อนตัวเองให้มิดชิดและเงียบที่สุดตลอดเวลาที่นักเรียนจากเดิร์มสแกรงก์มาอยู่ที่นี่” ศาสตราจารย์
มักกอนนากัลพูดเสียงดังลั่น

                เฮอร์ไมโอนี่หอบหนังสือจนเต็มอ้อมแขนแล้วเดินตรงไปที่ริมทะเลสาบเหมือนทุกครั้ง เธอจัดแจงปูแผ่นรองนั่ง
ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดออกอ่านอย่างตั้งใจ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศรอบๆเป็นบางครั้งรวกับพักสาย
ตาก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ เสียงนุ่มๆทักขึ้นเบาๆ

“ได้ยินมาว่าเป็นคนฉลาด แต่ไม่คิดว่าจะมีความขยันและใฝ่รู้ขนาดนี้ด้วย” เฮเดสยืนอยู่ข้างตัวของเฮอร์ไมโอนี่พลางส่งรอย
ยิ้มที่ดูเป็นมิตรให้ เด็กสาวทำสีหน้าไม่พอใจอันเนื่องมาจากการถูกขัดจังหวะการอ่านของเธอเล็กน้อยก่อนตอบ

“ข่าวลือบางทีก็เป็นแค่ข่าวลือ” เธอตอบ “เหมือนข่าวเหลวไหลจากริต้า สกีตเตอร์นั่นไง”

“ท่าทางเธอจะไม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์นะ” เฮเดสเลื่อนตัวมานั่งข้างๆเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวขยับตัวหลีกเล็กน้อย

“ก็ไม่เชิง เพียงแต่ไม่ชอบก็เท่านั้น” เธอยักไหล่ “มีแต่เรื่องไร้สาระ”

“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ว่าแต่เธอกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่อย่างนั้นหรือ” เฮเดสทำท่ามองไปที่หนังสือ
เฮอร์ไมโอนี่ปิดมันลงก่อนตอบ

“การใช้เวทมนต์ชั้นสูง และการแก้คำสาบ”

“นั่นมันหนังสือของพวกปีหกไม่ใช่หรือ” เฮเดสพูดแล้วยิ้ม “แต่จะว่าไปมันก็เป็นหนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่งเลยทีเดียว” เฮอร์ไมโอ
นี่มองหน้าเขา

“หรือว่าเธออ่านมันจนจบแล้ว” เธอถาม เฮเดสพยักหน้า

“แน่นอน ฉันอ่านมันจบตั้งแต่วันแรกๆที่มาที่นี่แล้ว” เขาตอบพร้อมกับยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเฮอร์ไมโอนี่ที่เปลี่ยนไป

“นั่นดีมากเลยนะ นักเรียนที่นี่ส่วนมากไม่ค่อยอ่านหนังสือล่วงหน้าเท่าไหร่นักหรอก เท่าที่ฉันรู้ก็มี เซดริก ดิกอรี่
 เท่านั้นที่ชอบการอ่าน” เธอวางหนังสือลงบนผ้าปูรองนั่ง

“แล้วเธอเคยป่านหนังสือเกี่ยวกับพวกสิทธิหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า” เธอถาม เฮเดสส่ายหน้า

“ไม่เคย ทำไมหรือ”

“คือฉันอยากจะทำอะไรบางอย่างน่ะ คือจะว่ายังไงดีล่ะ คิดว่าที่โรงเรียนของพงกเธอคงจะไม่มีเอลฟ์ประจำบ้านใช่ไหม”
เฮอร์ไมโอนี่ถาม เฮเดสส่ายหน้า

“ไม่มีหรอก”

“วิเศษ” เฮอร์ไมโอนี่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ “คือที่นี่น่ะพวกเราพ่อมดมักจะมีคนรับใช้เป็นเอลฟ์ แต่พวกมันมักไม่ได้รับการ
เหลียวแลหรือแม้แต่ค่าจ้างก็ไม่เคยได้รับ”

“นั่นแย่มาก” เฮเดสพูด เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มอย่างถูกใจ

“ใช่ มันแย่มากจริงๆ ฉันก็เลยจัดตั้งชมรมหนึ่งขึ้นมา เป็นชมรมที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิของพวกเอลฟ์น่ะ”

“เป็นความคิดที่วิเศษที่สุด” เฮเดสกล่าวเฮอร์ไมโอนี่หน้าบาน “เธอคงมีสมาชิกหลายคนแล้วสิตอนนี้”

“จะว่าไป ฉันมีสมาชิกจริงๆแค่สามเท่านั้น” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงเบาๆ “ส่วนใหญ่ทุกคนจะทำท่าเยาะเย้ยความคิดนี่ บางคน
ก็หัวเราะใส่หน้าฉันด้วยซ้ำไม่เว้นแม้แต่รอนหรือแฮร์รี่”

“นั่นหยาบคายมาก” เฮเดสร้องออกมาด้วยท่าทางโกรธๆ “ทำไมไม่มีคนเข้าใจในความคิดดีๆแบบนี้เลยนะ แล้วถ้าฉันจะ
ขอสมัครเป็นสมาชิกชมรมของเธอบ้างจะได้หรือไม่เกรนเจอร์”

“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งเลย” เฮอร์ไมโอนี่หยิบเหรียญส.ร.ร.ส.อ.ของเธอออกมา “สองซิกเกิ้ลสำหรับค่าธรรมเนียมแรกเข้า ถูกใช่ไหม”
 เธอส่งเหรียญให้กับเฮเดส เขารับมันมาติดไว้ที่อกเสื้อของเขา

“มันถูกเกินเสียด้วยซ้ำสำหรับความคิดที่ยอดเยี่ยมแบบนี้” เขาลูบที่ติดเสื้อเบาๆ “แล้วน้องสาวของฉันเขาสนใจเรื่องนี้ไหม”

“ดูท่าทางเหมือนกับว่าเธอจะไม่ค่อยสนใจกับมันก็จริง แต่ออโรร่าก็ช่วยซื้อเข็มกลัดนี่ด้วยท่าทางที่เต็มใจมากกว่าคนอื่นนะ”
 เฮอร์ไมโอนี่ตอบ เฮเดสหัวเราะเบาๆ

“นั่นล่ะ น้องสาวของฉันล่ะ ไม่เคยสนอกสนใจกับคนอื่นอย่างจริงจัง”

“อย่างนั้นหรือ” เฮอร์ไมโอนี่มองดูเด็กชายนิ่ง เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจในคำพูดของเขาขึ้นมาเสียเฉยๆ
เด็กสาวลงมือเก็บหนังสืออย่างเงียบๆ เฮเดสมองดูกิริยาของเธอ รอยยิ้มพาดที่มุมปากเรียวบาง

“อันที่จริงฉันมีอะไรบางอย่างที่อยากจะให้เธอดู” เขาพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก

“อะไรเหรอ”

“ของเก่าแก่หายากมาก ฉันได้มันมาจากหอคอยอีกด้านของฮอกวอตส์ตอนไปเดินสำรวจวันแรก
เธอคงไม่อยากดูหรอก ใช่ไหม” เขาพูดเหมือนดักคอเด็กสาว เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากน้อยๆ

“แล้วต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยนหรือเปล่าล่ะ” เธอถาม เฮเดสเลิกคิ้วสูง

“แลกเปลี่ยนอะไรกัน ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น” เขาพูด เฮอร์ไมโอนี่ทำสีหน้าเยาะน้อยๆ

“ใครจะไปรู้ล่ะ คิดว่าพวกสิธีรินจะมีนิสัยแย่ๆเหมือนกันหมด” เธอนึกถึงหน้ามัลฟอยขึ้นมา ถ้าเป็นเขาคงไม่มีทางให้เธอ
ได้ดูหรือได้รับของจากเขาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนแน่นอน เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มน้อยๆให้กับตัวเอง แต่นั่นก็เป็นนิสัยแย่ๆที่เหมาะ
กับเขามากที่สุด เธอนึก

“กำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่อย่างนั้นหรือ” เฮเดสถาม เฮอร์ไมโอนี่รีบปฏิเสธทันที

“เปล่า ฉันเพียงแต่นำอะไรที่มันน่าขำขึ้นมาได้น่ะ” เธอมองดูอีกฝ่าย

“แล้ว อะไรกันล่ะที่เธออยากจะให้ฉันดูน่ะ” เธอพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกอยากรู้ไว้ เฮเดสแอบอมยิ้มขณะที่ล้วง
มือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วทำท่าราวกับดึงอะไรบางอย่างออกมา เขากำมันไว้แน่นราวกับสิ่งที่อยู่ในมือนั้นเป็นของที่มีค่าหายาก

“ขยับเข้ามาใกล้อีกสักนิดสิ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นโดยเฉพาะพวกอาจารย์ มันไม่มีอันตรายอะไรหรอกน่ะ”
เขารีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ไว้วางใจของเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวขมวดคิ้วก่อนจะค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเขา

เฮเดสค่อยๆยื่นมือที่กำไว้ออกมาแล้วจ่อไปตรงหน้าของเธอก่อนจะค่อยๆคลายมือที่กำไว้ออกช้าๆ ไอละอองสีฟ้าเรือง
แสงฟุ้งกระจายออกมาทันที เฮอร์ไมโอนี่อุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อสูดลมหายใจเอาไอละอองเข้าไปจนเต็มปอด

“อะไรกันน่ะ” เธอพยายามพ่นลมหายใจแรงๆจนดูเหมือนจาม แต่แล้วจู่ๆราวกับโลกทั้งโลกเกิดการบิดเบี้ยว เฮอร์ไมโอนี่มองดู
ใบหน้าของเฮเดสที่ตอนนี้กำลังยิ้มกว้างขณะที่จ้องมองดูเธอ

“เป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ เกรนเจอร์” เขาถามแต่ดูเหมือนเสียงของเขาจะเบาหวิวราวกับสะท้อนอยู่ในหัวของเฮอร์ไมโอนี่
เด็กสาวพยายามพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม

“นาย ทำ อะไร” เธอพยายามเค้นเสียงถาม แต่คำพูดที่ผ่านลำคอออกมาช่างแผ่วเบาราวกระซิบ

“แค่อยากจะครอบครองเธอเท่านั้น เกรนเจอร์” เฮเดสตอบ เขาอ้าแขนออกรับร่างที่อ่อนปวกเปียกซึ่งค่อยๆเซล้มลง
ไว้ก่อนที่จะกระแทกกับพื้น เขากอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าของตัวเองลงไป

“นั่น แกกำลังจะทำอะไร!” เสียงตวาดดังขึ้นจากทางด้านหลัง เฮเดสยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหันไปมอง
 มัลฟอยกำลังวิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความโกรธจัด

“เกรนเจอร์เป็นลม ฉันก็เลยเข้ามาช่วย” เขาตอบแต่มัลฟอยกลับส่งเสียงในลำคอก่อนจะดึงร่างที่ไร้สติของ

เฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากอ้อมแขนของเฮเดส เขาก้มลงมองดูใบหน้าที่ซีดขาวดวงตาปิดสนิทอย่างเป็นห่วง

“เกรนเจอร์” เขาเรียกเธอเบาๆ แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากเธอ มัลฟอยเงยหน้าขึ้นมองดูเฮเดส

“แกทำอะไรเกรนเจอร์”

“ฉันเปล่า” เฮเดสปฏิเสธ “อย่างที่บอก ฉันเห็นเธอกำลังเป็นลมเลยเข้ามาช่วยไว้เท่านั้น”

“แต่ฉันเห็นแกเดินเข้ามาหาเกรนเจอร์ แล้วกำลังส่งอะไรให้เธอดูก่อนจะล้มลงไป” มัลฟอยพูดเสียงดัง
ดวงตาสีซีดจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเฮเดสอย่างเอาเรื่อง เสียงหัวเราะดังมาจากอีกฝ่าย

“ดูนายเป็นห่วงเป็นใยพวกเลือดสีโคลนจากกริฟฟินดอร์คนนี้เสียเหลือเกินนะ สนใจเธอคนนี้มากอย่างงั้นหรือ”

“ฉันไม่ได้สนใจพวกเลือดสีโคลน!” มัลฟอยหน้าแดงก่ำขณะที่ตอบโต้ “ฉันแค่ไม่อยากให้แกทำอะไรที่เป็นเหตุให้พวกเราต้อง
เสียคะแนนบ้านต่างหาก” มัลฟอยชะงักกิริยาที่เกรี้ยวกราดลงทันทีที่ได้ยินเสียงเดินดังก่อกแก่กใกล้เข้ามา
 เด็กชายเหลือบตามองข้ามไหล่ของเฮเดสไป มูดดี้กำลังเดินขโยกเขยกออกมาจากปราสาทและตรงรี่มายังพวกเขา

“พวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่” ดวงตาสีฟ้ากลอกกลิ้งกลับไปกลับมาราวกับกำลังสำรวจดูเด็กทั้งสอง

“เด็กนั่นเป็นอะไรไป อย่าบอกฉันนะว่าพวกเธอกำลังวางแผนสกปรก” เขาพูดเสียงเครียด มัลฟอยหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

“เกรนเจอร์เป็นลมไปครับศาสตราจารย์มูดดี้ และพวกเรากำลังจะพาเธอไปที่ห้องพยาบาล” เฮเดสตอบ มูดดี้มองดูเขาราว
กับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“งั้นจะมัวรออะไรกันอยู่ รีบๆพาเธอไปเสียสิ” เขาพูดห้วนๆ มัลฟอยอุ้มร่างที่อ่อนระทวยของเฮอร์ไมโอนี่กระชับ
ไว้ในอ้อมแขนอย่างระวัง เขาส่งสายตาอาฆาตแค้นไปยังเฮเดสแว่บหนึ่งก่อนจะก้าวเดินออกไปโดยมีแม้ดอายยืนมองตาไม่กระพริบ

“ส่วนเธอ เก็บหนังสือพวกนี้แล้วนำไปส่งให้พวกกริฟฟินดอร์ด้วย” เขาหันมาสั่งเฮเดสก่อนจะหมุนตัวเดินข
โยกเขยกกลับเจ้าปราสาทไปเสียงขาไม้ชะงักกึกก่อนเจ้าของร่างจะหันขวับกลับมามอง

“มีอะไรน่าขำอย่างงั้นเรอะ ไทม์คีปเปอร์” มูดดี้ถามเสียงเครียด เฮเดสส่ายหน้า

“ไม่มีครับ” เขาตอบ “แค่คิดถึงเรื่องอะไรสนุกๆขึ้นมาได้เรื่องหนึ่งเท่านั้น”

“เรื่องอะไรของเธอ” แม้ดอาย มูดดี้เดี้ยวตัวกลับมาตาสีฟ้าหมุนกลับมาด้านหน้าแล้วจ้องนิ่งที่เด็กชาย ผมสีดำที่ยาวปลิวไสวไ
ปตามแรงลม รอยยิ้มที่เย็นเยือกฉาบบางๆที่มุมปาก

“เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการสวมรอยของผีร้ายในปราสาทริมทะเลสาบแห่งหนึ่งในยุโรบเหนือน่ะครับ
บรรยากาศของมันเหมือนที่นี่มากๆ” เขาจ้องหน้ามูดดี้กลับอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะเกรงกลัวก่อนจะหยิบไม้กายสิทธ์ขึ้นมาแล้วโบกสะบัด
 หนังสือของเฮอร์ไมโอนี่เลื่อนมารวมกันก่อนจะลอยเข้ามาที่แขนของเขา เฮเดสเก็บไม้กายสิทธิ์ก่อนจะส่งยิ้มให้กับมูดดี้อีกครั้ง

“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ ศาสตราจารย์ พอดีมีการบ้านที่จะต้องส่งพรุ่งนี้” เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในปราสาท
แมดอาย มูดดี้มองตามหลังเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าและแววตาที่ยากแก่การเข้าใจก่อนจะเดินไปอีกด้านของปราสาท

                                                          ******************************



                มัลฟอยยืนมองดูมาดามพอมพรีย์ที่กำลังสาละวนกับการตรจร่างกายของเฮอร์ไมโอนี่ที่นอนหลับสนิทแน่นิ่งอยู่บนเตียงคนไข้
 ม่านบังตาถูกเลื่อนคลุมรอบเตียง เสียงของหล่อนดูเคร่งเครียดดังออกมา

“นี่ดูไม่เหมือนคนที่เป็นลมเลยสักนิด มันคล้ายๆกับคนที่หมดสติเพราะโดนวางยามากกว่า” มาดามพอมพรีย์บ่น มัลฟอยขมวดคิ้ว

“โดนวางยาอะไรอย่างนั้นหรือครับ” เขาถาม มาดามพอมพรีย์ส่ายหน้า

“ยังไม่รู้เหมือนกัน” เธอตอบก่อนจะเลื่อนม่านบังตาออก ก่อนจะหยิบอ่างบรรจุน้ำล้างมือและถาดยาออกมา

“ให้อยู่ได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะ และห้ามทำอะไรที่เป็นการรบกวนคนไข้ด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะโยนเธอออกไปนอกห้องทันที”
มาดามพอมพรีย์ขู่ก่อนจะเดินจากไป มัลฟอยค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้ๆเฮอร์ไมโอนี่ เขาลูบแก้มของเธอเบาๆ

“เกรนเจอร์” เสียงเรียกแผ่วเบา แต่ไม่มีเสียงใดๆดังรอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่ปิดสนิท มัลฟอยก้มหน้าลงจูบเธอด้วยท่าทางที่อ่อนโยน

“ไอ้เจ้านั่นมันทำอะไรกับเธอ” เขาลูบเส้นผมที่กระจายเต็มที่นอนขณะกระซิบถาม “ลืมตาตื่นขึ้นมาบอกกับฉันสิ” เสียงผ่อนลมหาย
ใจดังออกมาจากร่างที่นอนหลับสนิท

“ฉันจะไม่มีวันให้อภัยกับทุกคนที่ทำร้ายเธอ เกรนเจอร์ เอาไว้ให้ฉันรู้ก่อนเถอะว่าเจ้านั่นมันต้องการอะไรจากเธอกันแน่”
เด็กชายยืดตัวขึ้น มาดามพอมพรีย์กระแอมเบาๆเป็นเชิงเตือน

“ฉันต้องกลับไปก่อน แล้วจะรีบมาหาเธอในตอนเช้านะ” เด็กชายมองใบหน้าที่กำลังหลับสนิทนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป



                                                        ****************************************

                       

                เช้าวันรุ่งขึ้น มัลฟอยรีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะไปยังห้องพยาบาลก่อนที่คนอื่นๆจะทันได้ตื่นมารวมกันที่ห้องอาหาร
เขาทำสีหน้าแปลกใจเมื่อพบเตียงที่เฮอร์ไมโอนี่นอนเมื่อคืนว่างเปล่า เด็กชายหันซ้ายหันขวาก่อนจะเดินไปหามาดามพอมพรีย์ที่ห้องทำงาน

“ผมมาเยี่ยมเกรนเจอร์ครับ” มัลฟอยพูดสั้นๆ มาดามพอมพรีย์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่เธอกำลังเขียนอยู่

“มิสเกรนเจอร์ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ฉันห้ามก็ไม่ฟังป่านนี้คงไปนั่งอยู่ในห้องอาหารรวมแล้วกระมัง”

มัลฟอยยืนนิ่งฟังอย่างงงๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกมาโดยลืมกล่าวคำขอบคุณกับมาดามพอมพรีย์ไปเสียสนิท
เขาเดินอย่างเร็วตรงกลับไปยังห้องอาหารรวม เสียงหัวเราะที่คุ้นหูดังอกมาจากหัวมุม มัลฟอยหยุดชะงักทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องขอตามคุณไปที่ห้องสมุดด้วย เฮอร์ไมโอนี่”

“ด้วยความยินดี มาดามพินซ์เองคงจะดีใจที่ยังมีนักเรียนสนใจการอ่านอยู่แบบนี้” เสียงเฮอร์ไมโอนี่ตอบ มัลฟอยกำมือแน่นก่อน
จะโผล่พรวดเข้าไป เฮเดสและเฮอร์ไมโอนี่หันมามอง

“อ้อ คุณมัลฟอย” เฮเดสเอ่ยทัก มัลฟอยจ้องมองดูเฮอร์ไมโอนี่โดยไม่แม้แต่จะใส่ใจเหลือบมองดูคนที่ทักทายเขา ริมฝีปากบางเม้มแน่น

“ไม่คิดว่าเธอจะหายได้เร็วแบบนี้นะ เกรนเจอร์” เขาพูดเสียงห้วนๆ เฮอร์ไมโอนี่ทำสีหน้าแปลกใจ

“ฉันเองก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นห่วงฉันแบบนี้เหมือนกัน มัลฟอย” น้ำเสียงที่แข็งกระด้างอย่างที่แม้เวลาอยู่ต่อหน้า
แฮร์รี่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่เคยใช้กับเขา

“ฉันไม่ได้เป็นห่วงเธอ แค่สงสัยเท่านั้นเอง”

“อ้อ คงคิดว่าฉันแกล้งใช่ไหม อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะมีนิสัยเสียๆแบบเธอสิ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบก่อนจะหันไปทางเฮเดส

“พวกเราไปห้องอาหารกันดีกว่า คุณเฮเดส ฉันหิวแล้ว” เธอเดินนำหน้าออกไปโดยไม่หันกลับมามองดูมัลฟอยที่กำลังยืนนิ่งอึ้
งตะลึงงันกับท่าทางที่ดูเหินห่างของเธอ เฮเดสยิ้มเยาะขณะที่เดินตามหลังเด็กสาว

“เดี๋ยว!!” มัลฟอยร้องเรียก เฮเดสหันหลังกลับมา

“มีอะไรอีกอย่างนั้นหรือ คุณมัลฟอย”

“แก ทำอะไรกับเกรนเจอร์” มัลฟอยตะคอก เฮเดสหัวเราะเบาๆ

“เปล่านี่ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆมัลฟอย

“เธอหันมาสนใจฉันเองต่างหาก” เฮเดสถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนจะส่งสายตาที่เย้ยหยันมาให้

มัลฟอยก่อนจะเดินจากไป เด็กชายผิวซีดกัดฟันแน่น

“ฉันไม่เชื่อและไม่มีวันเชื่อว่าเกรนเจอร์จะเปลี่ยนใจไปในชั่วข้ามคืน” มัลฟอยจ้องตามหลังเฮเดสด้วยสายที่เคียดแค้นก่อนจะตัดสิน
ใจก้าวเดินตามหลังคนทั้คู่ไป



                                              *************************************



                “สองสามวันมานี่ดูเดรโกแปลกๆไปนะ มีอะไรกันอย่างนั้นหรือ” แพนซี่ พาร์กินสันเอ่ยถามแครบและกอยล์ที่กำลัง
ส่งขนมปังเข้าปากแบบชิ้นต่อชิ้น

“ไม่รู้สิ” กอยล์ตองเสียงอู้อี้ “แต่ดูเขาจะหงุดหงิดอารมณ์เสียง่ายด้วย ระวังอย่าเข้าไปกวนเขาเข้าเชียวนะ แพนซี่”

“ฉันเองก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับเขานักหรอก แต่ไอ้การที่มัลฟอยเสกคำสาบใส่คนบ้านฮัฟเพิลพัฟเมื่อวานนี้ทำให้พวกเรา
เสียคะแนนบ้านไปมากพอดูนะ” แพนซี่พูด แครบส่ายหน้า

“เจ้าหมอนั่นมันปากเสียเองต่างหาก” เขาแก้ตัวให้เพื่อนก่อนจะหันไปแย่งขนมปังจากปากกอยล์ แพนซี่มองดูทั้งคู่
อย่างระอาก่อนจะหันไปมองดูมัลฟอยด้วยสายตาที่เป็นห่วง

“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม เดรโก” แพนซี่ถามอย่างเกรงๆ มัลฟอยละสายตาจากหน้าต่างที่เขากำลังเหม่อมองดูอยู่

“อย่ามายุ่งกับฉัน แพนซี่” เขาพูดเสียงหนักจนเด็กสาวต้องถอยหลังออกห่าง มัลฟอยมองดูกิริยาของเพื่อนร่วมบ้าน
อย่างเบื่อๆก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากห้องนั่งเล่นรวม เขาเดินตรงไปที่ทะเลสาบด้วยหวังว่าจะได้พบกับเฮอร์ไมโอนี่
เหมือนเช่นทุกครั้ง เงาผมสีน้ำตาลพลิ้วโผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้ทำให้เด็กชายอมยิ้ม เขาค่อยๆย่องเข้าไปใกล้ๆ

“เกรน......” เสียงที่ตั้งใจจะเรียกขาดหายไปในลำคอเมื่อเห็นว่าคนที่เขาตั้งใจจะลงมาพบในเวลานี้ไม่ได้นั่งอยู่คนเดียว
เฮเดส กำลังเปิดหนังสือแล้วชี้นิ้วให้เฮอร์ไมโอนี่ดูข้อความที่สำคัญ เด็กสาวยิ้มอย่างดีใจก่อนจะลงมือจดบันทึก
ราวกับรู้ ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองมาทางเขา รอยยิ้มจางๆฉาบที่มุมปาก

“มีอะไรติดอยู่ที่ผมของเธอแน่ะ” เฮเดสพูดด้วยเสียงที่ดังพอจะให้มัลฟอยได้ยิน เสียงเฮอร์ไมโอนี่อุทานเบาๆ

“ตายล่ะ แย่จริงตรงไหนเหรอเฮเดส” เธอทำท่ายกมือขึ้นปัดผมวุ่นวาย เฮเดสยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกับเรือนผมของ
เธอแล้วเอื้อมมือหยิบเศษใบไม้เล็กๆบนผมของเด็กสาวออกด้วยท่าทางนุ่มนวลและเย้ยหยันมัลฟอยอยู่ในที

“แค่เศษใบไม้น่ะ” เขาพูดยิ้มๆ เฮอร์ไมโอนี่สางผมของเธอเบาๆ

“ขอบคุณมาก ไม่คิดเลยนะว่าคนของสลิธีรินจะสุภาพแบบนี้เป็น”

“อันที่จริงจะว่าแบนั้นมันก็ไม่เชิง” เฮเดสพูด “ผมเป็นแค่นักเรียนแลกเปลี่ยนเท่านั้น และบังเอิญที่หมวกคัดสรรส่งผมไปอยู่ที่นั่น”

“บางทีหมวกนั่นคงจะเก่ามากเกินไปเลยทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง” เฮอร์ไมโอนี่พูดยิ้มๆ เฮเดสมองหน้าของเด็กสาวแล้วทำ
ท่าราวกับจะก้มลงไปหาเธอ มัลฟอยกำมือของตัวเองแน่นก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินกลับไปที่ปราสาท เขาฟาดมือเข้ากับกำ
แพงอย่างขุ่นแค้นใจ

“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ เกรนเจอร์” เขาพูดพลางฟาดกำปั้นไปที่กำแพงอีกครั้ง

“ทำไมกัน ทำไม หรือสิ่งที่ฉันทำไปทั้งหมดนั่นมันไม่มีค่าเลยสำหรับเธอ” มัลฟอยรัวกำปั้นใส่กำแพงปราสาทไม่หยุด

“นั่นเธอกำลังทำอะไรของเธอกันน่ะ” เสียงเสียงเรียบเย็นดังขึ้น ออโรร่ายืนกอดหนังสือมองมาทางเขาด้วยสายตาที่นิ่งราว
กับก้นทะเลสาบ มัลฟอยกัดฟันแน่น

“เรื่องของฉัน” เขาตอบอย่างฉุนเฉียว ออโรร่าเอียงหน้ามองดูมือที่แตก เลือดไหลซึมออกมาตามรอยแผลที่แยกปริออก

“นั่นมันก็ใช่ แต่ฉันกลัวว่ากำแพงปราสาทมันจะแตกยับมากกว่ามือของเธออีกน่ะสิ” ออโรร่าพูดเรื่อยๆ มัลฟอยสะบัดหน้าเงยขึ้นมองดูเธอ

“นั่นมันเรื่องของพวกฉัน พ่อฉันเสียเงินบำรุงที่นี่ ฉันจะทำยังไงกับมันก็ได้” เขาตวาด ออโรร่าหัวเราะเบาๆในลำคอ

“นิสัยเสียพอกันทั้งตระกูล” เธอบ่นพึมพำก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆเขา

“ไปหามาดามพอมพรีย์ดีกว่านะตอนนี้”

“ฉันไม่อยากไป”

“แต่แผลของเธอมันไม่ใช่น้อยๆเลยนะ” ออโรร่าบอก มัลฟอยซุกมือของเขาไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วเบ้หน้าน้อยๆ
เมื่อแผลของเขาถูเข้ากับผ้าจนเจ็บ ออโรร่ามองดูกิริยาของเขาอย่างนึกขำ

“อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันหรอกนะ แต่กลัวว่าแผลของเธอมันจะอักเสบรุนแรงจนต้องตัดมือทิ้ง
 ดูท่าทางคงต้องตัดทั้งสองข้างด้วยกระมัง” เธอทำท่าครุ่นคิดจริงจังจนมัลฟอยหน้าเสีย

“ก็ได้” เขาพูดห้วนๆ ออโรร่าหัวเราะเบาๆขณะที่มองตามหลังเขาไป

“นิสัยเหมือนเด็กๆ” เธอพูดอย่างขันๆก่อนจะเดินตามหลังเขาไปห่างๆโดยไม่ให้มัลฟอยรู้ตัว




Chapter 5: ตัวแทนทั้งสี่กับความอาฆาตของมัลฟอย

                 ในตอนเช้าของวันศุกร์ที่ 30 เหล่านักเรียนทั้งหลายต่างรับประทานอาหารเช้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นวันที่
นักเรียนของโบซ์บาตงและเดิร์มสแตรงก์จะมาถึง แม้จะมีเหล่านกฮูกไปรษณีย์บินมาส่งจดหมายและพัสดุอย่างวุ่นวายในตอนเช้า
 แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้รับเท่าที่ควร มีเพียงแฮรืรี่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตื่นเต้นเมื่อได้รับจดหมายจากเฮ็ดวิก 
เขารีบเปิดมันออกอ่านทันที

“จากซีเรียส” เขากระซิบบอกรอนและเฮอร์ไมโอนี่สายตาไล่อ่านเนื้อความในจดหมายอย่างเร็ว

“ทำไมนายตอ้งปลี่ยนนกฮูกบ่อยๆด้วย” รอนถามขึ้นเมื่ออ่านถึงตอนที่ซีเรียสเตือนแฮร์รี่เรื่องนกฮูก 

“เพราะนกฮูกหิมะเป็นจุดเด่นมากเกินไป ฉันหมายถึงถ้ามันบินไปทุกๆที่ที่ซีเรียสซ่อนตัวน่ะ เฮ็ดวิกเป็นนกฮูกที่ไม่ใช่
นกท้องถิ่นของที่นี่ ใช่ไหม” เธออธิบาย รอนพยักหน้าอย่างเข้าใจในขณะที่แฮร์รี่พับจดหมายเก็บลงกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

“ฉันอยากเจอเขาเร็วๆจัง”

“แต่คุณซีเรียสก็ต้องระมัดระวังตัวมากด้วย ใจเย็นๆสิแฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ชะงักคำพูดเมื่อเห็นเฮเดสกำลังเดินตรงเข้ามาหา

“คงไม่ได้มาขัดจังหวะการคุยเรื่องสำคัญนะครับ” เขาส่งยิ้มให้กับแฮร์รี่และรอน ก่อนจะหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่

“จะไปกันได้หรือยังครับ” เขาถามเสียงนุ่ม เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าก่อนจะหันไปทางเพื่อนทั้งสองของเธอ

“ฉันจะไปห้องสมุดกับเฮเดสก่อนนะ แล้วเจอกันที่ห้องเรียน” เธอเดินออกจากห้องอาหารไปทันทีที่พูดจบ
 รอนหันมามองหน้าแฮร์รี่อย่างงงๆระคนสงสัย

“อย่าบอกนะว่าเฮอร์ไมโอนี่เกิดสนใจเจ้าหน้าจืดนั่นน่ะ”

“คงไม่ใช่หรอกมั้งรอน ฉันว่าเธอคงสนใจที่หมอนั่นชอบอ่านหนังสือเหมือนกันมากกว่า”

“แต่ฉันไม่ชอบหน้าเจ้านั่นเลย มันทำให้ฉันคิดถึงล็อคฮาร์ตขึ้นมายังไงก็ไมรู้สิ” รอนพูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ 
แฮร์รี่ได้แต่ยิ้มๆแม้จะเป็นห่วงเฮอร์ไมโอนี่อยู่บ้าง แต่สำหรับเขาในเวลานี้แล้ว เด็กชายรอคอยเวลาที่จะได้พบกับซีเรียสมากที่สุด

 

                ตลอดเวลาทั้งวัน นักเรียนทั้งฮอกวอตส์ต่างพากันไม่เป็นอันเรียน ทุกคนใจจดใจจ่ออยู่กับเวลาเย็นที่นักเรียนโบซ์บาตง
และเดิร์มสแตรงจะเดินทางมาถึง จนกระทั่งเสียงระฆังบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ทุกคนต่างพากันวิ่งกลับหอคอยเพื่อเก็บกระเป๋า
และหยิบเสื้อคลุมกันหนาวออกมาสวมและรีบกลับมารวมตัวกันที่บันไดโถงทางเข้า 

“เข้าแถวกันให้เป็นระเบียบหน่อย” ประธานนักเรียนของแต่ละบ้านร้องบอก ศาสตราจารย์มักกอนนากัลสำรวจดูความ
เรียบร้อยเหล่านักเรียนก่อนจะเดินนำพวกเขาออกมาที่ด้านหน้าปราสาท ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาพร้อมๆกับอากาศที่เย็น
เยือกจนสั่นสะท้าน มัลฟอยบ่นอย่างเบื่อๆไม่ดังมากนัก

“ทำไมต้องมาลำบากยืนต้อนรับคนต่างที่พวกนี้ด้วยนะ”

“อย่าพูดเสียงดังสิมัลฟอย” แพนซี่เตือนเขาเบาๆ เด็กชายเบ้หน้าแต่ก็ยอมเงียบโดยดี เขาแอบหันไปมองดูเฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนอยู่
ในแถวที่สี่จากด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก สายลมเย็นยามค่ำพัดมาเบาๆทำให้ผมสีน้ำตาลพองฟูพลิ้วไสว แก้มนวลเริ่มมีสีชมพู
ระเรื่อเพราะความหนาวของอากาศ มัลฟอยแอบอมยิ้มน้อยๆ

“น่ารัก” เขาพูดเบาๆกับตัวเอง โดยไม่ทันได้สนใจเฮเดสที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขานักและกำลังมองดูกิริยาของเขาด้วยสายตาเยาะๆ
ก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่เช่นเดียวกัน

“เกือบหกโมงแล้ว” รอนมองดูนาฬิกาแล้วจ้องออกไปที่ถนนเบื้องหน้า “คิดว่าพวกเขาจะมายังไงกันนะ”

“ไม่ใช่รถไฟแน่ๆ” เฮอร์ไมโอนี่พูด

“ถ้างั้นมายังไงล่ะ ไม้กวาดหรือ” แฮร์รี่ออกความเห็นพลางเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่แจ่มกระจ่าง

“ไม่มีทางแน่ๆ ระยะทางไกลขนาดนั้น” เด็กสาวตอบ

“อาจจะใช้กุญแจนำทาง หรืออาจจะวิธีการหายตัวก็ได้” รอนพูด เฮอร์ไมโอนี่หันไปทำหน้าเบื่อๆ

“จะต้องให้ฉันพูดสักกี่ครั้งกันนะรอน ว่า เธอหายตัวไม่ได้ในบริเวณฮอกวอตส์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดความอดทน รอนทำหน้าเหยๆ

                ทั้งสามคนกวาดสายตามองไปรอบๆ ความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ ทุกคนเริ่มหนาวและหิว 

“ช้าจริงเลย” เสียงปารวตี พาติลบ่นเบาๆ พลันดัมเบิลดอร์ก็ร้องขึ้น

“นั่นไง คณะจากโบซ์บาตงมาถึงแล้ว!”

“ไหนกันคะ/ครับ” เสียงนักเรียนหลายคนร้องอย่างตื่นเต้น 

“นั่นไง!” นักเรียนที่โตกว่าชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า อะไรบางอย่างขนาดมหึมาร่อนลงมาเหนือป่าต้องห้าม แสงไฟจาก
ปราสาทส่งออกมากระทบทำให้เห็นว่ามันคือรถม้าสีฟ้าจางๆขนาดมโหฬารเท่ากับบ้านหลังใหญ่ๆหลังหนึ่งที่เทียมด้วยม้ามีปีก
ขนาดยักษ์สีทอง มันร่อนลงบนพื้นสนามหญ้าหน้าปราสาทด้วยเสียงที่เบาอย่างเหลือเชื่อ มีเพียงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่วเพราะ
แรงลมจากพลังปีกที่ใหญ่โตของม้าทั้งสิบสองตัว มันสะบัดหัวขนาดยักษ์ไปมาในขณะที่กลอกตาสีแดงมองดูเหล่านักเรียนฮอกวอตส์

                ความใหญ่โตของรถม้ายังไม่สร้างความประหลาดใจได้เท่ากับผู้ที่กำลังก้าวลงมาจากรถ ร่างในชุดผ้าซาตินสี
ดำหรูหราก้าวลงมาจากรถ แฮร์รี่ไม่เคยคิดว่านอกจากแฮกริดแล้วจะไม่มีใครในโลกนี้ที่มีรูปร่างใหญ่โตขนาดนั้นเขาได้อีก 
แต่เมื่อพบกับผู้หญิงที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายคิดว่าทั้งสองคนคงมีความสูงและความใหญ่โตที่ไล่เลี่ยแบบชนิดที่เรียกว่า
ไม่แตกต่างกันเลย ดัมเบิลดอร์เริ่มปรบมือ บรรดานักเรียนทำตามเขาทันที

“มาดามมักซีมที่รัก” ดัมเบิลดอร์กล่าวพลางจุมพิตมือของเธอ “ขอต้อนรับสู่ฮอกวอตส์”

“ดัมบลี-ดอร์” มาดามมักซีมตอบกลับด้วยเสียงทุ้มลึกและแปร่งเพี้ยน “ฉันหวังว่าคุณคงสบายดี”

“ดีเยี่ยมเลยทีเดียว ขอบคุณ” ดัมเบิลดอร์ตอบ 

“นี่คือนักเรียนของฉัน” มาดามมักซีมพูด เด็กนักเรียนชายหญิงประมาณสิบสองคนซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ในช่วงวัยรุ่นลงมาจากรถม้
าและยืนอยู่ด้านหลังของมาดามมักซีม มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่คลุมศีรษะด้วยผ้าคลุมไหล่

“คาร์คารอฟมาถึงหรือยัง” เธอถาม

“คงจะมาถึงในไม่ช้า มาดามต้องการรอต้อนรับเขาหรืออยากจะเข้าไปข้างใน” ดัมเบิลดอร์ถาม 

“ไปข้างในดีกว่า” มาดามมักซีมตอบก่อนจะเดินนำหน้านักเรียนของเธอเข้าไปด้านใน

                เหล่านักเรียนยืนตัวสั่นจ้องมองท้องฟ้าเพื่อรอการมาของนักเรียนจากเดิร์มสแตรง แต่ดูเหมือนมีแต่ความเงียบเท่านั้น

“พวกเขาคงไม่มาแล้วมั้ง” เชมัสพูดลอยๆ

“นายได้ยินเสียงอะไรไหม” รอนถามแฮร์รี่นิ่งฟัง เสียงดังรวกับเคื่องดูดฝุ่นขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนมาตามแม่น้ำและตรงมาที่พวกเขา

“ดูนั่น!” ลี จอร์ดันส่งเสียงเอะอะพลางชี้มือไปที่ทะเลสาบ เหล่านักเรียนพากันองตาม ทีผิวน้ำของทะเลสาบเริ่มหมุนวนจน
เกินเป็นหลุมลึก อะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเสาสีดำค่อยๆโผล่พ้นขึ้นมาจากใจกลางน้ำวน เรือใบสีดำสนิดขนาดมหึมาค่อยๆ
โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาช้าๆราวกับเรือผีสิง มันค่อยๆลอยเลื่อนช้าๆตรงมาที่ริมฝั่ง เสียงไม้กระดานวางพาดจากเรือมาบนพื้นดิน
 เงาร่างคนหลายคนเดินเรียงแถวออกมาจากเรือ ทุกคนใส่เสื้อคลุมขนเฟอร์เส้นหยาบหนา นอกจากชายคนที่เดินนำหน้า 
เสื้อคลุมของเขามีสีเงินแวววาว

“ดัมเบิลดอร์” เขาร้องเรียกอย่างร่าเริง “สบายดีหรือเพื่อนรัก”

“แช่มชื่นดี ขอบคุณ ศาสตราจารย์คาร์คารอฟ”ดัมเบิลดอร์ตอบ

“อา ฮอกวอตส์เพื่อนเก่าที่แสนรัก” คาร์คารอฟพูดยิ้มๆแต่ดวงตาของเขากลับนิ่งและเย็นชาอีกทั้งยังคมกริบ 

“ดีจริงๆ วิกเตอร์ มานี่เถอะ ตรงนี้อุ่นหน่อย” เขาหันไปเรียกเด็กนักเรียนวัยรุ่นคนหนึ่ง เขาเดินเข้ามาจนใกล้ รอนอ้าปากค้าง

“แฮร์รี่ นั่น วิกเตอร์ ครัม สุดยอดซีกเกอร์จากทีมบัลแกเรียนี่!”

เขาเขย่าตัวแฮร์รี่จนตัวสั่นคลอน

“ไม่อยากจะเชื่อเลย สุดยอดซีกเกอร์ของโลกเป็นนักเรียนอยู่เลยหรือเนี่ย” 

“โธ่เอ๋ยรอน เขาก็แค่นักกีฬาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างเบื่อๆ รอนมองเธอ

“แค่นักกีฬาเรอะ เฮอร์ไมโอนี่ เขาน่ะสุดยอด เข้าใจไหมคำว่าสุดยอดน่ะ”

เฮอร์ไมโอนี่ทำสีหน้าเบื่อๆขณะที่นักเรียนทั้งหมดเริ่มต้นเดินกลับเข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่ หลายคนเริ่มค้นหาปากกา
เพื่อขอลายเซ็นต์จากครัม หลังจากที่นักเรียนทุกคนนั่งลงประจำที่หมดแล้ว นักเรียนจากโบซ์บาตงเลื่อกที่จะ
นั่งกับเรเวนคลอในขณะที่เดิร์มสแตรงตรงไปนั่งรวมกับสลิธีริน รอนเบะปากเมื่อเห็นมัลฟอยทำหน้าพออกพอใจมาก 

“เชอะ” รอนมองอย่างดูถูก เฮอร์ไมโอนี่มองดูเด็กนักเรียนโบซ์บาตงที่กำลังมองสำรวจรอบๆห้องด้วยกิริยาดูถูกอย่างไม่พอใจ 

“พวกเขาคิดว่าจะได้เจอกับอะไรที่นี่กันเหรอ” เธอพูดอย่างฉุนๆ แฮร์รี่หัวเราะ

“สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองสูงส่งอยู่เสมอน่ะ มักไม่พอใจกับสิ่งใหม่ๆเสมอแหละ” ออโรร่าพูดเรื่อยๆ ดูเหมือนจะมีเพียง
เธอเท่านั้นที่ไม่ได้สนอกสนใจกับการมาของเหล่านักเรียนทั้งสองแห่ง เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เสียงฮือฮาดัง
ขึ้นเมื่อนักเรียนหญิงของโบซ์บาตงที่คลุมศีรษะไว้โดยตลอดดึงผ้าพันคอของเธอออก ผมสีเงินยวงพลิ้วยาวสยายลงมา รอนถึงกับอ้าปากค้าง

“วีล่า เธอเป็นวีล่าเห็นมั้ยแฮร์รี่” รอนร้องอย่างตื่นเต้นเด็กนักเรียนชายเกือบทุกคนต่างพากันชะเง้อดูด้วยความสนใจยกเว้นมัลฟอย
ที่ทำเพียงแค่เหลือบตามองดูแครบและกอยล์ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

“ก็แค่ผู้หญิงเลือดผสมคนหนึ่งเท่านั้นเองไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา” เขายกแก้วน้ำฟักทองขึ้นดื่ม ครัมหัวเราะ

“อย่างน้อยเขาก็สวยดีนะครับ” ครัมพูดเสียงแปร่งๆเรื่อยๆแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับสาววีล่าเช่นเดียวกัน มัลฟอยเบ้ปาก

“ผู้หญิงที่ดีพร้อมไม่จำเป็นต้องสวยนักหรอก” เขาเหลือบสายตาไปมองดูเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ

“ขอแค่ฉลาดหลักแหลม น่ารัก เป็นตัวของตัวเอง เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน” เขาพูดเบาๆ ครัมขมวดคิ้ว

“ผมชักอยากจะเห็นผู้หญิงที่คุณพูดถึงเสียแล้วสิ” 

“ที่นี่น่ะไม่มีหรอก” มัลฟอยตอบก่อนจะวางแก้วน้ำลง “เลิกพูดถึงเรื่องนี้ดีกว่า” เขาพูดอย่างรำคาญครัมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
 มัลฟอยเหลือบตามองดูเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้งก่อนจะชวนครัมคุยถึงเรื่องควิดดิชโดยไม่ทันได้สังเกตุเห็นว่าเฮเดสกำลังมองดูเขาและ
เฮอร์ไมโอนี่ด้วยสีหน้าที่ยิ้มเยาะเช่นเดียวกัน

                เช้าวันต่อมา เฟร็ดกับจอร์จมีท่าทางร่าเริงเมื่อเล่าให้แฮร์รี่ฟังว่าทั้งคู่ได้กินยาเพิ่มอายุเพื่อจะได้เข้าร่วมการแข่งขันไตรภาคี 
เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย 

“ไม่คิดบ้างหรือว่าศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์จะคิดหาวิธีป้องกันเรื่องนี้ไว้แล้วน่ะ”

“ใครจะสน” เฟร็ดพูดก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆหย่อนกระดาษชิ้นเล็กๆที่เขียนชื่อเขาทั้งสองคนไว้ลงไปในถ้วยที่มีเปลวไฟสีฟ้าลุกโพลงอยู่
 เสียงดังฟู่เบาๆก่อนที่ร่างของแฝดทั้งสองคนจะถูกเหวี่ยงออกมาจากวงสีทองที่ดัมเบิลดอร์ได้ขีดไว้ 

“เฮ้” เฟร็ดร้องออกมาก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นหน้าของจอร์จ ทั้งคู่ชี้มือใส่กันเมื่อเห็นเคราสีขาวของอีกฝ่ายเต็มตา

“ฉันเตือนแล้ว” เสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้น ดัมเบิลดอร์เดินเข้ามาภายในห้องโถงพลางสำรวจดูแฝดทั้งสองด้วยดวงตาที่เป็น
ประกายหลังแว่นรูปจันทร์เสี้ยว

“ฉันว่าเธอทั้งสองคนรีบขึ้นไปหามาดามพอมพรีย์จะดีกว่านะ เธอกำลังทำการรักษามิสฟอว์เซ็ตกับมิสเตอร์ซัมเมอร์อยู่ 
แต่ฉันกล้าพนันได้เลยว่า เคราของสองคนนั่นสวยสู้เคราของเธอทั้งสองคนไม่ได้แน่ๆ 

เฟร็ดกับจอร์จเดินกอดคอหัวเราะกันออกไป แฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี่ต่างพากันหัวเราะอย่างขบขันในความคิดของ
ดัมเบิลดอร์ขณะเดินไปรับประทานอาหาร ทั้งสามคนรู้สึกทึ่งจัดเมื่อได้รู้ว่าแองเจลินา จอห์สันได้ใส่ชื่อขอเธอลงไปในถ้วยอัคนีด้วย

“ดีใจจังที่กริฟฟินดอร์มีคนเสนอตัว” เฮอร์ไมโอนี่พูด “ฉันอยากให้เธอได้รับการคัดเลือกนะแองเจลินา”

“ขอบใจเฮอร์ไมโอนี่” แองเจลินาพูดพลางส่งยิ้มให้ รอนบิดตัวอย่างเกียจคร้าน

“แล้ววันนี้เราจะทำอะไรกันดีล่ะ” เขาถาม

“ไปหาแฮกริดดีไหม” แฮร์รี่ชวน ทั้งสองคนเห็นด้วยเฮอร์ไมโอนี่ไม่ลืมที่จะยกกล่องใส่เข็มกลัดส.ร.ร.ส.อ

ของเธอลงไปที่กระท่อมของแฮริดด้วย ทั้งสามคนรู้สึกแปลกใจมากเทื่อเห็นว่าแฮกริดอยู่ในชุดที่แปลกประหลาดราวกับว่า
เขาพยายามจะแต่งตัวเพื่อที่จะอวดใครบางคน

“ไง” แฮกริดทักพลางขยับเสื้อนอกที่หยาบหนาไปมา เฮอร์ไมโอนี่แอบหัวเราะก่อนจะชวนเขาคุยเรื่องสกรูตปะทุไฟและ
วกกลับมาเรื่องสิทธิของเอลฟ์ประจำบ้าน เธอรู้สึกเสีหน้าและโกรธมากที่แฮกริดปฏิเสธความคิดเรื่องนี้ของเธอ 

“พวกเราต้องกลับกันแล้ว” แฮร์รี่พูดขึ้น “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เขาจะมีการประกาศชื่อผู้เข้าแข่งขันกันหลังอาหารด้วย”
 เด็กทั้งสามคนรีบวิ่งกลับเข้าไปในปราสาท ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับมัลฟอยซึ่งกำลังเดินตรงไปที่ห้องอาหารพร้อมๆ
กับครัมและลูกสมุนของเขา แครบและกอยล์

“ดูสิว่าใครกำลังวิ่งหน้าตาตื่นมา” มัลฟอยพูดเสียงยานๆกับครัม เขาทำหน้าฉงนเล็กน้อย

“เร็วเข้าพอตตี้ วีเซิ้ลเดี๋ยวอาหารค่ำแสนหรูหราที่พวกแกจะหากินไม่ได้นอกจากที่นี่จะหมดเสียก่อน” เขาส่งสายตาเยาะหยันไปที่รอน
 เด็กชายหน้าแดงก่ำ

“พยายามเลียให้เก่งๆนะ มัลฟอย บางทีวิธีนี้อาจจะทำให้นายจับลูกสนิชได้ดีขึ้นก็ได้” รอนโต้ มัลฟอยชะงักมองจ้องหน้าเขานิ่ง

“นั่นก็ยังดีกว่าแกที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ขี่เศษไม้กวาดดีๆสักอัน วีสลีย์” มัลฟอยเชิดหน้าอย่างยะโสขณะที่มองดูรอนกำลังตะกายอากาศ
เพราะโดนแฮร์รี่ดึงผ้าคลุมของเขาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะพุ่งตัวเข้าใส่มัลฟอย

“อย่าเลยน่ะรอน เสียเวลาเปล่าๆกับพวกไร้ความสามารถ” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางดึงรอนให้ออกห่างจากอีกฝ่าย
 มัลฟอยมองหน้าเธอนิ่งอย่างคิดไม่ถึง

“เธอว่าอะไรนะ” เขาถามเสียงสูง เด็กสาวย่นหน้าก่อนตอบ

“ฉันพูดว่า นายคือพวกไร้ความสามารถ ได้ยินชัดเจนหรือยัง มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่จ้องหน้ามัลฟอยที่กำลังมีท่าทางตกตะลึง
กับคำพูดของเธอก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ห้องอาหารด้วยท่าทางที่ไม่สนใจไยดี แฮร์รี่และรอนมองหน้ากันอย่างงงๆก่อน
จะรีบเดินตามหลังเธอไปไม่ห่าง

“ยอดเลย เฮอร์ไมโอนี่” รอนชม “เธอเล่นเสียเจ้างั่งนั่นจ๋อยไปเลย”

“แค่พูดตามความจริงเท่านั้นเอง” เฮอร์ไมโอนี่ตอบก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งของเธอ กลุ่มของมัลฟอยเดินตามเข้ามา 
เขากัดฟันแน่นเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่ส่งยิ้มให้กับเฮเดส

“นายไม่เป็นอะไรนะ” ครัมเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของมัลฟอย 

“ฉันไม่เป็นอะไร” เขาเค้นเสียงตอบก่อนจะเบือนสายตาไปมองทางอื่นด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น และเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง 
จอนทองทุกใบเกลี้ยงเกลาสะอาดเอี่ยม ดัมเบิลดอร์ลุกขึ้นและโบกไม้กายสิทธิ์ของเขาเป็นวง เทียนทุกเล่มในห้องดับวูบลงเหลือ
เพียงเปลวไฟสีขาวอมฟ้าที่โชติช่วงสว่างจ้าจากถ้วยอัคนี ฉับพลันเปลวไฟในถ้วยก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง 
ลูกไฟปะทุออกมาจากถ้วย ดัมเบิลดอร์คว้ากระดาษนั้นไว้และคลี่ออกอ่าน

“ตัวแทนจากเดิร์มสแตรง วิกเตอร์ ครัม”

รอนร้องตะโกนขณะที่ปรบมือไปพร้อมๆกับเพื่อนๆใน้หอ้งทั้งหมด ครัมลุกขึ้นและเดินอ้อมโต๊ะหายเข้าไปในประตูด้าน
หลังโต๊ของอาจารย์ เสียงปะทุดัขึ้นพร้อมกระดาษที่พุ่งออกมาจากถ้วยอัคนีอีกแผ่น

“ตัวแทนโบซ์บาตง เฟลอ เดอลากูร์”

รอนหน้าแดงเมื่อเห็นหญิงสาวลุกขึ้นยืนและเดินสะบัดผมสีเงินยวงหายเข้าไปในห้องห้องเดียวกับครัม
เมื่อเสียงปรบมือเบาลงถ้วยได้พ่นกระดาษออกมาอีกครั้ง

“ตัวแทนจากฮอกวอตส์ เซดริก ดิกกอรี่”

เสียงโห่ร้องราวกับห้องทั้งห้องจะถล่มทลายเมื่อเซดริกลุกขึ้นและเดินผ่านทุกคนไปยังห้องที่สองคนแรกเข้าไป
 ดัมเบิลดอร์ปรบมือไปพร้อมๆกับเหล่าบรรดานักเรียน

แต่แล้วเสียงตะโกนก้องและเสียงปรบมือก็หยุดลงพร้อมๆกันเมื่อถ้วยอัคนีได้ปล่อยลูกไฟออกมาอีกลูก 
ดัมเบิลดอร์เอื้อมมือออกไปรับและคลี่ออกดู เขานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะอ่านออกเสียงว่า

“แฮร์รี่ พอตเตอร์”

 

                                          ******************************

 

                นอกจากบ้านกริฟฟินดอร์แล้วปฏิกิริยาที่แฮร์รี่ได้รับจากนักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนหลังจากที่ชื่อของเขาได้รับการ
ประกาศเข้าร่วมการแข่งขันไตรภาคีก็คือความเย็นชาและดูถูก แม้แต่รอนซึ่งเขาถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขาก็ปั้นปึ่งเฉยชากับเขา 
แฮร์รี่ได้แต่หวังว่ารอนคงจะเข้าใจและเชื่อใจในตัวของเขาแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล มีเพียงเฮอร์ไมโอนี่เท่านั้นที่พูดออกมาตรงๆ
ว่าเธอเชื่อใจในตัวของเขาและคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนใส่ชื่อลงไปในถ้วยอัคนี

“แล้วเธอเห็นรอนไหม” แฮร์รี่ถามขณะที่ทั้งคู่เดินไปด้วยกันเด็กสาวส่ายหน้า

“รอนไม่เชื่อฉัน” เด็กชายบ่น เฮอร์ไมโอนี่เม้มปาก

“ก็ไม่เชิง” เธอมีท่าทีอึกอัก” จะว่ายังไงดีล่ะ คือฉันคิดว่าเขากำลัง......เอ่อ......อิจฉาเธอมากกว่า” แฮร์รี่หยุดฝีเท้าทันทีเขาหันมามอง
หน้าเฮอร์ไมโอนี่

“อิจฉาเรอะ” เขาตะโกนเสียงลั่น “อิจฉาอะไร เขาอยากจะเป็นไอ้งั่งต่อหน้าทุกๆคนในโรงเรียนหรือไง”

“นี่ฟังนะแฮร์รี่ เธอน่ะเป็นเป้าความสนใจมาโดยตลอด ใช่มันไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการแต่รอนไม่ได้คิดแบบนั้น
 อย่างน้อยน่ะนะ แต่ดูเหมือนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี่น่ะเขาเป็นเพียงเงาที่ตามหลังเธอนั้น ทุกคนมองผ่านรอนไปใน
ขณะที่สายตาทุกคู่กลับจับจ้องไปที่เธอคนเดียว”

“อ้อ งั้นทำไมเขาไม่บอกมาตรงๆเลยล่ะ” แฮร์รี่ร้องอย่างเหลืออด “ฉันจะดีใจมากเลยถ้าเขาไปเผชิญหน้ากับบาร์ซิลิสต์
ในห้องใต้ดินแทนฉัน หรือกระดูกแขนหักแทนฉัน หรือได้รับเลือกเป็นตัวแทนเข้าแข่งขันแทนฉัน”

“ฉันว่าเธอไปตะโกนใส่เขาเองเลยจะดีกว่านะแฮร์รี” เฮอร์ไมโอนี่พูดห้วนๆ “ฉันคิดว่าเธอมีสิ่งที่สมควรจะทำก่อนที่จะไปนั่ง
คิดเรื่องบ้าๆพวกนี้”

“จะให้ฉันทำอะไร เตระรอนงั้นเรอะ”

“เขียนจดหมายถึงซีเรียส เล่าทุกอย่างให้เขาฟังทั้งหมด เธอต้องทำแฮร์รี่ฉันคิดว่าคุณซีเรียสเองคงอยาก
ที่จะรู้เรื่องนี้ก่อนหนังสือพิมพ์จะเอาเรื่องของเธอไปลง” 

แฮร์รี่นิ่งเงียบก่อนจะพยักหน้า

“ตกลง ฉันจะเขียนจดหมายถึงเขา แต่ฉันจะใช้นกฮูกของใครดีล่ะ”

“นกฮูกของโรเรียนยังไง มันดูไม่น่าในใจที่สุด” เธอแนะก่อนจะขอตัวไปห้องสมุด แฮร์รี่เดินตรงไปที่โรงเก็บนกฮูก
และลงมือเขียนจดมหายถึงซีเรียสอย่างเร็วก่อนจะผูกมันเข้ากับขาของนกฮูกนาตัวหนึ่งและปล่อยมันออกไป

 

                เฮอร์ไมโอนี่เดินอย่างรีบเร่งไปตามทาง เธอชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหน้าราวกับกำลังรอคอย

“นึกอยู่แล้วว่าเธอจะต้องมา เกรนเจอร์” เสียงยานคางดังเนิบๆ มัลฟอยยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่คนเดียวเขาหันหน้ามามองดูเฮอร์ไมโอนี่

“นายต้องการอะไรกัน มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามห้วนๆ มัลฟอยขมวดคิ้ว

“พูดกับฉันดีๆก็ได้ เกรนเจอร์ ไม่มีใครอยู่แถวๆนี้หรอก” เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอเด็กสาวถอยหลังด้วยท่าทีระแวง

“นายจะทำอะไร” เธอถามเสีงเข้ม มัลฟอยทำท่าฉงน

“ก็เหมือนกับทุกครั้งที่เจอเธอไงเกรนเจอร์” เขายิ้มน้อยๆก่อนจะเอื้อมมือออกมาข้างหน้าและรวบตัวเฮอร์ไมโอนี่ไว้ในอ้อมแขน
 เด็กสาวดิ้นเต็มแรง

“นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ปล่อยฉันนะมัลฟอย” เธอก้มหน้าลงกัดกร้วมเข้าที่มือของมัลฟอยเต็มแรง เขาร้องอย่างตก
ใจและเจ็บปวดก่อนจะปล่อยมือออกจากเธอ

“เธอทำบ้าอะไรกันน่ะ”

“นั่นควรจะเป็นคำถามของฉันมากกว่านะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงโกรธๆ “นายกำลังทำบ้าอะไรของนาย”

มัลฟอยมีท่าทางแปลกใจที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากของเฮอร์ไมโอนี่ 

“ฉันก็ทำเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอเธอไง”

“อย่ามาพูดพล่อยๆแบบนี้นะมัลฟอย ฉันจำไม่ได้ว่าเคยให้นายทำอะไรบ้าๆแบบนี้กับฉัน”

“ว่าไงนะ” มัลฟอยถามเสียงสูง “เธอจะบอกว่าเธอไม่เคยให้ฉันกอด ไม่เคยให้ฉันจูบมาก่อนเลยอย่างนั้นเหรอ”

เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดงจัดด้วยความรุ้สึกทั้งโกรธและอายไปพร้อมๆกัน

“ฉันไม่เคยให้นายทำอะไรทุเรศๆแบบนั้นแน่ๆ และฉันก็คิดว่าคนแบบนายคงไม่คิดจะทำแบบนั้นกับฉันด้วยมัลฟอย
 นี่นายจะมาไม้ไหนกันแน่น่ะ” เธอดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาและชี้ตรงหน้ามัลฟอย ดวงตาฉายแววเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด 

“นี่เธอเป็นอะไรไปน่ะ เกรนเจอร์” มัลฟอยถามสีหน้างุนงงสุดขีดเธอร์ไมโอนี่เชิดหน้าน้อยๆ

“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้มานานแล้ว มัลฟอย ฉันเกลียดนายยังไงก็เกลียดแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยน”

ความรู้สึกของมัลฟอยในเวลานี้ ราวกับโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง เสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในหัว ดวงตาสีซีดจับจ้องมอง
ใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบงัน คำพูดที่กำลังจะหลุดรอดริมฝีปากออกมาค้างอยู่ในลำคอ

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ” เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูดังขึ้น มัลฟอยหันไปมองตามเสียง เฮเดสกำลังยืนมองดูเขาและเฮอร์ไมโอนี่สลับกัน

“หมอนี่มาขวางทางฉัน แต่ไม่มีอะไรหรอกเฮเดส” เฮอร์ไมโอนี่ตอบพลางตวัดสายตามามองดูมัลฟอย 
ราวกับแส้ฟาดลงบนหัวใจเมื่อเขามองตามสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างเด่นชัดไม่ปิดบังของเธอ

“แล้วเขาทำอะไรเธอหรือเปล่า” เฮเดสถามด้วยท่าทางเป็นห่วง เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้า

“เปล่า และฉันคิดว่าคนอย่างเขาคงไม่มีวันทำแบบนั้นได้ด้วย” น้ำเสียงที่ตอบแฝงไปด้วยความดูถูก มัลฟอยกำหมัดแน่น

“นี่หรือที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปน่ะ” มัลฟอยพูดเบาๆ เฮอร์ไมโอนี่มองดูเขาอย่างงงๆ

“ก็ได้ ถ้าเธอต้องการแบบนั้น เกรนเจอร์เชิญเธอมีความสุขกับเขา แต่อย่าหวังว่ามันจะจบลงแค่นี้นะ” เขากัดฟันพูด 
เฮอร์ไมโอนี่สะบัดหน้าหนี

“ไปกันเถอะ เฮเดส ฉันเบื่อที่จะฟังคำพูดแบบนี้เต็มทน” เด็กสาวเดินจากไปอย่างเร็วโดยไม่สนใจ
แม้แต่จะเหลือบสายตามามองดูเขาเลย เฮเดสยิ้มน้อยๆก่อนจะก้าวขาเดินตามหลังเธอไป ทิ้งให้มัลฟอยยืนนิ่ง
อึ้งด้วยความคับแค้นใจอยู่คนเดียว

“ฉันจะทำลายทุกๆอย่างที่เธอรัก เกรนเจอร์ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเจ้าพอตเตอร์ เจ้าหัวแดงหรือไอ้หมอนั่น”

มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่อาฆาตแค้นก่อนจะเดินกลับไปที่หอนอนของเขาอย่างเงียบๆ




Chapter 6: โลหิตแห่งคำสาบ

หลังจากการคัดเลือกตัวแทนผ่านไปหลายวัน แต่ดูเหมือนปฏิกิริยาของเหล่านักเรียนทุกบ้านยกเว้น
กริฟฟินดอร์ดูจะเฉยชาและเยาะหยันแฮร์รี่อยู่ในที
แม้แต่รอนที่เขาเคยยึดถืออยู่เสมอว่าเป็นเพื่อนที่สนิทและรู้ใจที่สุด
ไม่เว้นกระทั่งศาสตราจารย์สเปร้าต์ผู้สอนวิชาสมุนไพรศาสตร์เองก็ออกอาการมึนตึงใส่เขาในชั่วโมงเรียน
แฮร์รี่คิดว่าถ้าเธอสามารถหักคะแนนเขาได้ในเรื่องความชิงชังแล้ว เขาคงเสียคะแนนไปอีกนับร้อยเลยทีเดียว
เวลานี้ชั่วโมงเรียนเพียงวิชาเดียวที่เด็กชายรอคอยอย่างใจจดใจจ่อคือวิชาสัตว์วิเศษของแฮกริด
แต่นั่นหมายถึงเขาจะต้องเผชิญหน้ากับสลิธีรินและ เดรโก มัลฟอย
“ดูนั่นสิ พวกเรา ตัวแทนน่ะนี่” มัลฟอยเริ่มทันทีที่เห็นแฮร์รี่เดินมากับเฮอร์ไมโอนี่
ริมฝีปากซีดบางของเด็กชายกระตุกเบาๆในขณะที่เขาแอบมองดูเด็กสาวก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“เอาสมุดสะสมลายเซ็นต์มาหรือเปล่า พวกเราน่าจะเริ่มต้นขอลายเซ็นต์จากเขาในตอนนี้เลย
เพราะฉันเคยได้ยินมาว่าครึ่งหนึ่งของตัวแทนมักจะตายในระหว่างการแข่งขัน”
มัลฟอยทำสีหน้าเยาะๆไปทางแฮร์รี่ก่อนจะส่งสายตาเย้ยหยามไปทางเฮอร์ไมโอนี่
เด็กสาวรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“ฉันว่านายน่าจะเตรียมตัวโบกธงให้กับกริฟฟินดอร์มากกว่านะ มัลฟอย” เธอโต้
“ฉันคิดว่าแฮร์รี่คงจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้
ถึงตอนนั้นอย่ามาคลานอ้อนวอนขอลายเซ็นต์จากเขาก็แล้วกัน”
“ใครต้องการของแบบนั้นกัน ยายเลือดสีโคลนโสโครก!” มัลฟอยร้องตะโกนโต้กลับอย่างโกรธจัด
“คิดว่าคอยเคล้าเคลียเขาแล้วจะทำให้เธอดูดีขึ้นมานักหรือไงกัน ยายฟันโต!” 
“นาย” เฮอร์ไมโอนี่ตัวสั่นระริกด้วยความโกรธ เธออ้าปากจะโต้เขากลับแต่แฮร์รี่กลับดึงเสื้อเธอเบาๆ
“พอทีเถอะ เฮอร์ไมโอนี่ แฮกริดกำลังมาโน่นแล้ว” เขาพูดพลางส่งสายตามองไปด้านหน้า
แฮกริดกำลังยกกล่องไม้ที่วางซ้อนกันมาอย่างทุลักทุเล เขายิ้มกว้างเมื่อวางกล่องเหล่านั้นลง
“ไงเด็กๆ วันนี้ฉันคิดว่าจะให้พวกเธอพาเจ้าสกรู๊ตนี่ออกไปเดินเล่นเสียสักหน่อย”
เขาหัวเราะเบาๆพลางตบลงบนกล่องไม้ มัลฟอยเบ้หน้า
“พาไอ้นี่ไปเดินเล่นเรอะ” เขาทวนคำแล้วทำหน้ารังเกียจ “จะให้ใส่สายจูงมันตรงไหน
ตรงเดือยแหลมหรือตรงปากดูดของมันดีล่ะ” มัลฟอยถามด้วยน้ำเสียงดูถูก
แฮกริดจัดแจงคล้องสายจูงเข้ากับตรงกลางของลำตัวสกรู๊ตปะทุไฟ
“นี่ยังไงล่ะ” เขาพูด “แต่เธอควรจะใส่ถุงมือหนังมังกรก่อนนะเป็นหารป้องกันน่ะ
เอ้าแฮร์รี่เธอมาช่วยฉันหน่อยสิ”
แฮกริดแกล้งเรียกแฮร์รี่ให้ออกจากกลุ่มนักเรียนทั้งหมดก่อนจะพูดกับเขาเบาๆเมื่อนักเรียนทุกคนออกไปกันหมด
แล้ว
“เป็นไง เข้าแข่งขันสินะ ฉันอยากจะรู้จังว่าใครเป็นคนเอาชื่อเธอใส่ลงไปในถ้วยอัคนี” แฮกริดพูด
แฮร์รี่ตาโต
“คุณเชื่อหรือครับว่าผมไม่ได้เป็นคนใส่ชื่อตัวเองลงไป” แฮร์รี่พูด
ความซาบซึ้งใจในตัวชายร่างยักษ์ไหลทะลักท่วมท้นหัวใจ แฮกริดพยักหน้า
“แน่นอนอยู่แล้ว เธอบอกว่าไม่ใช่เธอฉันก็ต้องเชื่อสิ ดัมเบิลดอร์เองก็เชื่อเธอนี่”
“อยากให้รอนคิดแบบเดียวกับคุณบ้างจังครับ แฮกริด” แฮร์รี่พึมพำพลางทอดสายตามองออกไปด้านหน้า
เหล่าบรรดสกรู๊ตที่มีกำลังมหาศาลกำลังเริ่มลากนักเรียนที่จูงพวกมันอยู่ด้วยท่าทางเริงใจ
บางตัวก็เริ่มปล่อยปะทุไฟออกมาจากทางด้านหลัง หลายคนล้มหน้าคะมำและถูกลากไปตามพื้น
รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ด้วย
เด็กสาวร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อเจ้าสกรู๊ตตัวที่เธอกำลังจูงมันอยู่ปะทุไฟออกมาจากทางด้านหลังทำให้มันพุ่
งออกไปข้างหน้าอย่างแรงทำให้เด็กสาวที่กำลังตกใจถูกกระชากลากไปจนล้มหน้าคว่ำ
“เกรนเจอร์” มัลฟอยร้องอุทานออกมาเบาๆก่อนจะปล่อยมือจากสกรู๊ตที่เขากำลังจูงอยู่และวิ่งตาม
ออโรร่าที่กำลัง 
จูงกรู๊ตอีกตัวชะงักขณะที่จ้องมองดูคนทั้งสอง
เธอหันไปทางเฮเดสพี่ชายของเธอก่อนจะปล่อยสายจูงสกรู๊ตปะทุไฟให้วิ่งไปทางเขาราวกับจะแกล้ง
เฮเดสหยุดชะงักแล้วเบือนหน้ามาทางเธอช้าๆ
“คิดจะทำอะไร น้องสาวที่รัก” เขาถามเบาๆ ออโรร่าเดินตรงเข้าไปหาเขาและก้มลงเก็บสายจูงสกรู๊ตของเธอ
“นั่นเป็นคำถามของฉันมากกว่า เฮเดส พี่กำลังทำอะไร” เธอย้อนถาม เฮเดสเลิกคิ้วสูง
“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น ออโรร่า” เขาถาม เด็กสาวยิ้มเย็น
“ดูจากท่าทางของเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้แล้ว” เธอจ้องหน้าพี่ชายของเธอนิ่ง “พี่วางยาเธอ”
“พี่น่ะเรอะวางยาแม่สาวน้อยนั่น” เฮเดสหัวเราะ “พี่จะทำเพื่ออะไรกัน” 
“คำตอบนั่นมันอยู่ในใจของพี่แล้ว เฮเดส” ออโรร่าตอบ “แต่อย่าลืมว่าที่นี่มีฉันอยู่ด้วย
อย่าหวังว่าสิ่งที่พี่กำลังทำและจะทำมันจะสำเร็จอย่างที่พี่ตั้งใจ”
“อย่างน้อยในตอนนี้มันก็สำเร็จไปเรื่องหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ น้องรัก”
เฮเดสตอบสายตาที่มองดูน้องสาวมีแววอำมหิตฉายอยู่ ออโรร่ามองแววตานั้นกลับด้วยดวงตาที่นิ่งสนิท
“มันยังไม่สำเร็จหรอก พี่ชาย
อย่าลืมสิว่าทั้งสองคนนั่นผูกพันกันอย่างลึกซึ้งเกินกว่าที่จะมีใครแทรกเข้าไปได้”
“พี่นี่แหละจะทำ” เฮเดสพูด รอยยิ้มฉาบบนริมฝีปากบางเฉียบ
“พี่จะทำลายความรักและความทรงจำทุกอย่างที่ผูกพันทั้งสองคนนั่นให้หมด”
“พี่ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน คอยดู” ออโรร่าพูดเน้นย้ำก่อนจะเดินจากออกไป
เฮเดสมองตามหลังน้องสาวของเขาก่อนจะส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายไปทางเฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยที่หาย
ไปหลังพุ่มไม้ด้านทะเลสาบ
“เธอไม่มีทางขัดขวางพี่ได้หรอก ออโรร่า ไม่มีทาง” เขาก้าวยาวๆไปทางพุ่มไม้นั้นทันที
มัลฟอยที่วิ่งจนเต็มฝีเท้าจนทันเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังโดนสกรู๊ตลากกลิ้งไปกลิ้งมา
เขาคว้าสายจูงเจ้าสกรู๊ตไว้แล้วออกแรงดึงเต็มที่ มันดิ้นรนขัดขืนสะบัดตัวไปมา เด็กชายคำรามในลำคอเบาๆ
“ฉันไม่ยอมให้แกทำร้ายเธอมากไปกว่านี้แล้ว เจ้าตัวอัปลักษณ์” เขาร้องตะโกนก่อนจะกัดฟันดึงเชือกจนเต็มแรง
เลือดไหลซึมออกมาจากนิ้วมือเพราะถูกเชือกหนังบาดมัลฟอยกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงกระชาก
ราวกับสกรู๊ตตัวนั้นจะรับรู้ถึงความโกรธของเขา มันหยุดดิ้นรนทันทีแล้วยืนสงบนิ่ง
มัลฟอยจ้องมองดูมันก่อนจะรีบก้มลงไปประคองเฮอร์ไมโอนี่
“เกรนเจอร์” เขาเรียกเธอด้วยเสียงไม่เบานัก “เป็นยังไงบ้าง”
“อือ......” เสียงร้องครางเบาๆดังออกมาแต่ดูเหมือนเด็กสาวจะตกใจจนสิ้นสติไป
มัลฟอยกอดร่างที่บอบช้ำไว้ในอ้อมแขนของเขา
“พูดกับฉันสิเกรนเจอร์ ลืมตาขึ้นมาแล้วด่าว่าฉันก็ได้ อย่านอนนิ่งอยู่แบบนี้” เขากระซิบ
เสียงแหบแห้งของ
เฮอร์ไมโอนี่ดังขึ้นมาเบาๆ
“เจ็บ....ฉันเจ็บแขนจังเลย” เธอพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น เงาร่างที่พร่ามัวปรากฏขึ้นในสายตา
“ใครน่ะ” เธอพูดเบาๆ “แฮร์รี่หรือว่าเฮเดส”
มัลฟอยรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในทันที เขากัดฟันตัวเองแน่นอย่างอดกลั้นก่อนจะตอบเบาๆ
“ไม่ใช่ทั้งสองคนนั่นหรอก แต่อย่าไปสนใจเลยฉันจะพาเธอไปที่ห้องพยาบาลก่อนก็แล้วกันนะ เกรนเจอร์”
มัลฟอยอุ้มร่างที่อ่อนปวกเปียกของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้น เธอคว้าคอเสื้อของเขาไว้แล้วกำแน่น
“มัลฟอย” เสียงที่เรียกเขาแผ่วเบาราวกับละเมอแขนที่อ่อนล้าค่อยๆเลื่อนขึ้นโอบรอบคอของเขา
มัลฟอยแทบกลั้นลมหายใจ
“ม...ไม่ใช่หรอก” เขาพูดเบาๆ แต่เด็กสาวกลับกระชับวงแขนแน่นทั้งๆที่ยังคงหลับตา
“ใช่สิ ต้องใช่ ก็มีเธอเพียงคนเดียวที่คอยช่วยฉันตลอดเวลานี่” เสียงของเธอแผ่วเบาและเงียบหายไป
มัลฟอยก้มหน้าลงมองดู เฮอร์ไมโอนี่หมดสติไปแล้ว เขาถอนหายใจหนักๆก่อนจะกระชับอ้อมกอดของเขาให้แน่นขึ้น
“เกรนเจอร์” คำพูดที่กำลังหลุดออกจากปากหายไปทันที
คิ้วสีจางขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาหา
“นายทำอะไรเฮอร์ไมโอนี่น่ะ มัลฟอย” เฮเดสถาม 
“แกพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน ฉันวิ่งตามเจ้าสกรู๊ตบ้าๆนั่นมาเพื่อช่วยเกรนเจอร์ต่างหาก” มัลฟอยตอบ
เขาก้าวขาออกเดินทันทีที่พูดจบแต่เฮเดสกลับรั้งเขาไว้
“แต่ฉันเห็นว่านายเป็นคนทำให้เจ้าสกรู๊ตนั่นตกใจและวิ่งลากเฮอร์ไมโอนี่มานี่” เฮเดสยิ้ม
“นายเกลียดเธอมากขนาดนั้นเลยเรอะ”
“แกกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรกันน่ะ” มัลฟอยตวาดอย่างโกรธจัด เขาจ้องหน้าเฮเดสแต่อีกฝ่ายยังคงยิ้ม
เสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา มัลฟอยสะดุ้งเล็กน้อย
“คงไม่อยากให้คนอื่นเห็นสินะว่านายกำลังอุ้มพวกเลือดสีโคลนอยู่น่ะ”
เฮเดสพูดสายตาที่มองดูมัลฟอยเต็มไปด้วยความเยาะหยัน 
“ฝีมือแกใช่ไหม” มัลฟอยหรี่ตาลงแล้วถาม เฮเดสหัวเราะกระหึ่มอยู่ในลำคอแต่ไม่ได้ตอบอะไร
เขายื่นมือออกมาข้างหน้าเป็นเชิงให้มัลฟอยส่งเฮอร์ไมโอนี่ไปให้เขา แต่อีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง
“ส่งเธอมาสิ ถ้านายไม่อยากแปดเปื้อน” เฮเดสพูดย้ำ มัลฟอยกัดฟันแน่น
“ส่งเธอมาให้ฉันก็ได้ มัลฟอย” เสียงเย็นๆดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ทั้งมัลฟอยและเฮเดสต่างพากันหันกลับไปมอง ออโรร่ากำลังยืนจ้องมองดูพี่ชายของเธอก่อนจะหันมาทางมัลฟอย
“ถ้าเป็นฉันคงไม่มีปัญหาใช่ไหม” เธอพูดต่อ
มัลฟอยพยักหน้าน้อยๆก่อนจะค่อยๆวางร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนพื้นหญ้าด้วยความนุ่มนวลและระมัดระวัง 
“ดูแลเธอให้ดีด้วย” เขากำชับ
“แน่นอน เธอเป็นเพื่อนของฉันนี่” ออโรร่าตอบ มัลฟอยลุกขึ้นยืน เขามองหน้าเฮเดสนิ่งก่อนจะพูดเสียงเครียด
“แก ระวังตัวเอาไว้ให้ดี อย่าให้ฉันรู้เป็นอันขาดว่าแกทำอะไรกับเกรนเจอร์”
เขาชะงักคำพูดค้างไว้ก่อนจะก้าวยาวๆจากไป เฮเดสมองตามหลังเขาก่อนจะหันมาทางออโรร่า
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะน้องสาว” เขาพูด แล้วเดินจากออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ออโรร่าก้มลงตรวจดูอาการของเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะโบกมือเหนือร่างของเธอช้าๆ
ควันสีขาวจางๆไหลออกจากมือของเธอลอยรอบร่างของเด็กสาวที่กำลังหมดสติ รอยแผลที่มีอยู่ตามตัวค่อยๆจางหายไป
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาช้าๆก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น
“ออโรร่า” เธอเรียกชื่อเพื่อนก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆด้วยท่าทางงุนงง
“เธอหาใครหรือ” ออโรร่าถาม เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าน้อยๆ
“เปล่า เพียงแต่คิดว่า.......” เธอตอบแล้วถอนหายใจ “ฉันคงฝันไปมากกว่า
ไม่มีทางที่คนแบบนั้นจะวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือฉันแน่ๆ”
“อาจจะไม่ใช่ฝันก็ได้นะ” ออร่าพูดเรื่อยๆ
เฮอร์ไมโอนี่มองดูเธออย่างไม่เข้าใจก่อนจะลูบไปตามแขนของเธอเบาๆ
“น่าแปลก ฉันจำได้ว่าโดนสกรู๊ตลาก แล้วทำไมไม่มีรอยแผลอะไรเลยล่ะ”
“คงเป็นเพราะหญ้าพวกนี้กระมัง” ออโรร่าตอบพลางที่มือไปบนสนามหญ้าที่อ่อนนุ่ม
“มันคงช่วยไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บน่ะ” 
“คงใช่ แล้วเจ้าสกรู๊ตล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่มองไปรอบๆ
มีเพียงสกรู๊ตตัวที่ออโรร่ากำลังจูงอยู่เท่านั้นที่กำลังนอนอยู่นิ่งๆ 
“คงกลับไปหาแฮกริดแล้วล่ะ” ออโรร่ตอบก่อนจะลุกขึ้น “พวกเราก็น่าจะรีบกลับไปหาพวกเขาได้แล้วนะ”
เธอกระตุกสายจูงเบาๆ สกรู๊ตลุกขึ้นเดินตามอย่างขี้เกียจทันที เฮอร์ไมโอนี่มองอย่างงงงัน
“เธอทำได้ยังไงกันน่ะ” 
“อะไรหรือ” ออโรร่าย้อนถาม
“ก็เจ้าสกรู๊ตนี่น่ะ ดูเหมือนมันจะเชื่องกับเธอมากเลยนะ”
เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองดูสกรู๊ตที่กำลังเดินนำหน้าออโรร่าด้วยท่าทางหงอยๆ เด็กสาวหัวเราะ
“เจ้าตัวนี้คงผิดปกติน่ะ” เธอตอบ “ฉันดีใจจะแทบแย่ที่มันดูหงอยๆแบบนี้น่ะ
ถ้าคราวหน้าได้ดูแลเจ้านี่อีกครั้งก็ดีน่ะสิ” เธอกระตุกเชือกเบาๆ เจ้าสกรู๊ตส่ายหัวไปมา
“ดูเหมือนมันจะเชื่อฟังเธอมากกว่านะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดเบาๆ ออโรร่าหัวเราะ
“มันแค่ไม่ดื้อกับฉันเท่านั้นเอง” ทั้งคู่เดินไปด้วยกันจนถึงกระท่อมของแฮกริด
เฮอร์ไมโอนี่โดนตำหนิเล็กน้อยที่ปล่อยให้สกรู๊ตหลุดหนีไปได้ แต่แฮกริดก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมากไปกว่านั้น
เฮอร์ไมโอนี่มองไปรอบๆก่อนจะแอบถามแฮร์รี่เบาๆ
“มัลฟอยล่ะ”
“รู้สึกจะหนีกลับเข้าไปแล้ว เขาปล่อยเจ้าสกรู๊ตให้วิ่งพล่านไปทั่ว แฮกริดเลยหัวเสียนิดหน่อยน่ะ”
เด็กชายตอบ 
“งั้นเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าปราสาทเมื่อแฮกริดบอกให้ทุกคนกลับได้ 
หลายวันผ่านไป นอกจากการรอคอยจดหมายจากซีเรียสแล้ว
แฮร์รี่แทบรู้สึกไม่อยากจะเดินไปไหนมาไหนเหมือนทุกครั้ง
มีเพียงฝาแฝดวีสลีย์และเฮอร์ไมโอนี่เท่านั้นที่คอยพูดคุยให้กำลังใจกับเขา
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้แฮร์รี่รุ้สึกดีขึ้น
แม้แต่ในชั่วโมงวิชาของศาสตราจารย์ฟลิตวิกที่เขาเคยรู้สึกสนุกสนานทุกครั้ง 
“ฉันคงแย่มากเลยใช่ไหม” แฮร์รี่พูดกับเฮอร์ไมโอนี่หลังหมดชั่วโมงเรียน
เขาได้รับการบ้านเพิ่มมากขึ้นหลังจากใช้คถาเรียกของไม่ได้
และดูเหมือนศาสตราจารย์ฟลิตวิกจะโมโหมากกว่าทุกครั้งด้วยซ้ำ 
“มันไม่ได้ยากขนาดนั้นสักหน่อย แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ปลอบ
“อย่าไปสนใจกับปัญหาพวกนี้เลยเรายังมีชั่วโมงปรุงยาอีกส่องคาบติดกันรออยู่นะ”
แฮร์รี่รู้สึกเหมือนกำลังกลืนหนอนฟลอบเบอร์เป็นๆเข้าไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำว่าวิชาปรุงยา
แน่นอนทั้งสเนปและมัลฟอยคงไม่นั่งเฉยๆรอให้หมดชั่วโมงโดยไม่ทำอะไรเขาแน่ๆ 
“ไงพอตเตอร์!ชอบนี่ไหม”
เสียงมัลฟอยตะโกนขึ้นมาทันทีที่เขาและเฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปในห้องเรียนคุกใต้ดิน
แสงสว่างวาบเป็นตัวหนังสือสีแดงสะท้อนแวววาวเจิดจ้าอยุ่บนอกเสื้อของเด็กนักเรียนสลิธีรินทุกคน
ร่วมเชียร์ เซดริก ดิกกอรี่
ตัวแทนฮอกวอตส์ ตัวจริง !
“ไม่หมดแค่นี้นะ ดูให้ดี” มัลฟอยพูดต่อพลางกดบนเข็มกลัด ตัวหนังสือสีเขียวเรืองเป็นประกาย
พอตเตอร์ ห่วย

พวกสลิธีรินโห่ฮาเสียงดัง ทุกคนพรากันกดเข็มกลัดจนกระทั่งตัวหนังสือ พอตเตอร์ห่วย
ทอแสงสว่างจ้าอยู่รอบๆตัวแฮร์รี่ เขารู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้า
“โอ๊ย ขำตายแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่ร้องถากถางแพนซี่ พาร์กินสันและแก๊งนักเรียนหญิงบ้านสลิธีรินของเธอ
“เข้าใจคิดดีนะ”
รอนยืนพิงกำแพงมองดูนิ่งเฉย เขาไม่ได้หัวเราะแต่ก็ไม่ได้ปกป้องแฮร์รี่เหมือนเฮอร์ไมโอนี่
“อยากได้สักอันไหม เกรนเจอร์” มัลฟอยถามพลางยื่นเข็มกลัดส่งให้เธอ “ฉันยังมีอีกแยะ แต่อย่ามาโดนมือฉันนะ
ไม่อยากให้มือเปื้อนพวกโคลนโสโครก!”
“พอได้แล้วมัลฟอย” แฮร์รี่ตะโกนขึ้นมาก่อนจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมและดึงไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมา 
“แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่กระซิบเบาๆเพื่อเตือนเขา แต่ภาพนั้นกลับทำให้มัลฟอยรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที
“เอาเลย พอตเตอร์”
มัลฟอยพูดค่อยๆแต่น้ำเสียงแผ่วต่ำอย่างสะกดอารมณ์ก่อนจะดึงไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมาชี้ตรงหน้า
“ไม่มีมูดดี้คอยปกป้องนายแล้วนี่”
ในขณะที่ทั้งสองจ้องหน้ากัน เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวแล้วทั้งคู่ก็ลงมือ
“เฟอร์นันคูลัส!” แฮร์รี่ตะโกน
“เด็นเซากีโอ!” มัลฟอยแผดเสียง
ลำแสงพุ่งออกมาจากไม้กายสิทธิ์ของทั้งคู่และกระแทกกันกลางอากาศก่อนจะสะท้อนออกไปในทิศทางต่างกัน
ลำแสงของแฮร์รี่โดนใบหน้าของกอยล์ ผิวหนังของเขาพองปูดเป็นปุ่มปมขึ้นมาทันที
มันกลายเป็นฝีหนองขนาดใหญ่ที่น่าเกลียด กอยล์ร้องลั่นอย่างตกใจในขณะที่ยกมือหนาขึ้นปิดใบหน้า
ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ร้องครวญครางออกมาอย่างตื่นตกใจพลางยกมือขึ้นปิดหน้า
มัลฟอยยืนตะลึงจ้องมองดูด้วยใบหน้าที่ซีดขาว
“เกรนเจอร์” เขาพูดเบาๆในเวลาเดียวกันกับที่รอนรีบวิ่งตรงเข้ามาหาเธอด้วยความเป็นห่วง
“เฮอร์ไมโอนี่!” เขาร้องพลางดึงมือของเด็กสาวออกจากใบหน้า
ฟันที่เคยมีขนาดใหญ่ของเธอเริ่มโตขึ้นและงอกยาวออกมาจากปากของเธออย่างรวดเร็ว
เฮอร์ไมโอนี่ร้องครางพลางสะอึกสะอื้นในขณะที่ฟันยาวลงไปจนถึงคาง เธอกรีดเสียงร้องดังลั่น
“นี่มันเสียงอะไรกัน” เสียงแผ่วเบาและเย็นชาดังขึ้น สเนปเดินช้าๆเข้ามาในห้อง เขามองดูมัลฟอยและพูดว่า
“อธิบายมาสิ” 
มัลฟอยที่กำลังมองดูเฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งเบาๆก่อนจะตอบอย่างเร็ว
“พอตเตอร์ทำร้ายผมครับ แล้วเลยพลาดไปโดนกอยล์ด้วย”
“โกหก!” แฮร์รี่ร้องออกมาอย่างโกรธจัด “เราต่างทำร้ายกันต่างหาก”เขาตะโกนแต่ดูเหมือนสเนปจะไม่ได้สนใจ
เขาเดินไปดูกอยล์ที่ตอนนี้หน้าเต็มไปด้วยฝีอันเยิ้มฉ่ำไปด้วยหนองข้นๆ
“ไปห้องพยาบาลซะ กอยล์” เขาพูดเรียบๆก่อนจะเดินไปที่โต๊ะของเขาอย่างไม่ได้สนใจ
“เฮอร์ไมโอนี่ก็โดนคาถาเหมือนกันนะครับ”รอนร้องออกมาพลางชี้มือไปยังเด็กสาวที่ตอนนี้ฟันของเธอได้งอกยาวล
งไปจนเกือบถึงหน้าอกของเธอแล้ว สเนปมองด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดเรียบๆ
“ฉันไม่เห็นว่ามีอะไรแปลกไปนี่”
เฮอร์ไมโอนี่ส่งเสียงร้องคราง น้ำตาคลอเบ้าในขณะที่หมุนตัวและวิ่งออกไปจากหอ้ง
มัลฟอยขยับตัวน้อยๆแต่เสียงทุ้มๆของเฮเดสดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ให้ผมตามเธอไปดีกว่านะครับ ท่านศาสตราจารย์ ป้องกันเธอไปพูดกับอาจารย์ท่านอื่นด้วย”
เขาเดินตามเฮอร์ไมโอนี่ออกไปในทันที่ที่พูดจบ
มัลฟอยแทบจะวิ่งตามออกไปในเดี๋ยวนั้นแต่เสียงกระแอมเบาๆดังมาจากสเนปเป็นเชิงเตือน
รอนรู้สึกโกรธจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขาตะเบ็งเสียงแข่งกับแฮร์รี่เพื่อประนามด่าว่าสเนป
โดยเปรียบเทียบอาจารย์ปรุงยาของพวกเขาเป็นตัวอะไรหลายๆอย่างเท่าที่ทั้งคู่จะนึกได้ 
“หักบ้านกริฟฟินดอร์ห้าสิบคะแนน และกักบริเวณพอตเตอร์กับวีสลีย์ เอาล่ะเริ่มเรียนกันได้แล้ว”
สเนปสะบัดผ้าคลุมเดินกลับไปที่โต๊ะของเขาอย่างไม่สนใจก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วๆ
แฮร์รี่ตัวสั่นด้วยความโกรธไม่ต่างไปจากรอน มัลฟอยยิ้มเยาะใส่เขาพลางกกดเข็มกลัด พอตเตอร์ห่วย
ให้ฉายแสงสว่างวาบเพื่อให้เขาเห็น ในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งฟังสเนปพูดถึงเรื่องการปรุงยาแก้พิษ คอลิน
ครีฟลีย์เปิดประตูห้องเรียนแล้วก้าวเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือล้นเขายิ้มกว้างให้กับสเนปที่มีสีหน้าบูดบึ
้งจนแฮร์รี่รู้สึกกลัวว่าเขาอาจจะสาบคำสาบแรงๆใส่คอลินเพราะโดนขัดจังหวะการสอน
“มีอะไร” สเนปถามเสียงห้วนๆ คอลินเดินไปที่แฮร์รี่
“ผมมารับตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ครับ พวกเราจะมีการถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์กันข้างบนฮะ”
“แต่พอตเตอร์ต้องเรียนให้หมดชั่วโมงสียก่อน” สเนปตอบเสียงเย็น คอลินหน้าเข้มเล็กน้อย
“ได้โปรดฮะ อาจารย์ คือคุณแบ็กแมนต้องการตัวเขาฮะ ตัวแทนทุกคนด้วย”
“ก็ได้ พอตเตอร์ เธอเก็บข้างของของเธอและรีบออกไปจากห้องเรียนเดี๋ยวนี้เลย” สเนปพูดขึ้นอย่างเหลืออด
แฮร์รี่เหวี่ยงกระเป๋าขึ้นไหล่ เขาชำเลืองตามองดูพวกสลิธีรินที่กดเข็มกลัด พอตเตอร์ห่วย
อีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
นอกจากความหงุดหงิดที่แอร์รี่ได้รับจากริต้า สกีตเตอร์ นักข่าวหนังสือพิมพ์เดลี่พอเฟ็ตแล้ว
เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อยในขณะที่เข้าร่วมพิธีการตรวจไม้กายสิทธิ์
และเมื่อรอนเดินเข้ามาหาเขาหลังจากที่กลับหอนอน
กริฟฟินดอร์แล้ว
แฮร์รี่รู้สึกดีขึ้นเมื่อเพื่อนของเขาบอกว่ามีจดหมายมาแม้ว่าจะเป็นการพูดที่ออกจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไห
ร่
แต่ความหงุดหงิดรำคาญใจเหล่านั้นก็ถูกเป่าจนมลายหายไปหมดเมื่อแฮรี่เปิดจดหมายออกและพบว่ามันมาจากซีเรียส
.....
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากที่ตลอดเวลาสองสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่เธอโดนคาถาจากมัลฟอย
ริต้า สกีตเตอร์ได้ตีพิมพ์บทความสัมภาษณ์แฮร์รี่
มันได้กล่าวพาดพิงถึงตัวเธอด้วยโดยริต้าได้อ้างว่าเธอเป็นคนรักที่แสนสวยของแฮร์รี่
นั่นเป็นเหตุให้บ้านสลิธีรินหาเรื่องเยาะเย้ยเธอเกือบทุกครั้งที่พบหน้ากัน 
“หน้าตาสวยจนชวนตะลึง เธอเนี่ยนะ” แพนซี่ พาร์กินสันตะโกนข้ามห้องโถง “สวยเหมือนอะไรดีล่ะ
ตัวเฟเร็ตหรือชิปมังค์”
“อย่างน้อยก็ไม่งอเหมือนเธอน่ะ แพนซี่” เฮอร์ไมโอนี่โต้กลับ “เวลาส่องกระจกคงจะลำบากมากเลยใช่ไหม
เพราะต้องคอยก้มๆเงยๆหน้าอยู่ตลอดเวลาน่ะ”
“นั่นยังดีกว่ายายฟันโตแบบเธอก็แล้วกัน เวลากินอาหารคงลำบากแย่เลยสินะ” แพนซี่แผดเสียงกลับ
เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มน้อยๆก่อนจะเชิดหน้าขึ้นและวางท่าเดินที่ดูผึ่งผายจนแฮร์รี่นึกชมในความกล้าของเธออยู่ใน
ใจ
มัลฟอยที่กำลังนั่งเท้าคางฟังเด็กสาวทั้งสองโต้คารมอยู่เงียบๆทำตาโตอย่างประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเฮอร์ไมโ
อนี่เดินผ่านเขาไป
“ยายผมฟู ไปทำอะไรกับฟันมาน่ะ” เขาพูดกับตัวเองเบาๆแล้วยิ้มน้อยๆ “ดูน่ารักกว่าเก่าอีกนะนั่น”
แล้วจู่ๆรอยยิ้มก็จางหายไปจากใบหน้าของมัลฟอยเมื่อเฮเดสเดินเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่พร้อมกับคำชม
“คุณดูแปลกตาไปมากนะ เฮอร์ไมโอนี่”
“แปลกตายังไง” เด็กสาวถาม เฮเดสทำท่าพิจารณามองดูเธอเล็กน้อยก่อนตอบ
“ฟันหน้าของคุณไง” เขามองดูเธอชนิดใบหน้าเกือบจะชิด “ผมว่ามันแปลกๆไปนะ”
“มันเล็กลง ใช่ไหม” เฮอร์ไมโอนี่พูดยิ้มๆ ฟันสีขาวเรียงเป็นระเบียบราวไข่มุก “เป็นผลจากคาถาลดขนาดของ
มาดามพอมฟรีย์น่ะ”
“เป็นคาถาที่วิเศษมาก” เฮเดสพูดก่อนจะดึงหนังสือในมือของเฮอร์ไมโอนี่มาถือไว้ 
“ผมว่าเราไปที่ห้องสมุดกันดีกว่านะครับ วันนี้ผมไม่มีวิชาตอนบ่ายเหมือนกับคุณ”
เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าประหลาดใจก่อนจะเดินตามเขาไปแต่โดยดี
“คุณรู้ได้ยังไงกันว่าฉันไม่มีเรียนตอนบ่าย”
“ผมสังเกตุเรื่องของคุณทุกๆเรื่องน่ะครับ” เขาตอบ นั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้างก่อนจะเดินตามเฮเดสไป 
มัลฟอยมองตามคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น เขาฟาดมือไปบนกองหนังสือของเขาตรงหน้าจนมันตกกระจายไปทั่ว
“โกรธใครก็ไประบายกับคนนั้นสิ มาระบายกับหนังสือทำไมกัน” เสียงเย็นๆของออโรร่าดังขึ้น
เธอยืนมองดูหนังสือที่ตกกระจายเกลื่อนด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ มัลฟอยขมวดคิ้ว
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน” เขาตะคอก ออโรร่าส่ายหน้า
“นั่นมันก็ใช่ แต่ฉันไม่ชอบคนที่ทำลายหนังสือ” เธอพูดเรื่อยๆแต่สีหน้ายังคงมีแววขุ่นเคือง
มัลฟอยระบายลมหายใจแรงๆก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องโถงรวม 
“เดี๋ยวก่อนสิ มัลฟอย นายต้องกลับมาเก็บหนังสือพวกนี้ก่อน” ออโรร่าร้องเรียกแล้วเดินตามเขามาอย่างเร็ว
มัลฟอยนิ่วหน้าอย่างรำคาญใจก่อนจะตอบ
“นั่นมันหนังสือของฉัน และฉันจะทำยังไงกับมันก็ได้”
เขาหันกลับมาตะคอกใส่ออโรร่าแต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจ
“หนังสือของนายหรือของใครฉันไม่สน แต่นายน่าจะให้ความเคารพกับมันบ้าง”
ออโรร่าพูดต่อเธอเอื้อมมือของเธอออกไปแล้วดึงแขนเสื้อของมัลฟอยเบาๆเพื่อให้เขาหยุด
แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้เด็กชายสิ้นสุดความอดกลั้น เขาหันกลับมาอย่างเร็วแล้วสะบัดตัวแรงๆ
“กล้าดียังไงถึงมาโดนตัวของฉัน ยายคนต่างถิ่น”
เขาตวาดใส่ออโรร่าที่กระเด็นไปกระแทกกับผนังระเบียงอย่างแรง
เธอร้องออกมาเบาๆในขณะที่ยกมือข้างขวาของเธอขึ้นมากุมมืออีกข้างไว้ สีหน้ามีแววเจ็บปวด
มัลฟอยมองดุอย่างนึกฉงนแต่ก็เข้าใจในไม่ช้า
แรงที่เขาปัดเธอออกเมื่อครู่ทำให้ร่างของเด็กสาวกระเด็นออกไปมือข้างหนึ่งฟาดไปที่รูปปั้นอัศวินเต็มแรง
และดูท่าว่ามันจะบาดข้อมมือของเธอจนเป็นรอยแผลลึก
“สมน้ำหน้า อยากแส่ดีนัก” มัลฟอยพูดแต่สีหน้ากลับซีดลงเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
เขาเอื้อมมือออกไปแล้วดึงมือของเธอเพื่อจะดูบาดแผล
“อย่า!” ออโรร่าร้องออกมาอย่างตกใจก่อนจะกระชากมือของเธอกลับโดยเร็ว
มัลฟอยส่งเสียงในลำคอเบาๆอย่างขัดใจ
“หวงตัวอะไรกันนัก ฉันแค่จะดูมือของเธอเท่านั้น ส่งมา!” เขาออกคำสั่งแต่ดูเมือนออโรร่าจะไม่ยอม
เธอพยายามซ่อนมือของเธอไว้ในเสื้อคลุม มัลฟอยมองดูการกระทำของเธออย่างขัดใจ
เขาเดินเข้าไปจนชิดตัวของเด็กสาวแล้วกระชากมือของเธอออกมาดูทันที
เสียงร้องอย่างตกใจดังมาจากปากของออโรร่าพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอ
มัลฟอยดูบาดแผลบนมือของเธอด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
เขาค่อยๆปล่อยมือของออโรร่าโดยไม่รู้ตัวก่อนจะถอยหลังออกห่างจากเธอช้าๆ
ดวงตาสีซีดจ้องหน้าเด็กสาวนิ่งริมฝีปากที่สั่นระริกค่อยๆถามคำถามที่แหบพร่าออกมา
“เธอ.....เป็นอะไรกันแน่....” คำถามขาดหายไปในลำคอที่แห้งผาก
ออโรร่าสะอื้นเบาๆขณะที่มองดูท่าทางของมัลฟอย เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลหยดลงบนพื้นระเบียง
มัลฟอยมองตามด้วยสีหน้าที่ตื่นกลัว
“ทะ...ทำไมเลือดของเธอถึงมีสีแบบนั้น ออโรร่า”
เขาถามเสียงเบาดวงตาไล่มองตามหยดเลือดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าที่ซีดขาวของออโรร่า
“ทำไมเลือดของเธอถึงมีสีเขียวแบบนั้น!!!”




Chapter 7: ความเป็นมาของไทม์คีปเปอร์

ออโรร่าไม่ตอบคำถาม เธอยกมืออีกข้างขึ้นมากุมบาดแผลของเธอเบาๆ ราวกับมีละอองไอบางเบา

ระเหยออกมาจากมือข้างนั้น เมื่อเธอยกมือของเธอออก บาดแผลที่ปรากฏเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น
ไร้ร่องรอย หญิงสาวมองดูมัลฟอยที่ยังคงยืนตะลึงอ้าปากค้างก่อนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดและพูดออก
มาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ

“ฉัน…..”เธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก คิ้วเรียวสีดำขมวดยุ่งอยู่บนใบหน้าดุจกำลังไล่เรียงคำ
อธิบายก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำพูดต่อ

“ฉันไม่ได้มีสายเลือดที่เป็นพ่อมดหรือแม่มดที่สืบทอดต่อกันมาเหมือนกับพวกเธอ มัลฟอย” เธอนิ่ง
เงียบจนมัลฟอยต้องถาม

“แล้วเธอเป็นอะไร พวกเลือดผสมมักเกิ้ลอย่างนั้นหรือ” เขาพูดเสียงห้วน ออโรร่าส่ายหน้า

“ไม่ใช่ ฉันเป็นมากกว่านั้น ฉันและพี่ชายของฉันเฮเดสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
 จากพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ ด้วยเลือดของฝ่ายมืด เลือดแท้ๆของ ซัลธาซาร์ สลิธีริน”

“ว่ายังไงนะ” มัลฟอยร้องถามเสียงหลงพลางถอยหลังออกห่างไปสองสามก้าว ไม่ใช่เพราะความกลัวหาก
แต่เป็นความตกใจมากกว่า

“เธอ….เป็นเลือดแท้ของ สลิธีริน อย่างนั้นหรือ มันเป็นไปได้ยังไงกัน” เขาถามเสียงตะกุกตะกัก ออโรร่ายิ้มน้อยๆ

“เธอรู้จักโฮมุนครุสหรือเปล่า” หญิงสาวยอ้นถาม มัลฟอยนิ่ง 

“การสร้างสิ่งมีชีวิตโดยกรรมวิธีของศาสตร์ทางฝ่ายมืด โดยการผสมเลือดกับน้ำเชื้อของผู้สร้างในขวดแก้ว
บวกกับการร่ายเวทมนต์คาถาสร้างวิญญาณกำกับในช่วงเวลาที่เหมาะสม” มัลฟอยตอบทั้งที่สายตายังคง
จับจ้องอยู่บนใบหน้าของออโรxxxิ่ง เธอพยักหน้า

“ความรู้ดีมาก สมแล้วที่ได้เคยร่ำเรียนมากับท่านเมอร์ลิน” หญิงสาวกล่าวชมมัลฟอยอ้าปากค้าง

“เธอรู้ได้ยังไงกัน”

“เธอไม่รู้ความหมายของนามสกุลของฉันอย่างนั้นหรือ” ออโรร่าย้อนถาม คราวนี้มัลฟอยนิ่งเธอจึงพูดต่อ

“เราสองคนพี่น้องต่างพากันเวียนว่ายอยู่ในโลกของมนุษย์ พ่อมดและโลกของวิญญาณ อันที่จริงแล้วครั้ง
แรกที่ซัลธาซ่าร์ สลิธีรินต้องการสร้างคือพี่ของฉันเท่านั้น เขาต้องการให้เลือดของเขา เลือดแท้ๆของพ่อมด
เข้ามาปกครองที่นี่” ออโรร่ามองไปรอบๆตัว

“แต่เพราะความผิดพลาดในบางอย่างระหว่างการบ่มฟักทำให้ก้อนเลือดที่กำลังเจริญเติบโตแตกออกเป็นสองส่วน
 ทำให้เขาโกรธแค้นและผิดหวังมากถึงกับโยนพวกเราทั้งที่ยังเป็นตัวอ่อนทิ้งลงไปในทะเลสาบ
 โชคดีที่มีคนมาพบและนำพวกเราไปเลี้ยงดูไว้” ออโรxxxิ่งเงียบอยู่อึดใจก่อนจะค่อยๆเล่าให้มัลฟอยฟังต่อ

“นางได้มอบของสองสิ่งให้กับพวกเราคนละชิ้นเพื่อรอการเวลาที่จะนำมาคืนให้กับเจ้าของ
 มันเป็นของที่ไม่สำคัญเท่าไหร่นักแต่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เธอคงไม่รู้ตัวหรอกว่า
 ทั้งเธอและเฮอร์ไมโอนี่ต่างเป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการกลับมาของเจ้าแห่งศาสตร์มืด นอกเหนือจากแฮร์รี่”

“ฉันกับเกรนเจอร์น่ะเหรอ เป็นตัวแปร” มัลฟอยย้อนถาม ออโรร่าพยักหน้า

“ฟังดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม” ออโรร่ายิ้ม “แต่มันก็กำลังจะเกิดขึ้น เฮเดส พี่ชายของฉันกำลังดำ
เนินแผนการของเขาไปอย่างเงียบๆและรอคอยอยู่” ออโรร่าล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมของตัวเองและดึงวัตถุเล็กๆ
ชิ้นหนึ่งออกมา มัลฟอยเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง

“นั่นมัน ของที่ฉันเคยให้กับเกรนเจอร์นี่นา” เขารีบรับมันคืนมาจากมือของออโรร่า “เธอได้มันมายังไงกัน”

“ลืมไปแล้วหรือว่าเฮอร์ไมโอนี่ทำมันหายไปตอนที่กำลังเดินทางผ่านเวลากลับมาที่ฮอกวอตส์นี่ มีคนคนหนึ่ง
ได้เก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดีจนถึงเวลาที่เหมาะสม นางแห่งทะเลสาบจึงได้ขอมาจากเขาและเก็บมันเอา
ไว้จนถึงบัดนี้”

มัลฟอยขมวดคิ้วนิ่ง เขากำลังพยายามไล่เรียงเรื่องราวที่เหลือเชื่ออันได้ฟังมาจากออโรร่าด้วยความสับสน 
มือบีบที่ติดผมสีเขียวเหลือบเงินแวววาวไว้แน่นก่อนจะพึมพำ

“นางแห่งทะเลสาบ อะวาลอน เมอร์ลิน” เด็กชายเม้มปากแน่น “แกรนดิโอส”

“เขาคนนั้นเป็นผู้เก็บรักษาของสิ่งนี้ไว้” ออโรร่าพูดราวกับตอบคำถามของมัลฟอย “ไม่เพียงที่ติดผมนี่เท่านั้นที่
เขาได้เก็บรักษาไว้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้มอบให้กับเขาตอนจากมา ของสิ่งนั้นตอนนี้อยู่ในมือ
ของพี่ชายฉัน”

“มันคืออะไรกัน”

“น้ำยาคืนความทรงจำ ที่ท่านเมอร์ลินได้ปรุงให้กับเฮอร์ไมโอนี่”

อีกครั้งที่มัลฟอยต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากออโรร่าเขาก้มลงมองดูที่ติดผมในมือของเขาก่อนจะค่อยๆ
เงยหน้าขึ้นมองดูหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

“หรือว่าเกรนเจอร์ไม่ได้กินมันเข้าไปในตอนนั้น” เขาครางเบาๆก่อนจะทำท่าตกใจ “ถ้าอย่างนั้นตลอดเวลามานี่
 เกรนเจอร์ก็จำทุกอย่างที่ผ่านมาได้นะสิ”

“เธอจดจำทุกสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาให้เธอรู้เท่านั้น มัลฟอย” ออโรร่าตอบ

“แล้วทำไม”

“เฮอร์ไมโอนี่ลำบากใจมาก เธอไม่ต้องการให้คนที่นี่รู้เรื่องระหว่างเธอทั้งสองคน ในเวลาเดียวกันเฮอร์ไม
โอนี่เองก็ไม่อยากที่จะสูญเสียความรู้สึกที่มีอยู่ในเวลานี้”

“เฮอะ” มัลฟอยพ่นลมหายใจออกมาแรงๆอย่างโมโห “ไม่อยากสูญเสียความรุ้สึกที่มีอยู่ในเวลานี้เรอะ
 แล้วที่ไปออดอ้อนออเซาะอยู่กับเจ้าพี่ชายตัวดีของเธอนั่นล่ะ มันหมายความว่าอะไร”

“หมายความว่าพี่ชายของฉันได้ใช้น้ำยาขวดนั้นกับเฮอร์ไมโอนี่น่ะสิ” ออโรร่าตอบ “เขาต้องการให้เธอลืม
นายมัลฟอย”

“เพื่ออะไรกัน”

“เพื่อที่นายจะได้เป็นตัวขัดขวางแฮร์รี่ไง หรือจะปฏิเสธว่าตอนนี้เธอไม่ได้ต้องการทำทุกอย่างเพื่อทำลายแฮร์รี่ 
พอตเตอร์” ออโรร่ามองหน้ามัลฟอยอย่างรู้ทัน เขานิ่ง

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน” เขาพูดเบาๆ

“เกี่ยวสิ ถ้าเธอทำให้บรรดาพ่อมดแม่มดหมดความเชื่อถือในตัวของแฮร์รี่ไปได้ ทุกคนก็คงจะไม่ให้ความสนใจ
ถ้าเกิดเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางกระทรวงก็จะไม่สนใจที่จะออกติดตามตัวเขา”

“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกับพี่ชายของเธอ”

“เจ้าแห่งศาสตร์มืดต้องการเลือดของแฮร์รี่สำหรับการกลับคืนมา หากเขายังคงอยู่ในความสนใจของบรรดา
พ่อมดแม่มดอยู่แบบนี้ สมุนของโวลเดอร์มอร์คงทำอะไรลำบาก”

มัลฟอยยืนนิ่งอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเก็บที่ติดผมของเฮอร์ไมโอนี่กลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ
คลุมของเขาก่อนจะพูดเสียงเรียบ

“จะเกิดเรื่องอะไรกับเจ้านั่นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน” เขามองหน้าออโรร่า “รวมทั้งยายเลือดสีโคลนนั่นด้วย”

“นี่นายไม่อยากได้เฮอร์ไมโอนี่กลับคืนมาอย่างนั้นหรือ มัลฟอย”

“เพื่ออะไร” มัลฟอยตอบเสียงเรียบ “ในเมื่อเจ้าตัวเองยังมามัววิตกกังวลเรื่องราวระหว่างฉันกับเจ้าหัวแผลเป็น
นั่นในขณะที่ฉันไม่เคยสนใจเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด”

“แต่เธอเองก็ไม่กล้าประกาศให้ทุกคนรู้ว่า เธอรักเฮอร์ไมโอนี่ไม่ใช่หรือ” ออโรร่าย้อน มัลฟอยสะอึกนิ่ง

“ฉันรักเกรนเจอร์” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ฉันยอมแม้กระทั่งแลกชีวิตเพื่อยายนั่นมาแล้ว
 กับแค่เรื่องเล็กๆแค่นี้ทำไมต้องไปสนใจด้วย ถ้าจะต้องแสดงตัวว่ารักด้วยการป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ 
แล้วยายนั่นพอใจฉันก็ยินดีจะทำ แต่คนอย่างเกรนเจอร์ไม่มีวันที่จะให้ฉันทำแบบนั้นแน่ๆ ฉันรู้ดี 
เพราะฉะนั้น อย่ามาพูดนั่นนี่ให้เสียเวลาเลยดีกว่า” มัลฟอยหมุนตัวทำท่าจะเดินจากออกไป ออโรร่ารีบเรียกเขาเอาไว้

“เดี๋ยว มัลฟอย” เธอนิ่งเงียบเมื่อเขาหันกลับมามองดู “เอ้อ….คือ”

“ถ้ากลัวว่าฉันจะไปเที่ยวพูดเรื่องของเธอล่ะก็ สบายใจได้ คงไม่มีใครเชื่อเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้หรอก”
 มัลฟอยตอบกลับมาราวกับรู้

“สัญญานะ”

“ฉันไม่ชอบการสัญญา แต่ถ้าทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้บ้างก็….ได้” มัลฟอยตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆตามนิสัย

“แล้วเรื่องของเฮอร์ไมโอนี่ล่ะ” ออโรร่ารีบถามต่อ มัลฟอยชะงักเล็กน้อย

“ถ้าเขามีความรู้สึก ‘รัก’ ฉันจริงๆล่ะก็ สักวันหนึ่งเขาคงจะจำได้เองน่ะแหละ” 

พูดแค่นั้น มัลฟอยก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจที่จะหันกลับมามองดูออโรร่าอีกเลย
 หญิงสาวถอนหายใจหนักๆก่อนจะหันกลับไปทางด้านหลัง เฮเดสกำลังยืนยิ้มอยู่ในเงามืดก่อนจะพูดเสียงเย็น

“คิดดีแล้วหรือที่บอกความจริงไปกับคนแบบนั้น”

“ฉันคิดว่าเขาเป็นคนที่ดีกว่าพี่มาก” ออโรร่าตอบ เฮเดสหัวเราะเบาๆในลำคอ

“เธอคิดว่าเจ้านั่นจะเปลี่ยนใจหันกลับมาร่วมมือกับเธออย่างนั้นหรือ ออโรxxx้องรัก”

“เขาเป็นคนที่ท่านเมอร์ลินและนางแห่งทะเลสาบเลือก พี่ชายที่รัก มัลฟอยจะต้องขัดขวางแผนการของพี่ได้แน่ๆ”

“ฉันยินดี และจะรอ น้องสาวที่รัก” เฮเดสพูดก่อนจะเลื่อนตัวหายไปอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
 ออโรร่าเม้มปากแน่นก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องอาหารรวม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น



Chapter 8: กุญแจแห่งความจำ

แม้จะรู้สึกหงุดหงิดใจอยุ่เกือบตลอดเวลาที่ได้เห็นเฮอร์ไมโอนี่และแฮร์รี่มักจะเดินเคียงคู่อยู่ด้วยกันเสมอ
เวลาที่เฮเดสไม่ได้มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แต่มัลฟอยก็รู้สึกโล่งใจไปได้บ้างเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ถึงสาเหตุที่

แท้จริงว่าทำไมเฮอร์ไมโอนี่ถึงได้หันไปให้ความสนใจกับเฮเดสอย่างออกนอกหน้าในเวลาที่สั้นและรวดเร็ว
 แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญใจในเวลานี้มากที่สุดก็คือ คำถามของวิคเตอร์ ครัม ที่ในระยะหลังๆนี่ดูเหมือน

เขาจะเจาะจงถามแต่เรื่องของเฮอร์ไมโอนี่ จนครั้งหนึ่งเขาถึงกัลลืมตัวและตวาดเพื่อนต่างโรงเรียนออก
ไปอย่างหมดความ

อดทน ดูเหมือนครัมจะมีสีหน้าแปลกใจมากกว่าโกรธ เขาเพียงแค่เงียบลงไปได้สองสามวันเท่านั้น 
แต่หลังจากนั้นคำถามเดิมๆเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ก็จะพรั่งพรูออกมาจากปากของเขาอีกจนมัลฟอยรู้สึกระอาใจมาก 

“ถ้านายอยากรู้จักยายเลือดสีโคลนนั่นมาก ฉันขอแนะนำให้นายไปนั่งจมอยู่ในห้องสมุดดีกว่า
 ครัม เพราะที่นั่นเป็นที่ที่ยายเกรนเจอร์ชอบไปที่สุด” เขาบอกกับวิคเตอร์ ครัมในวันหนึ่ง ซึ่งหลังจากนั้นเด็กหนุ่มจาก

เดิร์มแสตรงค์ก็ไม่เคยมาสอบถามอะไรจากมัลฟอยต่ออีกเลย 

“เสาร์นี้เราไปฮอกมีตด้วยกันไหม เดรโก” เสียงแหลมๆของแพนซี่ พาร์กินสันดังขึ้น มัลฟอยนิ่วหน้า

“ถ้าเธออยากไปมากนักก็ชวนเจ้าสองคนนั่นไปด้วยสิ” เขาหยักหน้าไปทางแครบและกอยล์ที่กำลังแย่งการ์ด
กบช็อคโกแลตกันอยู่ แพนซี่ทำหน้าย่น

“ไม่เอาหรอก ไปกับเจ้าสองคนนั่นทีไรถ้าไม่ไปจมอยู่ในร้านฮันนี่ดุ๊ก ก็จะวนเวียนอยู่ที่ร้านซองโกเท่านั้น 
แถมเวลาอยากได้อะไรก็ชอบหยิบออกมาเฉยๆไม่ยอมจ่ายเดือดร้อนฉันทุกทีเลย” แพนซี่ทำท่าทางรังเกียจ
ลูกสมุนที่แสนโง่ของมัลฟอย เขามองดูเด็กทั้งสองแต่ไม่ได้ตอบอะไรเพื่อนหญิงของเขา 

“นะ เดรโก เราไปด้วยกันสองคนนะ” แพนซี่ยังคงตื๊อไม่เลิกจนมัลฟอยนึกรำคาญ เขาลุกขึ้นยืนอย่างเร็วก่อน
จะเดินออกจากห้องนั่งเล่นของสลิธีรินโดยไม่ยอมตอบอะไรแพนซี่สักคำ ทิ้งให้เด็กสาวยืนกระฟัดกระเฟียด
อยู่คนเดียวอย่างขัดใจ

มัลฟอยเดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามทางเดินบนระเบียงตึก เขามองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมพัดมาเอื่อยๆ
ความหนาวเย็นยะเยือกทำให้เขาสั่นเล็กน้อย เสียงพูดคุยหัวเราะแว่วมากับสายลมที่พัดมาจากทะเลสาบ 
มัลฟอยเลื่อนสายตามองตามลงไป เขาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวและเดินลงไปตามบันไดวนออก
ไปที่ห้องโถงกลางและออกจากตัวปราสาทไปอย่างรวดเร็วและตรงรี่ไปยังริมทะเลสาบ เสียงเรียบเย็น
เรียกเขาเบาๆ เด็กหนุ่มชะงักและหันไปมองดูด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจทันที

“มีอะไร” เขาถามห้วนๆ ออโรร่ายิ้มให้เขาก่อนจะมองเลยออกไปทางด้านทะเลสาบ

“พี่เขาไม่ได้ทำอะไรเฮอร์ไมโอนี่หรอก ฉันเฝ้ามองดูอยู่นานแล้ว” เธอบอกกับมัลฟอยราวกับรู้ใจ อีกฝ่ายหน้าเข้ม

“ฉันแค่อยากออกมารับลมเย็นเท่านั้น” เขาแก้ตัว ออโรร่าเอียงคอมองดูอย่างล้อเลียน

“แค่อยากออกมารับลมเย็นๆก็ไม่น่าจะต้องรีบเร่งเดินถึงขนาดนั้นนี่ ใช่ไหม” เธอสัพยอกเบาๆ
 มัลฟอยอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในปราสาท แต่ออโรร่ากลับเรียกเขาเอาไว้อีกครั้ง

“ถ้าไม่ได้คิดจะมาคอยจับตาดูพี่ชายของฉันกับเฮอร์ไมโอนี่ล่ะก็ มานั่งคุยกับฉันสักครู่จะได้ไหม” 
เธอถามเสียงเบา มัลฟอยเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ทำไมฉันจะต้องไปนั่งคุยกับคนประหลาดแบบเธอด้วย” เขาจ้องหน้าออโรร่าที่เจื่อนไปเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนใจ

“ก็ได้” เขาพูดสั้นๆแล้วเดินเข้าไปหาออโรร่าแล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าโดยไม่สนใจแผ่นปูรองนั่งที่เด็ก
สาวขยับเลื่อนตัวให้ 

“เอ้ามีอะไรก็ว่ามา” เขาพูดเสียงกระด้างจนอีกฝ่ายนึกน้อยใจ

“ฉันมันน่ารังเกียจมากเลยหรือ” เธอถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเครือ มัลฟอยเม้มปากนิ่งก่อนจะตอบ

“ก็ไม่เชิง” เขาทำท่าคิดก่อนจะพูดต่อ “แค่รู้สึกแปลกๆเท่านั้น” เขามองหน้าออโรร่าก่อนจะถอนหายใจหนักๆ

“เธอมีอะไรจะบอกกับฉันอีก ไทม์คีปเปอร์”

“เรียกฉันว่าออโรร่าก็ได้” เด็กสาวรีบพูด มัลฟอยส่ายหน้าด้วยท่าทางที่ไว้ตัว

“ฉันไม่ชอบเรียกชื่อใคร” เขาตอบสายตาเลื่อนออกไปมองทางทิศที่เฮอร์ไมโอนี่นั่งอยู่
 เงาผมสีน้ำตาลฟูฟ่องไหววูบอยู่ในพุ่มไม้ เสียงหัวเราะของเธอและเฮเดสดังลอดออกมา 
มันทำให้เขารู้สึกอยากจะเดินเข้าไปหาคนทั้งสองและจับฝ่ายชายโยนลงทะเลสาบและร่ายคาถาน้ำแข็งแช่
เขาไปเสียเลย ออโรร่ามองดูกิริยาของมัลฟอยด้วยท่าทางขำเล็กน้อย

“ความหึงหวง” เธอพูดเบาๆ มัลฟอยหันขวับกลับมาทันที

“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ” เขาถาม แต่เด็กสาวกลับส่ายหน้า

“เปล่า” เธออมยิ้มน้อยๆ

“เอ้า มีอะไรก็รีบๆว่ามา ฉันอยากจะกลับไปที่หอนอนแล้ว” มัลฟอยพูดขึ้นอย่างหมดความอดทน
 คราวนี้เด็กสาวกลับทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที 

“ฉันอยากจะเตือนเธอ” เด็กสาวพูดช้าๆ “ฉันรู้ว่าเธอรักเฮอร์ไมโอนี่มาก แต่ถ้าขืนเธอยังทำไว้ตัวไม่สนใจ
หรือไม่ใส่ใจอยู่ต่อไปอีกแบบนี้ ผลของน้ำยาลบความทรงจำมันจะกลายเป็นผลถาวร 
ไม่มีทางแก้ไขให้กลับคืนได้อีกเลย”

“ช่างปะไร” มัลฟอยตอบด้วยท่าทางไม่สนใจ แต่สีหน้ากลับมีแวววิตกกังวลฉายออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“อย่าทำตัวเป็นคนปากกับใจไม่ตรงกันเลย มัลฟอย นี่มันไม่ใช่เวลาที่เธอจะมานั่งวางท่าอยู่แบบนี้นะ” 
ออโรร่าพูดด้วยท่าทางฉุนโกรธ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมัลฟอยแน่วนิ่งจนเขารู้สึกหวาดหวั่น

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงก็ในเมื่อในตอนนี้ตัวเกรนเจอร์เองก็เกลียดฉันจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า 
อย่าว่าแต่เข้ามาใกล้ๆเลย” มัลฟอยพูดด้วยท่าทางที่ลดทิฐิลง ดวงตาสีซีดมองเหม่อออกไปที่ทะเลสาบ 
สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหมองหม่น

“แต่ในจิตไต้สำนึกของเธอ ยังคงมี เดรโก มัลฟอยอยู่เสมอไม่ใช่หรือ จำตอนที่เธอเข้าไปช่วยเหลือเฮอร์ไมโอนี่
เมื่อสองสามวันก่อนไม่ได้รึยังไง” ออโรร่าพูดเตือนมัลฟอยด้วยท่าทางหวังดี เด็กชายหลับตาลง เขาจำได้ วันที่

เฮอร์ไมโอนี่ถูกสกรู๊ตปะทุไฟวิ่งลากไปจนหมดสติ เธอได้เพ้อเรียกชื่อเขาออกมาอย่างลืมตัว 
ตลอดจนกิริยาท่าทางที่แสนจะอ่อนโยนยามที่แขนทั้งสองข้างโอบขึ้นกอดเขา

“ฉันจำได้” มัลฟอยพูดเบาๆ “แต่ว่านั่น…..”

“นั่นหมายความว่าฤทธิ์ของน้ำยานั่นยังไม่ได้ผลเต็มที่ คงเป็นเพราะพี่ชายของฉันใช้กับเฮอรืไมโอนี่ในรูป
ของไอระเหยมากกว่าการดื่มมันเข้าไปตรงๆ” ออโรร่าอธิบาย “ความทรงจำยังคงอยู่ เพียงแต่ถูกบดบังเอาไว้เท่านั้น”

“แล้วฉันจะต้องทำยังไง” มัลฟอยถามขึ้นในที่สุด ออโรร่ายิ้ม

“เธอต้องใช้ความรัก ความเสียสละ และความจริงใจ”

“ของแบบนั้นมันจะช่วยอะไรได้” มัลฟอยนึกไม่พอใจในคำตอบที่ได้ฟังจากออโรร่า

“แล้วเธอทำได้ไหมล่ะ” ออโรร่ายอ้นถาม มัลฟอยอึ้งก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ

“เพื่อเกรนเจอร์แล้ว ยิ่งกว่านี้ฉันก็ทำได้” เขามองหน้าออโรร่า “แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง”

“ของสำคัญที่เธอเคยให้ไว้กับเฮอร์ไมโอนี่ มอบมันให้กับเธออีกครั้ง” ออโรร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น 
มัลฟอยทำหน้าสงสัย

“ของสำคัญที่ฉันเคยให้กับเกรนเจอร์อย่างนั้นหรือ” เขาทวนคำ ออโรร่าลุกขึ้นและเก็บผ้าปูรองนั่ง
 มัลฟอยมองดูการกระทำของเด็กสาวอย่างงงๆ

“อะไร แค่นี้เองเรอะ” เขาถาม ออโรร่าหันมายิ้มให้กับเขา

“แค่นี้น่ะ คิดให้ออกและทำให้ได้ก็แล้วกัน มัลฟอย” เธอเดินกลับเข้าปราสาทไปโดยไม่พูดอะไรต่อสักคำทิ้ง
ให้มัลฟอยนั่งนิ่งงันอยู่คนเดียว เขาหันไปมองดูด้านที่เฮอร์ไมโอนี่และเฮเดสนั่งอยู่ ทั้งสองคนกำลังเดินกลับ
ไปที่ปราสาทด้วยกันโดยไม่ทันได้สังเกตุเห็นมัลฟอย เขากัดฟันและลุกขึ้น

“ฉันจะต้องเอาเธอกลับคืนมาให้ได้ เกรนเจอร์ ไม่ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม”




Chapter 9: ภาพอดีต

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มัลฟอยทำได้แค่เพียงแอบมองดูเฮอร์ไมโอนี่เดินเคียงคู่อยู่กับเฮเดสหรือคุยกับแฮร์รี่
อย่างสนิทสนม เขามักจะระบายอารมณ์ฉุนเฉียวกับแครบและกอยล์ แพนซี่ พาร์กินสันนักเรียนหญิงบ้าน

สลิธีรินพยายามเอาอกเอาใจเขาด้วยวิธีการต่างๆแล้วเท่าที่เธอจะคิดได้ แพนซี่ชูหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ต
ฉบับล่าสุดขึ้นมาแล้วโบกให้เหล่าเพื่อนๆของเธอดูก่อนจะอ่านมันออกมาดังๆ มัลฟอยขมวดคิ้วนิ่งฟัง

พลางทำสีหน้าแสยะยิ้มเยาะพลางเมื่อได้ยินแพนวี่อ่านถึงบทความของริต้า สกีตเตอร์ที่กล่าวถึงแฮร์รี่ในทำ
นองบรรยายความน่าสงสาร ความเฉลียวฉลาดและที่ร้ายที่สุดคือ รายงานข่าวที่ว่า แฮร์รี่ได้พบรักกับเฮอร์ไมโอนี่
 นักเรียนหญิงบ้านกรฟฟินดอร์เช่นเดียวกัน

“หน้าตาสวยจนชวนตะลึง” แพนซี่พาร์กินสันกรีดเสียงร้องตะโกนข้ามห้องโถงทันทีที่เห็นเฮอร์ไมโอนี่
และแฮร์รี่กำลังเดินมาด้วยกัน “สวยเหมือนตัวอะไรนะ ชิบมังค์หรือกะรอกล่ะ”

เสียงหัวเราะโห่ฮาดังมาจากกลุ่มเพื่อนๆของเธอ มัลฟอยเหลืบสายตาตวัดไปมองดูเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเดิน
เชิดหน้าด้วยท่าทางไม่สนใจ เธอเดินผ่านหน้ามัลฟอยไปเฉยๆ ไม่แม้แต่จะชายหางตามองดูเขา
 มัลฟอยกัดฟันแน่นก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไปอีกด้านหนึ่ง เสียงแพนซี่ ร้องเรียกเขาอย่างแปลกใจ

“เขาเป็นอะไรของเขากันนะ” เสียงแพนซี่บ่นดังๆกับมิลลิเซ็นต์ บัลสโตรคเพื่อนหญิงร่างยักษ์ของเธอ 
อีกฝ่ายส่านหน้าด้วยท่าทางจนปัญญา

ในวันเสาร์ก่อนถึงวันแข่งขันภารกิจแรก เหล่านักเรียนปีสามขึ้นไปได้ไปเที่ยวที่หมู่บ้านฮอกส์มี้ด
 เฮอร์ไมโอนี่รีบเดินอย่างเร่งรีบกลับไปที่หอนอนเพื่อพบกับแฮร์รี่ เธอชะงักฝีเท้าทันทีที่เห็นมัลฟอยกำลัยืน
กอดอกพิงกำแพงระเบียงขวางทางเธออยู่ เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเดินเชิดหน้าผ่านเขา
ไปโดยพยายามไม่สนใจมอง

“ไม่คิดจะทักกันเลยหรือยังไง” เสียงพูดยานคางดังทันทีที่เธอเดินคล้อยหลังเขาไปเล็กน้อย เฮอร์ไมโอนี่ชะ
งักแล้วถอนหายใจหนักๆก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขา

“ทำไมฉันจะต้องทักนายด้วย มัลฟอย” เธอถามเสียงกระด้าง มัลฟอยทำหน้านิ่วก่อนจะปรับให้ราบเรียบเป็นปกติ

“อย่างน้อยๆเราก็เป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันไม่ใช่หรือ” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเย็นอย่างสะกดอารมณ์
 เฮอร์ไมโอนี่เบะปาก

“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างนายจะมีความคิดแบบนี้” เธอหัวเราะเบาๆอย่างเยาะหยัน “พวกคุณหนูเลือดบริสุทธิ์อย่างนายน่ะ”

มัลฟอยคลายแขนของเขาลงแล้วปล่อยมันลงข้างลำตัวก่อนจะขยับเดินเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่ 
เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของเธอ

“พวกเลือดสีโคลนที่เก่งแต่ปาก” เขาพยายามฝืนใจตัวเองที่กำลังนึกขำในกิริยาของเด็กสาวที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้า
 “พอถึงเวลาคับขันเข้าจริงๆก็ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

“แล้วคิดว่าตัวเองเก่งมากนักหรือไง” เฮอร์ไมโอนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้น มือล้วงเข้าไปในเสื้อคลุมช้าๆ
อย่างเตรียมตัว มัลฟอยจับข้อมือเธอเอาไว้อย่างรู้ทัน

“อย่าแม้แต่จะคิด เกรนเจอร์” เขาพูดเสียงเข้ม แล้วยื่นหน้าเข้าไปจนเกือบชิดกับใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่
 “ฝีมือของเธอน่ะไม่ถึงครึ่งของฉันในตอนนี้หรอก”

“ฝีมือของคนอย่างฉันเนี่ยนะ ไม่ถึงครึ่งของคนอย่างนาย” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงสูงทำนองดูถูก
 “ไม่ยักรู้ว่าบารมีของพ่อนายจะช่วยทำให้นายเก่งกาจขึ้นมาได้ในชั่วไม่กี่วัน” 

“ฉันเก่งขึ้นมาด้วยตัวของฉันเอง เกรนเจอร์ เธอ อาจจะจำมันไม่ได้แต่ฉันยังคงจำมันได้ดี 
ทุกสิ่งทุกอย่างทุกการกระทำ ทุกคำพูด!" มัลฟอยจ้องหน้าเฮอร์ไมโอนี่นิ่ง “เธอต่างหากที่จดจำทุกสิ่งทุก
อย่างไม่ได้เลย และไม่คิดที่จะจำมันด้วยซ้ำ” เขาบีบข้อมือเฮอร์ไมโอนี่แน่นก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอด 

“นายกำลังจะทำบ้าอะไรกันน่ะ!" เฮอร์ไมโอนี่ร้องตะโกนเสียงหลงด้วยความตกใจในขณะที่พยายาม
ออกแรงดันตัวของมัลฟอยออก แต่เขาไม่ยอม

“ฉันไม่ได้กำลังจะทำอะไรบ้าๆ เกรนเจอร์ แต่ฉันกำลังจะเป็นบ้า และคนบ้าก็มักจะทำอะไรๆได้เสมอไม่ใช่หรือ”
เขายิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์มือที่สวมกอดเฮอร์ไมโอนี่กระชับแน่นขึ้น ก่อนจะค่อยๆก้มหน้าลงไปหาเธออย่างช้าๆ 

“ไม่!"

เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ขาดหายไปมีเพียงเสียงร้องครางอู้อี้ดังแผ่วๆออกมาจากลำคอ เธออยากจะผลักมัลฟอย
ให้กระเด็นออกไปไกลๆด้วยความรังเกียจ แต่ความรู้สึกลึกๆบางอย่างกลับห้ามเอาไว้ 

ความรู้สึกที่ดูเหมือนว่าเธอได้ลืมเลือนมันไปนานแล้ว ความรู้สึกผูกพันและโหยหา เด็กสาวค่อยๆหลับตาลง
 มือทั้งสองข้างยกขึ้นโอบรอบคอของมัลฟอยอย่างไม่รู้สึกตัวในขณะที่ริมฝีปากของเธอเริ่มขยับรับการ
รุกเร้าของอีกฝ่าย ภาพเหตุการณ์บางอย่างไหลเลื่อนเข้ามาในความทรงจำ ภาพสงครามแย่งชิงแผ่นดิน
ในยุคกลาง อัศวินในชุดเกราะที่ดูหนักอึ้ง พ่อมดเคราสีเงินที่มีดวงตาสีฟ้าแจ่มกระจ่าง
 ต้นโอ๊คริมทะเลสาบกว้าง แสงจากสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบและเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง
 เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งสุดตัวดวงตาของเธอเบิกกว้าง เด็กสาวรวมรวมแรงที่มีอยู่ทั้งหมดผลักมัลฟอยจนเขาเซ
ออกไปกระแทกกำแพงระเบียง ก่อนจะร้องตะโกนเสียงสั่น

“นายคิดจะทำอะไรกับฉันกันแน่ มัลฟอย” น้ำตาปริ่มขอบตาอย่างโกรธจัด มัลฟอยมองดูเธอนิ่ง 
แต่ในดวงตาสีซีดนั้นกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“ฉันไม่เคยคิดที่จะทำอะไรกับเธอเลย เกรนเจอร์” เขาตอบเสียงเรียบ เฮอร์ไมโอนี่ปาดน้ำตาทิ้ง

“สนุกมากเลยใช่ไหมที่แกล้งกันได้แบบนี้น่ะ” เธอเค้นเสียงถามอย่างแค้นใจ มัลฟอยมีสีนหน้าตกใจขึ้นมาทันที 

“ฉัน….ไม่ได้……..” เขาพูดอย่างตะกุกตะกักเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่กำลังร้องไห้ มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไป
ในกระเป๋าเสื้อและดึงผ้าเช็ดหน้าลายปักขึ้นมา

“ฉัน ขอโทษ” เขาพูดเสียงอ่อนในขณะที่พยายามเช็ดน้ำตาให้กับเธอ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม
 เฮอร์ไมโอนี่ปัดมือของมัลฟอยออกอย่างแรง

“อย่ามาถูกตัวของฉัน มัลฟอย” เธอพูดเสียงสั่นพร่า “อย่าแม้แต่จะเข้ามาเฉียดใกล้”

“แต่……” มัลฟอยกัดฟันแน่นก่อนจะตัดสินใจดึงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วส่งมันให้กับ

เฮอร์ไมโอนี่

“ของสิ่งนี้มันเคยเป็นของเธอ อย่างน้อยๆเธอก็เคยรักและหวงแหนมันมาก ฉันคืนให้ รับมันไว้สิเกรนเจอร์” 
มัลฟอยย้ำคำพูดเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่กำลังยืนมองดูสิ่งของในมือของมัลฟอยด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

“เมื่อเธอรับมันไปแล้ว จะเอาไปโยนทิ้งเลยก็ได้ แต่ขอร้องว่าอย่าทิ้งมันต่อหน้าของฉันเท่านั้น” ดึงมือของ

เฮอร์ไมโอนี่ออกมาแล้ววางของสิ่งนั้นลงไปเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูเธอด้วยสายตาวิงวอน
 เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับอึ้ง

“นายกำลังเล่นเกมส์อะไรกัน มัลฟอย” เธอถามเบาๆ มัลฟอยส่ายหน้า

“ไม่มีเกมส์หรือความมุ่งร้ายสำหรับเธอเพียงคนเดียว เกรนเจอร์” ดวงตาสีซีดจ้องมองนิ่งอย่างมีหวังก่อน
จะคลายมือของเขาออกจากมือของเฮอร์ไมโอนี่

“หวังว่าความหวังของฉันคงไม่สูญเปล่านะ” เขาพูดพึมพำเบาๆก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ
 เฮอร์ไมโอนี่มองดูที่ติดผมสีเขียวเหลือบเงินแวววาวในมือก่อนจะบีบมันแน่น ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่าน
ไปทั่วปลายนิ้ว มันค่อยๆกระจายไปทั้งมือและซึมซับไปจนทั่วทั้งกาย จู่ๆหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา
 เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในความทรงจำ

“ฉันรักเธอ เฮอร์ไมโอนี่”

ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจ เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจเก็บที่ติดผมกลับลงไป
ในกระเป๋าก่อนจะสะบัดหน้าน้อยๆราวกับจะไล่ความรู้สึกแปลกๆออกไปแล้วรีบเดินกลับไปยังหอนอน
ของเธอเช่นเดิมตามที่ได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก เงาสีดำพาดผ่านไปตามกำแพงและหายวูบไปในซอกเล็กๆ
ของอาคาร ดวงตาที่เป็นประกายวาวในความมืดฉายวูบขึ้น

“ฉันไม่มีทางให้คนอย่างแกได้สมหวังดังที่ตั้งใจไว้หรอก เดรโก มัลฟอย”




Chapter 10: แผนการร้ายของเฮเดส

แฮร์รี่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ทราบว่าภาระกิจแรกที่เขาได้รับคือการที่ต้องเผชิญหน้ากับมังกร
 เขานั่งนิ่งเงียบไม่พูดจากับใครตั้งแต่เช้า ยิ่งเมื่อได้เห็นรอนพูดจาหยอกเย้ากับเพื่อนร่วบ้านคนอื่น
โดยไม่สนใจแม้แต่จะชำเลืองหางตามามองดูเขาแล้ว ยิ่งทำให้แฮร์รี่รู้สึกหงุดหงิดใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
 เขาลุกขึ้นและรวบกองหนังสือเดินออกไปจากห้องอาหารทันทีโดยมีเฮอร์ไมโอนี่มองตามหลัง

“เธอน่าจะพูดกับแฮร์รี่เขาบ้างนะ” เธอหันมาพูดกับรอนที่กำลังมีความสุขอยู่กับการเคี้ยวเนื้อแกะย่าง 
เขาทำเสียงอู้อี้ก่อนจะกลืนเนื้อลงคอ

“เธอพูดถึงใครกันน่ะ เฮอร์ไมโอนี่” เขาย้อนถามแล้วหันไปคุยกับเชมัส ฟินิแกนต่ออย่างไม่สนใจ 
เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากเล็กน้อยด้วยความโกรธ สายตาของเธอเหลือบมองไปทางโตีะของสลิธีรินโดยบังเอิญ
 เดรโก มัลฟอยกำลังจ้องมองมาที่เธอเหมือนกัน ดวงตาสีเทาซีดมีประกายวูบขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะสงบนิ่งลง 

เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกแปลกใจตัวเองที่รีบก้มหน้าหลบสายตาของเขา หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ
 เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินใจลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าหนังสือของเธอเดินออกจากห้องอาหารไปอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ทันได้สังเกตุว่า วิคเตอร์ ครัม ได้เดินตามหลังเธอไปไม่ห่าง 

“จะรีบไปไหนกันน่ะเฮอร์ไมโอนี่” เสียงนุ่มๆถามขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“ห้องสมุดน่ะ” เธอหยุดยืนมองดูเฮเดสที่กำลังก้มหน้าลงมองดูมือของตัวเองที่กำไว้หลวมๆก่อนจะถามขึ้นเบาๆ

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ เฮเดส” เธอปิดปากของตัวเองอย่างนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรถามอะไรซอกแซ่ก
 แต่เฮเดสกลับยิ้มน้อยๆ

“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันจับแมลงปีกแข็งประหลาดได้ตังหนึ่ง เธออยากจะดูไหมล่ะ” เขายื่นมือที่กำไว้ออก
มาที่ตรงหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ เธอทำสีหน้าฉงนเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองดูที่มือขาวซีดของเฮเดส 
ดวงตาสีดำสนิทวาวโรจน์ขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่จะคลายมือออก ไอสีฟ้าจางๆระเหยออกมา 

“เอ้อ…” เสียงของวิคเตอร์ ครัมดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ เธอสะดุ้งและหันกลับไปมองดู

“อ้าว ครัมมาทำอะไรตรงนี้น่ะ” เธอส่งยิ้มที่ดูเป็นมิตรไปให้ครัม เขายิ้มรับแต่สายตากลับเลื่อนเลยไป
ทางเฮเดสที่มีสีหน้าขุ่นเคืองใจน้อยๆก่อนจะรีบปรับให้ราบเรียบเป็นปรกติเช่นเดิม 

“คงกำลังจะไปห้องสมุดเหมือนกัน ใช่ไหมครับ” เฮเดสถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพ แต่ดวงตากลับฉาย
แววชิงชังออกมา ครัมกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย

“ก็ ทำนองนั้น” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปร่งเพี้ยน 

“ถ้าอย่างนั้นก็เดินไปด้วยกันเลยดีกว่า ถ้าคุณไม่รังเกียจน่ะนะ” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดขึ้น ครัมรีบยิ้มรับด้วย
ใบหน้าที่ดูแช่มชื่นทันที

“ด้วยความยินดี” เขายื่นมือออกมาแล้วดึงกระเป๋าหนังสือของเฮอร์ไมโอนี่มาถือไว้ เธอทำสีหน้าตกใจ

“ตายจริง ไม่ต้องก็ได้” เธออุทานออกมาพลางดึงกระเป๋าหนังสือของเธอ แต่ครัมกลับส่ายหน้า

“ผมยินดี” เขาพูดสั้นๆ เฮอร์ไมโอนี่จึงชะงักท่าทางก่อนจะพยักหน้าน้อยๆอย่างยอมแพ้ เธอหันไปทางเฮเดส

“แล้วจะไปด้วยกันไหม”

“ไม่ดีกว่า ผมคิดว่าจะเอาเจ้าแมลงนี่ไปปล่อยไว้ที่สวนก่อน เดี๋ยวมันจะตาย” เขาตอบ เฮอร์ไมโอนี่ผงก
ศีรษะอย่างเข้าใจก่อนจะหันหน้าไปทางครัม

“เราไปกันเถอะ ครัม”

เฮเดสมองดูเฮอร์ไมโอนี่และครัมเดินไปด้วยกัน ดวงตาสีดำสนิทของเขาเต้มไปด้วยแววกราดเดรี้ยว 
เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมาจากอีกด้านของระเบียง ออโรร่าก้าวออกมาจากมุมห้อง

“แผนการณ์ของพี่ท่าทางจะไปได้ลำบากเสียแล้วสินะ” เธอมองดูใบหน้าพี่ชายของเธอ เขาเชิดหน้า

“อาจจะไม่เป็นอย่างที่เธอพูดก็ได้ น้องสาวที่รัก” เขาหยิบขวดแก้วใบเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมและ
เปิดจุกออก มือที่กำไว้ยกขึ้นจ่อไว้ที่ปากขวด ไอสีฟ้าไหลเอื่อยๆกลับเข้าไปในขวดจนหมด
 เฮเดสเก็บขวดแก้วลงกระเป๋าตามเดิมหลังจากที่ผนึกปากขวดเรียบร้อยแล้ว ออโรร่ามองดูการกระทำ
ของพี่ชายด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก

“ฉันว่าพี่เลิกเสียดีกว่า อย่าไปยุ่งกับเรื่องราวของพวกเขาเลย หน้าที่ของพวกเรามีเพียงแค่นำของกลับมาคืนให้เท่านั้น”

“เสียใจ น้องสาวที่รัก” เฮเดสตอบขึ้นมาทันที “พี่จะดีใจมากหากสามารถทำให้เจ้าแห่งความมืดกลับคืน
มาอยู่ในแสงสว่างแห่งเวลากลางวันอย่างผู้ยิ่งใหญ่ได้ตามเดิม”

“พี่จะทำเพื่ออะไรกัน มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเราเลยสักนิด” ออโรร่าถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วย
ความขุ่นเคืองใจ เฮเดสกลับหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่เย็นเยือก

“เพื่อตอบแทนการกระทำของพวกพ่อมดที่เคยทำกับพวกเรายังไง”

“ฉันไม่เข้าใจ” ออโรร่าขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำพูดของพี่ชายตนเอง เขามองผ่านร่างน้องสาวของเข
าเลยออกไปยังทะเลสาบที่อยุ่ภายนอกปราสาทเงาสะท้อนของแสงแดดระยิบระยับอยู่บนผิวน้ำ
 ประกายของมันสะท้อนเข้าไปในดวงสีดำสนิทของฮเดส มันฉายแววขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะดับลง 

“พี่” ออโรร่าเรียกพี่ชายของเธอเบาๆ เฮเดสเลื่อนสายตากลับลงมามองดูใบหน้าน้องสาวของเขา

“พี่ไม่มีวันลืมวันที่ถูกเจ้านั่นโยนทิ้งลงไปในทะเลสาบอย่างไม่แยแสหรอก ออโรร่า” เขาพูดเบาๆ 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับการกลับมาของเจ้าแห่งศาสตร์มืด ถ้าเขากลับคืนมามันก็เท่ากับว่าเราได้นำ
สายเลือดของคนใจดำนั่นกลับมาสู่โลกนี้อีกครั้ง” ออโรร่ามองหน้าพี่ชายของเธอ เขายิ้มน้อยๆ

“ใช่ ออโรร่า เราจะนำสายเลือดแห่งความมืดนั่นกลับคืนมาอีกครั้ง”

“เพื่ออะไรกัน พี่ชาย”

“เพื่อความพินาศของโลกพ่อมด โลกมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไง ออโรร่า พี่อยากให้ทุกคนใน
โลกนี้ได้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานและความตายอย่างที่พวกเราเคยได้รับมา” เขาหัวเราะเบาๆในลำคอ
 ประกายตาลุกโชนในเงามืด ออโรร่ามองดูพี่ชายของเธอด้วยท่าทางเศร้าใจ

“ทำไมพี่ถึงได้มีความคิดแบบนั้น พี่ชายของข้า” เธอรำพันเบาๆ น้ำตาปริ่มขอบตา เฮเดสมองดูน้อง
สาวของเขานิ่งโดยมิได้ตอบคำถามใดๆออกมา เขาหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบๆทิ้งให้ออโรร่ายืน
จมดิ่งอยู่ในความคิดของตนเองแต่เพียงผู้เดียว 

มัลฟอยเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในสวนของโรงเรียน เขามองดูท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้มใจก่อน
จะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในตัวปราสาท แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกเขาอยู่

“เจ้าหนู”

มัลฟอยหันไปมองรอบๆตัว แต่ไม่พบใครสักคนในบริเวณนั้น เขาคิดว่าตนเองคงหูแว่วไปจึงตั้งท่าะ
เดินกลับเข้าปราสาทตามความตั้งใจเดิม 

“เดี๋ยวก่อนสิ พ่อหนุ่มน้อย” เสียงเดิมร้องเรียกอีกครั้ง คราวนี้มัลฟอยมองไปรอบๆแล้วตะโกนร้องตอบ
ด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด

“ใครกันน่ะ! ออกมาเดี๋ยวนี้” 

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปเลยพ่อหนูน้อย” เสียงหัวเราะเบาๆดังตอบมา มัลฟอยดึงไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมา
ถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม

“ถ้าไม่ยอมออกมาดีๆล่ะก็ ฉันจะเผาต้นไม้ที่นี่ทั้งหมดให้ราบ รวมทั้งตัวแกด้วย” เขาเงื้อไม้กายสิทธิ์ขึ้น 
เรียกร้องดังออกมาอย่งตกใจ

“ใจเย็นๆพ่อหนุ่ม ฉันอยู่ตรงนี้ ใกล้ๆเธอนี่ยังไง ลองก้มลงมามองดูให้ดีๆสิ” เสียงจากมาจากพุ่มไม้เตี้ยๆ
ด้านข้างของมัลฟอย เขาก้มลงมองดูแล้วเบิกตากว้าง

“เห็นไหม ทีนี้ฉันอยากจะขอให้เธอช่วยเก็บมันไว้เป็นความลับด้วย เรื่องที่ฉันเข้ามาที่นี่ในลักษณะนี้”

“ทำไมฉันจะต้องทำตามที่แกพูดด้วยล่ะ” มัลฟอยเก็บไม้กายสิทธิ์ของเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ออกสำเนียง

ยะโส เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น

“ก็ถ้าพ่อหนูน้อยช่วยทำตามที่ฉันขอและให้ข้อมูลบางอย่างเล็กๆน้อยๆกับฉัน รับรองได้เลยว่าฉันจะทำ
ให้หนูกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ตทุกวันเลย”

“ข้อมูลอะไร”

“ข้อมูลของผู้เข้าร่วมการแข่งขันไตรภาคี ตัวแทนคนที่สองของฮอกวอตส์นั่นยังไง” เสียงริต้า สกีตเตอร์ตอบ 
มัลฟอยชะงักนิ่งคิดเล็กน้อย สีหน้าสะใจปรากฏอยู่บนใบหน้า

“ก็ได้ แต่ก่อนอื่นเลิกเรียกฉันว่าหนูน้อยเสียที ฟังดูแล้วมันทุเรศ” เขาพูดห้วนๆอย่างไว้ท่า 

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ”

“มัลฟอย เดรโก มัลฟอย”




Chapter 11: ความโกรธของเฮเดส

แฮร์รี่ขมักเขม้นอยู่กับการใช้คาถาเรียกของอย่างตั้งอกตั้งใจโดยมีเฮอร์ไมโอนี่คอยให้คำแนะนำอย่างเอาใจใส่
 การแข่งขันในรอบแรกที่กำลังใกล้เข้ามาทุกทีทำให้จิตใจของเด็กชายวุ่นวายสับสน ยิ่งเมื่อได้รับการเยาะเย้ยถาก
ถางอย่างไม่รู้จบมาจากทางฝ่ายสลิธีรินด้วยแล้ว บางครั้งแฮร์รี่ถึงกับเงื้อไม้กายสิทธิ์ชี้ไปทางมัลฟอยที่คอยปล่อย
คำพูดดูหมิ่นดูแคลนใส่หูเขาตลอดเวลา 

“ไง พอตเตอร์” มัลฟอยตะโกนร้องเรียกแฮร์รี่ข้ามมาจากทางอีกฝั่งของระเบียง เขาชะงักฝีเท้าที่กำลังเดินไปยังห้อง
อาหาร เฮอร์ไมโอนี่พยายามดึงผ้าคลุมของเขาเบาๆ

“ไปเถอะ แฮร์รี่ อย่าไปสนใจคนแบบนั้นเลย” เธอกระซิบ แต่ดูเหมือนมัลฟอยจะได้ยิน เขาขยับตัวเดินเข้ามาใ
กล้อีกเล็กน้อย

“คนแบบฉันทำไมเรอะ เกรนเจอร์” เขาถามเสียงสูงพลางโบกมือห้ามแครปและกอยล์ที่ม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่าง
ท่าทางเอาเรื่อง เฮอร์ไมโอนี่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ก็ พวกที่ไม่เอาไหน คอยแต่จะวิ่งหนีกลับบ้านไปซุกอกแม่ตัวเอง ไม่มีปัญญาที่จะทำอะไรไงล่ะ เธอเป็นแบบนั้นหรือ
 มัลฟอย” เธอย้อนถามมัลฟอยด้วยสีหน้าเยาะเย้ย อีกฝ่ายกัดกรามแน่น

“ปากดีเหลือเกินนะ ยายเลือดสีโคลนโสโครก!!" เขาตะโกนอย่างโกรธๆ กอยล์เดินตรงเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่
แต่มัลฟอยกลับเรียกไว้

“ไม่จำเป็นที่จะต้องไปลงมือกับยายพวกไร้ชาติตระกูลหรอก กอยล์ เดี๋ยวโคลนสกปรกมันจะเลอะมือของพวกเราเปล่าๆ” 

“นายลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกทีสิ มัลฟอย” แฮร์รี่พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงจัดเพราะความขุ่นเคือง
 เขาเหลือบตามองดูเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเม้มปากตัวเองแน่นอย่างสะกดอารมณ์ มัลฟอยเชิดคาง

“ถ้านายก้มหัวลงขอร้องฉันล่ะก็นะ” เขาพูดพลางเหยียดยิ้ม แฮร์รี่ดึงไม้กายสิทธิ์ของเขาออกมาทันที 
มัลฟอยรีบทำตามอย่างไม่รอช้า เขาชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ตรงหน้าของแฮร์รี่ดวงตานิ่งสนิทอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“ลงมือสิ พอตเตอร์” เขาพูดเสียงกร้าว แฮร์รี่อ้าปากจะร่ายคาถา แต่

“เอ๊กเพลิอาร์มัส!"

ไม้กายสิทธิ์ของทั้งคู่ราวกับถูกกระชากออกจากมือ มันxxxนลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนจะตกลงไปที่มือของ

ออโรร่า เธอรับมันไว้ได้ด้วยท่าทางชำนาญพลางมองดูคนทั้งสอง

“ไม่คิดว่าเป็นการเร็วเกินไปสำหรับการทบทวนวิชาการใช้คาถาหรือ แฮร์รี่ มัลฟอย” เธอถามดวงตาสีดำ
สนิทมองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมา มัลฟอยยื่นมือของเขาออกมาทันที

“ส่งไม้ของฉันมาออโรร่า”

“ถ้านายอยากได้มันคืน ก็ต้องรอให้อารมณ์เย็นลงกว่านี้อีกหน่อยนะ มัลฟอย” เธอเหลือบสายตามองดูแฮรืรี่ที่กำ
ลังทำท่าทางฮึดฮัดฉุนเฉียวเช่นเดียวกันเพียงแต่เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเท่านั้น

“ขอไม้ของฉันคืนด้วย ไทม์คีปเปอร์” แฮร์รี่พูดออกมาเบาๆอย่างสะกดกลั้นความพลุ่งพล่านในใจ
 ออโรร่ายิ้มน้อยๆก่อนจะส่งไม้กายสิทธิ์ของแฮร์รี่ให้กับเฮอร์ไมโอนี่

“ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้ว่าเวลาไหนสมควรที่จะคืนไม้ให้กับเขา” เด็กสาวพูดยิ้มๆ เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าก่อนจะดึงมือ
แฮร์รี่ให้เดิน

“เรื่องมันไม่จบลงแค่นี้แน่ๆ พอตเตอร์” มัลฟอยร้องตะโกนไล่หลังคนทั้งสองก่อนจะหันมาทางออโรร่า

“เธอต้องการอะไรกันแน่ ไทม์คีปเปอร์” เขาถามออโรร่าเสียงห้วน เธอทำเพียงไหวไหล่เล็กน้อย

“ก็แค่ไม่อยากเห็นเธอทำอะไรที่โง่ๆลงไปเท่านั้น” เธอหมุนไม้กายสิทธิ์ที่อยู่ในมือไปมา แครปและกอยล์
ยื่นมือเข้าไปใกล้ๆโดยตั้งใจจะแย่งมันมาจากมือของเธอ ออโรร่าหัวเราะออกมาในขณะที่ถอยหลังหนี ร่างสูงใหญ่ของ

แครบและกอยล์ชะงักค้างนิ่งแข็งไปในทันทีโดยที่ดวงตาของทั้งคู่ยังคงกลอกกลิ้งไปมาอย่างงงงันระคนตกใจ

“เธอทำได้ยังไงกันน่ะ สาบเจ้าสองคนนั่นโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์” มัลฟอยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ทึ่งจัด ออโรร่ายิ้มน้อยๆ

“ความจำนายนี่แย่จังเลยนะ” เธอพูดก่อนจะเดินหนีห่างจากมัลฟอย เขาหันไปมองดูสมุนทั้งสองของเขาที่กำลัง
ทำหน้าราวกับร้องไห้ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินตามหลังออโรร่าไป

“เดี๋ยว ไทม์คีปเปอร์” มัลฟอยร้องเรียกเธอ แต่เด็กสาวกลับไม่ยอมหยุด เธอก้าวเท้าเดินด้วยท่าทางสบายๆแล้วจู่ๆ
ร่างแบบบางก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของมัลฟอยเขาหยุกกึกทันที

“ไทม์คีปเปอร์!" มัลฟอยตะโกนร้องเรียก เสียงของเขาก้องไปจนทั่วบริเวณระเบียง เสียงหัวเราะสดใสแต่แฝง
ไปด้วยแววเยาะหยันดังมาจากสนามหน้าปราสาท มัลฟอยวิ่งไปทางหน้าต่างและชะโงกหน้าลงไปมองดูทันที 
ออโร่ร่ากำลังยืนจ้องมองเขากลับขึ้นมาจากด้านล่างเช่นเดียวกัน มัลฟอยเม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะวิ่งตามลงไป

“เธอ ทำได้ยัไงกันน่ะ” เขาถามปนเสียงหอบเมื่อไปถึงที่ที่ออโรร่ากำลังยืนอยู่ เธอส่งไม้กายสิทธิ์คืนให้กับเขา

“ฉันทำอะไร” 

“หายตัวได้ในฮอกวอตส์” มัลฟอยพูดพลางเก็บไม้กายสิทธิ์ลงไปในเสื้อคลุม ออโรร่ายิ้มน้อยๆ

“มันไม่ได้เป็นการหายตัวแบบที่พ่อมดทั่วๆไปเขาทำกันหรอก มัฟลอย” เธอตอบก่อนจะหมุนตัวหันหน้าไปทางทะเลสาบ

“หมายความว่ายังไง”

“การหายตัวของพวกพ่อมดน่ะ คือการร่ายคาถาเคลื่อนย้ายตัวเองโดยอาศัยพลังจากเวทมนต์ที่ได้รับการฝึกฝนมา
อย่างชำนาญและแก่กล้า” ออโรร่าอธิบาย “แต่การหายตัวของฉันน่ะ คือการเคลื่อนย้ายสถานะของตัวเองให้ผ่าน
ช่วงกาลเวลาไปยังอีกที่หนึ่งโดยที่เวลายังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม”

“ฉันไม่เข้าใจ” มัลฟอยพูดด้วยสีหน้าที่งงสุดขีด ออโรร่าหันหน้ามามองดูเขา ดวงตาสีดำสนิทมีแววหัวเราะ

“ช่างเถอะ แต่อย่างน้อยการที่ฉันทำแบบนี้ ก็ทำให้เธอลืมเรื่องขุ่นข้องใจเมื่อครู่ไปได้ไม่ใช่เหรอ” เธอเอียงหน้าน้อยๆ
ก่อนจะเดินกลับเข้าปราสาทไป มัลฟอยนิ่งอึ้ง

“ให้ตายสิ ยายนี่ยิ่งนับวันยิ่งประหลาดมากขึ้นทุกที” เขาพูดด้วยท่าทางหวาดๆก่อนจะรีบเดินตามออโรร่ากลับเข้าไป
ในตัวปราสาทเช่นเดียวกัน มัลฟอยเดินไปตามทางระเบียงที่มุ่งไปสู่ห้องโถงรวมแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขากลับหลัง
หันเดินกลับไปในทิศทางตรงข้าม ทางที่จะตรงไปยังห้องสมุด เด็กชายหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงประตูทางเข้าอย่างลังเล
ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง มาดามพินซ์เงยหน้าขึ้นมองูเขาอย่างสงสัยแต่ไม่ได้พูดอะไร เธอทำเพียงแค่ส่งสายตา
ดุๆราวกับกำชับว่าห้ามส่งเสียงดังก่อนจะก้มหน้าก้มตาตรวจดูกองหนังสือตรงหน้าต่อ มัลฟอยเดินวนไปวนมา
อยู่ระหว่างชั้นหนังสือ สายตามองไล่ไปตาช่องว่างระหว่างชั้นราวกับจะค้นหาใครบางคนมากกว่าหนังสือสักเล่ม 

“นายกำลังหาหนังสืออะไรอยู่อย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มๆถามขึ้นมัลฟอยเม้มปากก่อนจะตอบโดยไม่หันหน้ากลับไปมองดู

“เรื่องของฉัน” เขาตอบ เสียงหัวเราะต่ำๆดังเบาๆออกมาจากปากของเฮเดส

“ถ้าคิดจะมาหาเกรนเจอร์ล่ะก็ ขอบอกได้เลยว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก” เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ มัลฟอยขยับศีรษะเล็กน้อย

“ใครคิดจะมาหายายเลือดสีโคลนกัน” เขาพูดห้วนๆก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยมีสายตาที่มุ่งร้าย
ของเฮเดสมองตามหลังอย่างไม่วางตา

มัลฟอยเดินกระแทกเท้าไปบนพื้นอย่างฉุนเฉียว เขารู้สึกแปลกใจตัวเองที่ไม่ใช้คาถาแรงๆกับเฮเดสให้สาสมกับความ
เกลียดชัง การกระทำที่ดูราวกับเสแสร้งตลอดเวลาของเพื่อนร่วมบ้านที่แสนจะลึกลับคนนี้ทำให้มัลฟอยรู้สึกหงุด
หงิดใจเป็นอย่างมาก เสียงร้องอุทานดังออกมาจากมุมห้องทำให้ความคิดต่างๆของมัลฟอยชะงักงันลง 

“อย่ามาทำเป็นเก่งกับพวกเรา ยายเลือดสีโคลน” เสียงแพนซี่ พาร์กินสันพูดขึ้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าเพื่อนๆ
ของเธอ

“ฉันไม่ได้ทำเป็นเก่งและไม่ได้ทำอวดเก่ง เพราะมันคงไม่จำเป็นสักเท่าไหร่เวลาอยู่ต่อหน้าพวกเธอ พาร์กินสัน”
 เฮอร์ไมโอนี่โต้แพนซี่หน้าแดง

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” แพนซี่ร้องถาม มิลลิเซ็นต์ บัลสโตรดตะโกนเสียงก้อง

“พวกมันหมายความว่าพวกเราโง่ไง แพนซี่” 

“เก่งนี่นา” เฮอร์ไมโอนี่ชมด้วยสีหน้ายิ้มๆ มิลลิเซ็นต์ทำสีหน้าภาคภูมิใจ แพนซี่กระทุ้งท้องเพื่อนของเธอ

“ยังจะมาทำภูมิใจอยู่ได้” เธอพูดเสียงดุๆก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่และออโรร่าที่ถูกสมุนของแพนซี่ดึงแขนสองข้างไว้

“ฉันยังไม่อยากให้มือของฉันเปื้อนโคลนโสโครกจากเธอในตอนนี้” แพนซี่พูดกับเฮอร์ไมโอนี่แล้วหันไปทางออโรร่า

“ฉันต้องการแค่พูดเตือนยายนี่เท่านั้น” เธอกระชากคอเสื้อของออโรร่าแล้วตะคอกเสียงดัง

“อย่ามายุ่งกับเดรโกของฉันอีก เข้าใจไหม!" 

“ฉันไม่ไดยุ่งอะไรกับมัลฟอย” ออโรร่าตอบเสียงเรียบๆ “แค่คุยกับเขาเท่านั้นเอง”

“แค่มองก็ไม่ได้” แพนซี่ตะคอกใสหน้าออโรร่า 

“ถ้าเธอไม่อยากให้เพื่อนของฉันไปยุ่งกับเพื่อนรักของเธอ ก็ล่ามเขาไว้กับกับตัวของเธอเสียเลยสิ”
 เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นมาบ้าง แพนซี่หันขวับมาทางเธอทันที

“แก อย่ามาแส่!" เธอคำราม เฮอร์ไมโอนี่ยักไหล่

“พูดเสร็จแล้วหรือยัง พวกฉันมีงานที่จะต้องทำอีกมาก” 

“พวกแกยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าหากยายนี่ยังไม่รับปากว่าจะอยู่ห่างๆเดรโก” แพนซี่หันไปทางออโรร่าอีกครั้ง 

“สิทธิของฉันที่จะทำอะไรก็ได้ คุยกับใครก็ได้ เดินไปไหนมาไหนก็ได้ เธอไม่มีสิทธิ์มาห้าม พาร์กินสัน”

แพนซี่ตัวสั่นเทิ้มอย่างโกรธจัด เธอสะบัดฝ่ามือฟาดใส่หน้าออโรร่าเต็มแรงจนหน้าหัน ริมฝีปากบางบวมเจ่อขึ้นมาทันที 
เฮอร์ไมโอนี่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจระคนโกรธเคือง

“ทำอะไรป่าเถื่อนแบบนั้น” เธอผลักแพนซี่อย่างแรงแล้วก่อนจะหันไปทางออโรร่าที่ถูกเพื่อนของเพนซี่ยึดแขนไว้แน่น

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกอาจารย์” เฮอร์ไมโอนี่ขู่แต่แพนซี่กลับหัวเราะเยาะ

“คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้เธอทำแบบนั้นง่ายๆหรือ ยายเลือดสีโคลน” มิลลิเซ็นต์เดินปรี่เข้าไปหาเเฮอร์ไมโอนี่อย่างมุ่งร้าย
 เธอล้วงหยิบไม้กายสิทธ์ในกระป๋าเสื้อคลุมอย่างเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่ามิลลิเซ็นต์ที่กระชากข้อมือของเธอแล้วบิดอย่างแรง 
เฮอร์ไมโอนี่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“เก่งมากนักไม่ใช่หรือ ยายเลือดสีโคลน” มิลลิเซ็นต์คำรามก่อนจะเหวี่ยงร่างของเฮอร์ไมโอนี่ไปกระแทกกับผนัง
ของปราสาทอย่างแรง ร่างโปร่งบางทรุดลงกองกับพื้นทันที แพนซี่หยิบไม้กายสิทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่ที่ตกอยู่กับ
พื้นขึ้นมาแล้วยิ้มอย่างมุ่งร้าย

“อยากจะรู้จังเลยนะว่า ถ้าเธอได้รับคำสาบจากไม้กายสิทธ์ของตัวเองแล้วผลมันจะเป็นยังไง” แพนซี่ชี้ไม้กายสิทธิ์

ไปที่หน้าของเฮอร์ไมโอนี่ ออโรร่าดิ้นรนร้องห้าม

“หยุดเดี๋ยวนี้ แพนซี่!" มัลฟอยก้าวออกมาจากมุมห้อง เขาจ้องมองดูเพื่อนหญิงของเขาด้วยสายตาเอาเรื่อง 

แพนซี่ลดไม้กายสิทธิ์ในมือลง

“เดรโก” เธอร้องครางออกมาเบาๆด้วยท่าทางตกใจ มัลฟอยเดินไปมองหน้าเพื่อนสองคนของแพนซี่ด้วยสาย
ตาที่ดุดันจนทั้งสองคนต้องปล่อยมือออกจากการจับกุมออโรร่าโดยไม่รู้ตัว

“ทำอะไรกันต่ำๆ” เขาพูดด้วยเสียงเครียดสายตาเหลือบมองดูแพนซี่ เธอตัวสั่นขึ้นมาเองอย่างควบคุมไม่ได้

“แต่ยายนี่มาทำวุ่นวายกับเธอไม่ใช่หรอ เดรโก” แพนซี่เถียงอ่อยๆ มัลฟอยถลึงตา

“ฉันอยากจะคุยกับใคร หรือใครจะมาคุยกับฉันมันก็เป็นเรื่องของฉัน เธอไม่ต้องมายุ่ง แพนซี่”

“แต่ว่า….” แพนซี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา 

“ไปให้พ้น” มัลฟอยพูดเสียงขรึมๆ แพนซี่ทำท่าพะว้าพะวังจนเขาต้องเน้นเสียงให้ดังขึ้น

“ฉันบอกว่า ไปให้พ้น หูหนวกหรือยังไงกัน!" 

เหล่าพื่อนๆของแพนซี่พากันวิ่งหนีออกไป มิลลิเซ็นต์ดึงแขนแพนซี่เบาๆ

“ไปกันเถอะแพนซี่” เธอกระซิบ แพนซี่มองหน้ามัลฟอยแว่บหนึ่งก่อนจะเดินออกไป
 ออโรร่าที่กำลังตรวจดูแผลบนศีรษะของเฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้น

“ไม่คิดว่าเธอจะเข้ามาช่วย” เธอพูด มัลฟอยมองดูเฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาเป็นห่วงแว่บหนึ่ง

“ก็แค่ไม่อยากให้บ้านฉันเสียคะแนนไป ก็เท่านั้น” มัลฟอยตอบเสียงขรึมๆ ออโรร่ายิ้มน้อยๆ

“ช่วยพาเฮอร์ไมโอนี่ไปที่ห้องพยาบาลหน่อยสิ มัลฟอย ดูท่าทางเธอจะเจ็บมากเลยนะ”

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดอย่างเร็วพลางค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

“แผลของเธอไม่ใช่เล็กๆนะ เฮอร์ไมโอนี่” ออโรร่าพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆซับเลือดที่ไหลซึมลงมาจากศีราะของเธอ

“แค่แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง ฉันเคยโดนมาหนักกว่านี้อีก” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างลืมตัว มัลฟอยชะงักเล็กน้อย

“เธอเคยได้รับบาดเจ็บหนักกว่านี้มาก่อนหรือ เกรนเจอร์” เขารีบถามอย่างเร็ว เฮอร์ไมโอนี่นิ่งคิดเล็กน้อย

“ก็…..” เธอทำท่านึกก่อนจะพูดเสียงหนัก “ตอนที่ฉันถูกพาร์กินสันทำให้ตกบันไดยังไงล่ะ แล้วก็…..” เฮอร์ไมโอ
นี่นิ่งไปอีกครั้ง ความทรงจำที่ดูเหมือนจะเลือนลางฉายวาบเข้ามาในสมอง นอกจากตกบันไดในครั้งนั้นแล้ว 
เธอได้รับบาดเจ็บอย่างหนักอีกครั้งหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่สะบัดศีรษะตัวเองเบาๆนั่นทำให้เธอเสียการทรงตัวเล็กน้อย
 มัลฟอยรีบเข้าประคองเธออย่างเร็วด้วยความลืมตัว เด็กสาวพยายามดันเขาให้ออกห่างด้วยความเคยชินมากกว่า
ความรังเกียจ 

“ไปห้องพยาบาลดีกว่าเกรนเจอร์” เสียของมัลฟอยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลจนเฮอร์ไมโอนี่ต้องเงยหน้า
ขึ้นมองดูเขา ความรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของเด็กชายคุ้นเคยเสียจนทำให้เธอหยุดการขัดขืน

“แล้ว…” เฮอร์ไมโอนี่มองไปทางออโรร่า เธอส่งยิ้มให้

“ฉันจะตามเธอสองคนไปทีหลัง ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” ออโรร่าตอบ มัลฟอยมองดูเธอเล็กน้อยก่อน
จะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่

“ไปกันเถอะ เกรนเจอร์”

ออโรร่ายืนมองดูคนทั้งสองเดินไปด้วยกัน รอยยิ้มน้อยๆแต้มบนริมฝีปากก่อน

“พี่คงไม่มีทางครอบงำจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ได้อย่างเต็มที่หรอก พี่ชาย” เธอพูดพึมพำเบาๆก่อนจะยกมือขึ้น
เหนือรอยบวมช้ำบนริมฝีปาก ไปละอองเย็นแผ่กระจายออกมาจากมือบางๆแต่ก่อนที่รอยแผลทั้งหมดจะจางหายไป
 มือของออโรร่าก็ถูกดึงออกจากใบหน้าอย่างแรง เธอมองดูใบหน้าที่ขคุณตึงด้วยความโกรธอย่างตกใจ

“พี่ชาย” 

“ไปโดนอะไรมา” เขาถามเสียงห้วน ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อยอย่างจ้องจับผิด ออโรร่าดึงมือของเธอ
ออกจากมือของพี่ชายก่อนตอบ

“ฉัน…หกล้มน่ะ”

“อย่ามาโกหก ออโรร่า คนอย่างพวกเราไม่มีทางเดินสะดุดล้มง่ายๆ” เขายื่นมืออกมาข้างหน้าแล้วหลับตาลง
 ออโรร่าพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่โดนพี่ชายของเธอดึงไหล่เอาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

“แพนซี่ พาร์กินสันอย่างนั้นหรือ” เขาพูดเสียงเข้มก่อนจะปล่อยมือออกจากไหล่น้องสาวของเขา 

“พวกมันกล้ามากที่ลงมือทำร้ายเธอจนเป็นแบบนี้” เขาลูบใบหน้าของออโรร่าที่มีรอยบวมแดงอยู่จางๆ
 มันค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ

“แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ออโรร่ารีบพูด “เขาไม่ได้คิดร้ายอะไรกับฉันเลย”

“ไม่ได้คิดร้าย” เฮเดสทวนคำ ดวงตาสีเข้มเป็นประกายวาว “มันทำกับเธอถึงขนาดนี้ยังไม่เรียกว่าคิดร้ายอีกหรือ 
น้องสาวของฉัน” เขามองหน้าออโรล่า เธอกัดฟันตัวเองก่อนจะก้มหน้าลง

“อย่าทำร้ายพวกเขานะ พี่ชาย” เธอพูดเสียงอ่อนเบา เฮเดสยืดตัวตรง

“ถ้าใครดีกับฉัน ฉันก็จะดีตอบ” เขาจ้องน้องสาวของตัวเอง “แต่ถ้าใครร้ายกับฉันแล้วล่ะก็ ผลตอบแทนที่มันจะได้รับนั้น
 มันจะยิ่งเป็นร้อยเท่าพันทวีกับที่มันทำ” เฮเดสหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในปราสาทโดยไม่พูดอะไรอีก 

ออโรร่าพยายามเรียกเขาหลายครั้งแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจ เธอพิงกำแพงปราสาทด้วยท่าทางที่กลัดกลุ้ม
 มือทั้งสองข้างกอดตัวเองแน่น

“เราไม่มีทางหยุดยั้งความโกรธของพี่ได้แน่ๆ ไม่มีทาง”



Chapter 12: อำนาจแห่งโลหิตอสูร

มิลลิเซ็นต์ บัลสโตรด นั่งหัวเราะอย่างเบิกบานใจอยู่กับเพื่อนๆของหล่อนในห้องนั่งเล่นบ้านสลิธีริน 
อิวีเลีย อันเดอร์กราวน์ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหลมสูง
“เล่าให้ฟังตอนที่เธอเหวี่ยงยายเลือดสีโคลนนั่นไปกระแทกกำแพงอีกครั้งสิ มิลลิเซ็นต์
ฟังกี่ครั้งก็รู้สึกสะใจที่สุด”
“ยิ่งตอนที่แพนซี่ตบหน้ายายพิลึกนั่นด้วย ฉันอยากไปอยู่ด้วยตอนนั้นจัง ไม่ชอบหน้ามันมานานแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดเสริม ทั้งหมดหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน
“ไม่เห็นเหมือนเฮเดสเลยสักนิด เขาทั้งเท่ห์ ทั้งขรึม ทั้งหล่อ” อิวีเลียทำหน้าละเมอขณะที่พูด
เสียงนุ่มๆดังขึ้นไม่ห่างจากตัวของเธอเท่าไหร่ 
“กำลังพูดถึงใครกันอยู่หรือครับ” เฮเดสก้าวเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆอิวีเลีย
รอยยิ้มแต้มบนริมฝีปากบาง แต่ดวงตานั้นกลับฉายแววเย็นเยือกจนน่าขนลุก
มิลลิเซ็นต์มองดูกิริยาของชายหนุ่มด้วยท่าทางหวั่นๆ
“อ้าว พอผมเข้ามาพวกคุณก็หยุดคุยกันไปเลย เห็นทีจะมาขัดจังหวะพวกคุณกระมัง”
เขามองไล่ไปตามใบหน้าของทุกๆคน ก่อนที่จะหยุดลงที่มิลลิเซ็นต์ 
“กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือครับ คุณบัลสโตรด” เสียงที่ถามฟังดูนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความเยียบเย็น
มิลลิเซ็นต์สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยฝบหน้าที่ซีดขาว
“เอ่อ…คือ…..” มิลลิเซ็นต์ตอบเสียงตะกุกตะกัก แต่อิวีเลียกลับชิงพูดแทรกขึ้นมา
“พวกเรากำลังคุยกันถึงเรื่องที่แพนซี่และมิลลิเซ็นต์แกล้งยายเลือดสีโคลนน่ะ เฮเดส” 
“เลือดสีโคลน” เฮเดสทวนคำพูดด้วยท่าทางงงๆ อิวีเลียหัวเราะเสียงใส
“ฉันหมายถึงยายเกรนเจอร์ บ้านกริฟฟินดอร์ไงล่ะ อะไรกันนี่คุณไม่รู้จักเลยอย่างนั้นหรือ”
“ก็ พอจะรู้มาบ้าง” เฮเดสตอบเสียงขรึมๆ
“แล้วยังได้ยินมาอีกด้วยว่าเวลานั้นนอกจากเรนเจอร์แล้วยังมีใครอีกคนไม่ใช่หรือ” เขามองหน้ามิลลิเซ็นต์
ดวงตาสีดำสนิทที่เรียบนิ่งมีประกายวาวโรจน์ฉายอยู่ภายในลึกๆ มิลลเซ็นต์
รู้สึกขนลุกวาบไปทั้งตัวขึ้นมาทันที ความหวาดกลัวเริ่มแผ่เข้ามาเกาะกุมจิตใจ
รอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนแต่ไม่เป็นมิตรปรากฏบนใบหน้าที่นิ่งสนิท 
“เอ้อ……..” มิลลิเซ็นต์ทำท่าละล้าละลัง อิวีเลียขยับตัวออกห่างจากเฮเดสเล็กน้อย
“พวกฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั่นหรอกนะ
แต่เห็นมิลลิเซ็นต์บอกว่าน้องสาวของคุณยืนอยู่ใกล้ๆยายเกรนเจอร์นั่นด้วย” 
“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเขานะ” มิลลิเซ็นต์รีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฮเดสหัวเราะ
“น้องสาวของฉัน บางครั้งก็สมควรได้รับการสั่งสอนบ้าง
เพราะดูเหมือนเธอมักจะชอบมีความคิดที่แปลกและแตกต่างไปจากฉัน” เขาพูดเสียงนิ่มก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไม่ต้องวิตกกังวลไปหรอก มิสบัลสโตรด เธอไม่ได้เป็นคนลงมือกับน้องสาวของฉัน แค่สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น”
เขาเหยียดยิ้มเล็กน้อย 
“ต้องขอตัวก่อนนะ จะต้องไปขอบคุณคนที่ช่วยสั่งสอนน้องสาวของฉันเสียหน่อย สวัสดี”
ดวงตาสีดำตวัดเหลือบมองมิลลิเซ็นต์วูบหนึ่ง แววเยาะหยันเต้นไหวระริก ก่อนจะก้าวเดินจากไป
มิลลิเซ็นต์ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางโล่งใจก่อนจะหันไปทางอิวีเลีย
“คิดว่าเขาจะมาหาเรื่องฉันเสียอีก”
เธอพูดแล้วเบิกตาโตเมื่อเห็นร่างของคู่สนทนากำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
“อิวีเลีย!!!” เสียงมิลลิเซ็นต์กรีดร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
ในขณะที่อีกฝ่ายล้มตัวลงนอนดิ้นรนไปมาด้วยท่าทางที่เจ็บปวด
เด็กสาวหลายคนเริ่มถอยออกห่างแต่แล้วก็ล้มลงนอนดิ้นร้องครวญครางไปมาเช่นเดียวกัน 
มิลลิเซ็นต์ถดถอยตัวเองไปจนชิดพนักเก้าอี้ที่นั่งอยู่
ความรู้สึกเจ็บปวดที่เริ่มปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มต้นที่มือทั้งสองข้าง
มันเจ็บเสียจนเธอต้องยกมือของตัวเองขึ้นมาดู
เสียงร้องครางด้วยความตกใจดังออกมาจากลำคอเมื่อมิลลิเซ็นต์จ้องมองดูมือที่หยาบหนาของตัวเองกำลังจะแปรเปล
ี่ยนไปอย่างช้าๆ นิ้วมือเริ่มมีปุ่มปมเพิ่มมากขึ้น ยางเหนียวๆสีข้นไหลเยิ้มออกมาจากปุ่มปมเหล่านั้น
ทุกที่ที่มันไหลไปถึงจะปรากฏตุ่มปมตะปุ่มตะป่ำงอกขึ้นมาและพ่นของเหลวข้นๆออกมาเพิ่มขึ้นอีก
มิลลิเซ็นต์กรีดร้องโหยหวนเมื่อกระดูกสันหลังของเธอเริ่มบิดเบี้ยวโค้งงอจนโก่งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม
ริมฝีปากที่หนาแหวกกว้างออกจนเกือบจรดใบหูทั้งสองข้าง
เสียงร้องของเธอตอนนี้แปรเปลี่ยนเพี้ยนไปจนฟังดูไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
นักเรียนสลิธีรินที่นั่งอยู่ห่างออกไปเริ่มตีวงเข้ามาดูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
“ศาสตราจารย์สเนป ใครก็ได้ไปตามเขามาที่นี่เร็ว บอกเขาว่ามีนักเรียนสลิธีรินกำลังกลายร่างเป็นคางคก!”

แพนซี่ พาร์กินสัน นั่งแปรงผมของตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกในห้องพักส่วนตัวของเธอ
เด็กสาวนึกถึงใบหน้าที่ขคุณตึงของ เดรโก มัลฟอย
ที่มองดูเธอในขณะที่เขากำลังประคองร่างของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยกิริยาห่วงใย
เด็กสาวเหวี่ยงแปรงแปรงผมของตัวเองไปบนโต๊ะเครื่องแป้งอย่างขัดใจ ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาแรงๆ
“หรือว่าเขา หลงรักยายเลือดสีโคลนนั่น” แพนซี่พูดกับตัวเอง
ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวโหมเข้ามาในจิตใจจนเธอเหวี่ยงข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะเครื่องแป้งลงไปบนพื้นจนไม่มีอะ
ไรเหลือ 
“ฉันไม่เชื่อ ไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาดว่าเดรโกจะไปหลงรักยายเลือดสีโคลนนั่น”
เธอพูดกับตัวเองด้วยเสียงหอบๆ 
“ฉันเองก็ไม่อยากขจะเชื่อเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความจริงนะ” เสียงเบาๆดังขึ้นมาจากประตูห้อง
แพนซี่หันขวับไปมองดูทันทีด้วยท่าทางตกใจ
“นาย! เฮเดส!” เธอมองดูเขาด้วยดวงตาที่เบิกโพลงก่อนจะถาม
“นายเข้ามาในนี้ได้ยังไงกันน่ะ หอนอนหญิงไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ชายจะเข้ามาได้ง่ายๆนะ”
“นั่นมันเป็นกฏสำหรับพวกพ่อมดธรรมดาอย่างพวกเธอ”
เฮเดสเดินตรงเข้ามาหาแพนซี่อย่างช้าๆแต่เต็มไปด้วยท่าทางมุ่งร้าย 
“ฉันสามารถไปได้ทุกที่ที่ต้องการ สามรถทำอะไก็ได้ที่ปรารถนา
และสามารถทำลายใครก็ได้ที่บังอาจคิดร้ายกับฉัน” เขาจ้องมองดูแพนซี่ด้วยแววตาที่อำมหิต
แพนซี่ถอยหลังออกห่างด้วยท่าทางที่หวาดกลัว
“ฉันไม่เคยคิดร้ายอะไรกับนายเลยนะ” เธอพูดเสียงรัว เฮเดสหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ออโรร่าเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของฉัน เธอมีเลือด มีเนื้อ มีวิญญาณเดียวกับฉัน
ใครก็ตามที่ทำให้น้องสาวของฉันเจ็บ นั่นหมายถึงมันได้ทำร้ายตัวของฉันให้เจ็บตามไปด้วย”
เขายกมือข้างหนึ้งขึ้นช้าๆและลูบไปบนลำคอของแพนซี่เบาๆ

“ฉัน อาจจะ ‘ฆ่า’ คนที่บังอาจทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับฉันก็ได้ หากฉันต้องการ แต่….”
เขากำมือรอบลำคอของแพนซี่ด้วยกิริยาเนือยๆช้าๆ แต่หนักหน่วง
ใบหน้าที่ซีดขาวค่อยๆก้มลงไปจนชิดกับใบหน้าของแพนซี่

“มันไม่สนุกเหมือนการนั่งมองดูคนที่กำลังทรมานหรอก” เขากระซิบพูดกับเธอ
แพนซี่ครางออกมาเบาๆด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสองข้างปิดสนิทแต่น้ำตากลับไหลพรากออกมา

“นาย จะทำอะไรฉัน” เธอพยายามเค้นเสียงถาม เฮเดสหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ ฆ่า เธอหรอก พาร์กินสัน” เขาถอยใบหน้าของเขาออกมาเล็กน้อย
“และจะไม่เปลี่ยนแปลงร่างเหมือนเพื่อนๆที่น่ารักของเธอพวกนั้นด้วย”
“นาย….ทำอะไร…กับพวกนั้น…”

“ไม่คิดว่าคนแบบเธอจะรู้จักเป็นห่วงเพื่อนด้วยเหมือนกัน” เสียงเฮเดสเยาะหยัน
มือขวาที่บีบลำคอของแพนซี่คลายออกเล็กน้อย เด็กสาวลืมตาขึ้นมองดูด้วยความหวาดกลัว
ตัวเริ่มสั่นสะท้านแรงขึ้นเมื่อเห็นเฮเดสกำลังยกมืออีกข้างของเขาขึ้นมาแล้วม้วนแขนเสื้อข้างที่กำลังบีบล
ำคอของเธอขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ

“นาย…จะทำอะไร” แพนซี่ถามเสียงแผ่ว เฮเดสไม่ตอบ เขากางมือซ้ายของเขาออกและตวัดมันลงไปบนข้อมือข้างขวา
แพนซี่มองดูปากแผลอันเกิดจากการกระทำของตัวของเฮเดสที่ข้อมือของเขา เลือดสีเขียวเข้มไหลปรี่ออกมาทันที
แพนซี่ร้องออกมาด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว

“นายไม่ใช่มนุษย์! นายเป็นตัวอะไรกันแน่ เฮเดส!” 
“อีกประเดี๋ยวเธอก็จะไม่สนใจกับมันอีกต่อไปแล้ว พาร์กินสัน”

เฮเดสตอบเสียงเย็นก่อนจะใช้มือซ้ายของเขาบีบปากของแพนซี่ให้อ้ากว้างขึ้นแล้วกดปากแผลที่มีเลือดไหลทะลักอ
อกมาลงไป แพนซี่ทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและดิ้นรนและพยายามขัดขืน 

“อย่าดิ้นหนีให้เสียเวลาเลย พาร์กินสัน” เฮเดสพูดเสียงเบาก่อนจะกดน้ำหนักมือลงไปอีก
เสียงกลืนดังออกมาจากลำคอที่กำลังเคลื่อนไหวของแพนซี่

เฮเดสปล่อยร่างที่อ่อนระทวยให้ล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
ไอละอองสีขาวแผ่ออกมาจากมือข้างซ้ายมันครอบคลุมรอยแผลที่ข้อมือของเขาจนมิด

เฮเดสยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่าปากแผลของเขาปิดสนิทดีแล้ว ดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยความโหดเหึ้ยม
และเยือกเย็นจับจ้องมองดูร่างที่นอนไม่ได้สติที่กองอยู่แทบเท้าของเขา 

“จงลุกขึ้นมา แพนซี่ พาร์กินสัน” เขาร้องสั่งเสียงดังกังวาน
ร่างของแพนซี่สั่นกระตุกเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆเปิดออก
มันไร้แววแห่งความมีชีวิตชีวาและเลื่อนลอย เฮเดสมองดูด้วยสีหน้าที่สะใจ 

“นับต่อแต่นี้ไป เธอจะต้องทำตามคำสั่งของฉันทุกอย่าง แม้คำสั่งนั้นจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม เข้าใจไหม
พาร์กินสัน”
“เข้าใจค่ะ ท่านเฮเดส” เสียงตอบยานคางช้าๆ
เฮเดสหมุนตัวเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของแพนซี่แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้าง

“จงทำให้ฉันเชื่อสิ พาร์กินสัน” เขาประสานมือทั้งสองข้างไว้บนตัก “คลานมาเลียรองเท้าของฉันให้สะอาด
เดี๋ยวนี้!”

แพนซี่ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งช้าๆและเริ่มคลานเข้าไปหาเฮเดสก่อนจะเริ่มทำตามคำสั่งของเขา
ชายหนุ่มมองดูการกระทำของแพนซี่ด้วยสายตาที่สาสมใจก่อนจะหัวเราะออกมา
“ท่าทางแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าหมอนั่นแล้วคงสะใจมากกว่านี้เป็นร้อยเท่าแน่”

* * * * * * * * * * * * * * * *

ศาตราจารย์ดัมเบิลดอร์นั่งมองดูกาน้ำชาที่เริ่มรินชาร้อนๆด้วยตัวเองใส่ในแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยส
ีหน้าที่มีแวววิตกกังวลเล็กน้อย 

“ผมเข้าใจดีกว่าคุณต้องการให้เด็กทั้งสองได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ร่วมในสังคมภายนอก
แต่ผมไม่อนุญาตให้พวกเขาใช้พลังพิเศษที่พวกเขามีอยู่ทำร้ายนักเรียนคนอื่น หวังว่าคุณคงเข้าใจ”
เสียงระบายลมหายใจอ่อนๆดังออกมาจากคู่สนทนา 

“สำหรับเรื่องนั้น เราต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านดัมเบิลดอร์”
เสียงตอบที่ไพเราะราวกับเสียงพริ้วระลอกคลื่นเล็กๆในทะเลสาบตอบ 

“กรุณาอย่าเรียกผมด้วยชื่อที่แสนสุภาพเช่นนั้นเลย ท่านหญิง”
ดัมเบิลดอร์กล่าวเสียงนุ่มด้วยกิริยาแฝงด้วยอาการเคารพ เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา

“สำหรับบุคลที่มีจิตใจสูงส่งเช่นท่านแล้ว คำเรียกขานแบบนี้ออกจะน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ” 
“นั่นนับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ดัมเบิลดอร์ตอบยิ้มๆ “แต่ผมคงต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า
หากเด็กในปกครองของท่านกระทำการเกินเลยต่อนักเรียนของผมอีกครั้ง อันหมายถึงความเป็นอันตรายต่อชีวิต
คงต้องกล่าวคำขออภัยต่อคุณไว้ล่วงหน้า”

“เราเข้าใจ” หญิงสาวในชุดสีเงินยวงตอบเบาๆ “อันที่จริงเราน่าจะพาพวกเขากลับกันได้แล้วด้วยซ้ำ
ภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็ทำได้เสร็จสิ้นแล้ว”

“คิดว่าน่าจะให้พวกเขาได้อยู่ร่วมชมการแข่งขันเวทย์ไตรภาคีให้จบเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
ดัมเบิลดอร์ยิ้มเล็กน้อย

“พวกเขาน่าจะเบื่อกับการแข่งขันนี้แล้ว” 
“ผมคิดว่าไม่หรอกนะ ปีนี้มีอะไรที่น่าสนุกกว่าทุกครั้ง คุณเองน่าจะทราบดีกว่าใครทั้งหมดนะ
เลดี้แห่งทะเลสาบ”

“ถ้าท่านเห็นเป็นสมควรก็ตามจท่านเถิด ดัมเบิลดอร์ หากเด็กทั้งสองคนก่อปัญหาอะไรอีกแม้แต่เพียงครั้งเดียว
เรายินยอมให้ท่านส่งพวกเขากลับไปที่ก้นทะเลสาบอีกครั้ง ด้วยตัวของท่านเอง” ร่างงามลุกขึ้นยืนช้าๆ
ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์รีบลุกขึ้นตามทันที 
“ไม่จำเป็นต้องไปส่งเราก็ได้ ท่านอัลบัส” เลดี้ลึกลับส่งยิ้มที่สุภาพให้ก่อนจะเดินไปที่ช่องหน้าต่างห้อง

“ถ้าเช่นนั้น ผมขอส่งคุณที่หน้าต่างนี่ก็แล้วกัน” ดัมเบิลดอร์ผงกศรีษะเล็กน้อยเป็นเชิงให้ความเคารพ
ร่างในชุดสีเงินงดงามก้าวไปหยุดยืนที่หน้าต่าง
สายลมเย็นเยียบพัดมาจากทะเลสาบกระทบร่างนั้นจนอาภรณ์ปลิวสะบัด ฉับพลัน
ร่างที่ดูโปร่งบางแสนสง่านก็พลันแตกสลายกลายเป็นละอองไอน้ำและหมุนหายไปในกระแสลมที่พัดย้อนกลับไปยังทะเล
สาบกว้างอีกครั้ง ดัมเบิลดอร์ถอนหายใจหนักๆ

อย่างโล่งอกก่อนจะเดินไปที่หน้าเตาผิงและหยิบผงละเอียดสีขาวโปรยลงไปในไฟที่กำลังลุกโชติช่วงก่อนจะพูด
“เซอเวอรัส กรุณามาพบผมที่ห้องทำงานด้วย” 
ชายชรานั่งลงที่เก้าอี้ของเขาแล้วประสานมือจรดกันไว้ที่ปลายคาง

ร่างสูงๆของสเนปก้าวออกมาจากเปลวไฟในเตาผิง เขามองดูอาจารย์ใหญ่ด้วยสายตาสงสัย
“มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ ท่านอาจารย์ใหญ่” เขาถามเสียงนุ่ม ดัมเบิลดอร์เหลือบตามองไปบนโต๊ะทำงานของเขา
ขวดแก้วเจียระไนใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีเงินตั้งอยู่บนนั้น สเนปมองดูอย่างฉงน
“นั่นเป็นยาถอนพิษสำหรับนักเรียนของเธอ”ดัมเบิลดอร์พูดขึ้น สเนปทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ผมกำลังปรุงยาแก้อยู่….”

“ไม่มียาสำหรับแก้พิษพิเศษชนิดนี้หรอก เซอเวอรัส” ดัมเบิลดอร์พูดขัดขึ้นมา
“เชื่อผมและนำมันไปให้นักเรียนของคุณเดี๋ยวนี้ ก่อนที่มันจะสายเกินแก้”

สเนปมองดูขวดแก้วเจียระไนบนโต๊ะทำงานของดัมเบิลดอร์ด้วยสายตาที่รังเกียจแต่จำใจที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาแล
้วเก็บใส่ลงในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา

“มันมีพอแค่ใช้เท่านั้นนะ เซอเวอรัส อย่าได้คิดที่จะนำส่วนที่เหลือไปแยกตรวจดูให้เสียเวลา”
ดัมเบิลดอร์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน สเนปเม้มปากน้อยๆ
“ครับท่านอาจารย์ใหญ่ เอ้อ…ถ้าไม่มีอะไรนอกจากนี่แล้ว ผมต้องขอตัว” 
“เชิญ” 
สเนปก้าวยาวๆหายเข้าไปในกองไฟอีกครั้ง
ดัมเบิลดอร์มองตามเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ของเขา
“ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นอีกก็คงจะดีสินะ”




Chapter 13: ความอ่อนโยนที่เพิ่งโหยหวน

มัลฟอยนั่งมองดูเฮอร์ไมโอนี่อ่านหนังสือในห้องสมุดอย่างเงียบๆ แม้เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในหอสลิธีรินจะเพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่กี่วัน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ให้ความสนใจกับมันเลยสักนิด เด็กชายได้แต่เฝ้าคอยแอบมองดูท่าทางของเฮอร์ไมโอนี่ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวัง หลังจากเหตุการณ์ที่ถูกกลุ่มแพนซี่ทำร้ายผ่านไป ดูเหมือนเฮอรืไมโอนี่จะได้รับคามทรงจำบางอย่างกลับคืนมาโดยที่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้สึกตัว เด็กสาวมองเขาอย่างเป็นมิตรขึ้น มีหลายครั้งที่เธอไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดกับเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง มัลฟอยนั่งเท้าคางมองดูกิริยาของเด็กสาวที่ก้มๆเงยๆอ่านหนังสือด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาขมวดคิ้วย่นทันทีเมื่อเห็นใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องสมุด

“เอ้อ….” เขาทำท่าลังเลใจเล็กน้อย เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ คุณครัม” เธอถามเขา ครัมมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจถาม

“ได้ยินว่าที่นี่มีการให้นักเรียนได้ไปพักผ่อนนอกสถานที่กันด้วย..”

“เธอคงหมายถึงฮอกมีต ใช่ไหม” เฮอร์ไมโอนี่พูด ครัมพยักหน้าน้อยๆ 

“คิดว่าพวกเธอน่าจะได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษนะ คงไม่ต้องใช้ลายเซ็นต์จากผู้ปกครองเหมือนพวกเราหรอก”

“คือ ผมไม่ได้มาถามคุณเรื่องนั้น” ครัมรีบพูด เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าสงสัยหนักขึ้น

“แล้วเธออยากจะถามอะไรกัน”

“คือผม..เอ่อ…” ครัมบีบมือตัวเองแรงๆราวกับกำลังเรียกความมั่นใจของตัวเองก่อนจะพูดช้าๆ

“ผมอยากจะชวน เอ้อ..ไม่ใช่ อยากจะขอให้คุณช่วยเป็นคนพาผมไป…เอ้อ” ครัมดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองไปในบัดดล เฮอร์ไมโอนี่มองดูอากัปกิริยาของเขาด้วยความฉงน

“อันที่จริงฉันเองก็มีคนที่จะไปด้วยกันแล้ว แต่ถ้าเธอต้องการคนนำทางล่ะก็ ฉันยินดี” เธอตอบ ครัมหน้าบานขึ้นทันทีต่างกับมัลฟอยที่หน้างอคิ้วขมวดย่นอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขากระแทกหนังสือลงบนโต๊ะก่อนจะเดนออกจากห้องสมุดไปอย่างเร็ว เฮอร์ไมโอนี่และครัมมองดูเขาด้วยความแปลกใจในท่าทางแต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

“ฉันนัดกับออโรร่าไว้ที่หน้าประตูปราสาท ราวๆ 10 โมง เธอก็ไปรอฉันตามเวลานั้นด้วยก็แล้วกัน ห้ามไปสายนะ” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดเพราะเหล่านักเรียนหญิงที่ตามหลังครัมมาไม่ห่างเริ่มทะยอยกันเข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับส่งเสียงเอะอะซึ่งแม้แต่มาดามพินซ์เองก็ยังจนปัญญาที่จะกล่าวห้าม 

“ฉันขอตัวก่อนนะ” เฮอร์ไมโอนี่รวบหนังสือของเธอไว้เต็มอ้อมแขนก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องสมุดอย่างรวดเร็วโดยมีครัมมองตามด้วยท่าทางเสียดาย

มัลฟอยเดินกระแทกเท้าไปตามทางระเบียงด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด ความรู้สึกที่เคยชื่นชม 

วิคเตอร์ ครัม มลายหายไปจากใจจนหมดสิ้น 

“เจ้าบ้าครัม กล้าดียังไงถึงได้มาวุ่นวายกับเกรนเจอร์แบบนี้” เขาพูดกับตัวเองอย่างหัวเสีย เมื่อถึงทางเลี้ยวหัวมุม มัลฟอยเดินสวนกับแพนซี่ พาร์กินสัน เธอผ่านเลยเขาไปอย่างไม่สนใจ มัลฟอยมองตามหลังเธออย่างสงสัยแต่ด้วยอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดอยู่กับวิคเตอร์ ครัม ทำให้เขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก 

และแล้ววันที่เหล่านักเรียนตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็มาถึง ฟีลซ์ยืนถือกระดาษรายชื่ออยู่ที่หน้าประตูปราสาทด้วยท่าทางดุดันเหมือนทุกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่ยืนคุยอยู่กับออโรร่าอย่างเพลิดเพลินโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกมองโดยคนสองคนที่มีความคิดแตกต่างกันไปคนละทาง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายยังคงฉาบอยู่บนริมฝีปากบางของเฮเดสขณะที่สายตายังคงจับแน่วนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ เขาเลื่อนสายตากลับไปมองดูมัลฟอยที่กำลังยืนแอบมองดูเธอด้วยสายตาที่ห่วงใยและอบอุ่นก่อนจะหันมาทางแพนซี่ ที่กำลังยืนตาลอยอยู่ข้างๆเขา 

“พวกเราก็ไปกันได้แล้ว พาร์กินสัน” เขาพูดเบาๆ เมื่อทั้งสองคนเดินผ่านฟีลซ์ ที่กำลังตวาดเด็กบ้านเรเวนคลอสองคนด้านหน้า เฮเดสทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไปเฉยๆ ฟีลซ์เรียกเขาไว้ทันที

“นั้นพวกแกจะไปไหนกัน ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลยนะ”

“พวกเราได้รับคำอนุญาตมาเรียบร้อยแล้ว” เฮเดสพูดเรียบๆ ฟีลซ์แยกเขี้ยว

“แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน” ภารโรงหน้าผีจ้องตาเฮเดสนิ่ง เขาทำท่าเหมือนกันไม่สนใจ

“ไม่ยักรู้ว่าคนระดับแกก็มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นด้วย” เฮเดสพูดนิ่มๆ นั่นทำให้ฟีลซ์แทบจะบีบคอเขาให้ตายคามือ

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เจ้านักเรียนต่างถิ่น ฉันมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะให้ หรือไม่ให้พวกแกไปที่นั่นได้” เขาตวาดเสียงดังลั่น เฮเดสหันหน้ามาประจันกับฟีลซ์ตรงๆ

“ลองทำดูสิ” เขาจ้องตาฟีลซ์แน่วนิ่ง ภารโรงไร้อำนาจจ้องเขากลับแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น ราวกับจิตใจกำลังตกลงไปในห้วงเหวไร้ก้นที่มืดสนิท ฟีลซ์ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสียงหอบหายใจดังฟืดฟาดก่อนจะก้าวถอยหลังห่างออกไป เขาก้มหน้ามองพื้นดินด้วยท่าทางที่หวาดกลัว

“ช…เชิญ” เขาพูดเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ใบหน้า เฮเดสยิ้มน้อยๆ

“ขอบใจ” เขาก้าวเดินออกจากประตูปราสาทไปโดยไม่สนใจสายตาของทุกๆคนที่มองดูอยู่อย่างนึกฉงน มัลฟอยเบะปากเล็กน้อย

“เจ้าตัวประหลาด” เขาพึมพำเบาๆ

ในบรรดาร้านขายของที่ฮอกมีตต่างคราคร่ำไปด้วยนักเรียนที่รุมล้อมแย่งกันซื้อของอย่างวุ่นวาย แน่นอนร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือร้านขายขนมฮันนี่ดุกซ์และร้านขายของเล่นพิสดารตามแต่จะนึกได้ ร้านซองโก้ และร้านขายเครื่องดื่มยอดนิยมตลอดกาล ร้านไม้กวาดสามอัน มัลฟอยเดินนำหน้าแครบและกอยล์เข้าไปในร้านซองโก้อย่างเซ็งๆก่อนจะหาทางหลีกเลี่ยงออกมา เขาตัดสินใจเดินไปที่ร้านไม้กวาดสามอัน สายตากวาดมองไปจนทั่วเพื่อค้นหาที่นั่งว่างๆ เขาพบมุมหนึ่งใต้บันได แม้จะไม่ค่อยชอบนักแต่มัลฟอยก็ตัดสินใจสั่งบัตเตอร์เบียร์ร้อนๆหนึ่งแก้วและเดินไปนั่งมองทุกคนเงียบๆ อารมณ์ที่กำลังหงุดหงิดอยู่แล้วเริ่มครุกรุ่นขึ้นมาอีกเมื่อเห็นคนสามสี่คนที่กำลังก้าวเข้ามาในร้าน เฮอร์ไมโอนี่รีบเดินไปจองที่นั่งไว้อย่างรวดเร็วและโบกมือเรียกเพื่อนทั้งสองของเธอที่เดินตามมาไม่ห่าง

“ทางนี้ แฮร์รี่ ออโรร่า” เธอรีบนั่งลงอย่างไม่สนใจสายตาของเพื่อนนักเรียนทุกคนที่ทำท่าจะเข้ามานั่งโต๊ะที่เธอจองไว้ แฮร์รี่พยักหน้าเป็นทำนองให้ออโรร่าเดินเข้าไปนั่งก่อน ส่วนเขาอาสาเดินไปสั่งบัตเตอร์เบียร์

“คนแน่นมากเลยนะ” ออโรร่าพูดเบาๆพลางมองไปรอบๆ สายตาหยุดชะงักที่มัลฟอย รอยยิ้มน้อยๆแต้มที่มุมปากก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่นราวกับไม่สนใจ 

“นานๆได้รับอนุญาตให้มาสักครั้งก็แบบนี้แหละ” เฮอร์ไมโอนี่พูด พลางลุกขึ้นรับแก้วบัตเตอร์เบียร์ที่แฮร์รี่ประคองเดินเข้ามาหา แฮร์รี่ยกแก้วบัตเตอร์เบียร์ขึ้นดื่มด้วยท่าทางปลอดโปร่งและสบายใจ เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้กับเขาก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่มบ้าง

“ดูเหมือนว่าความสุขของพวกเรากำลังจะมลายไปแล้วนะ” ออโรร่าพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าราวกับถาม 

ออโรร่าจึงส่งสายตาไปยังใครบางคนที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเขาพร้อมรอยยิ้มที่น่ารังเกียจ

“ริต้า สกีตเตอร์ ยายแมลงวันที่น่ารำคาญ” เฮอร์ไมโอนี่บ่น แฮร์รี่ยกแก้วบัตเตอร์เบียร์ขึ้นจิบติดๆกันสามครั้ง

“ว่าไงจ๊ะ ตัวแทนคนที่สอง” เสียงริต้าร้องทัก แฮรืรี่ทำเป็นไม่ได้ยินจนเธอต้องพูดซ้ำอีกครั้ง

“เมื่อไหร่เธอจะเลิกยุ่งกับพวกเราเสียที ริต้า” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นอย่างรำคาญ ริต้ามองดูเธอราวกับเห็นของประหลาด

“นั่นมันขึ้นอยู่กับพวกเธอด้วยว่าพวกเธอจะให้ความร่วมมือกับฉันแค่ไหน” ริต้าเปิดกระเป๋าถือของเธอ ปากกาจดทันใจขยับไปมาราวกับพร้อมที่จะเขียน

“ออกมาพักผ่อนก่อนการแข่งขันครั้งต่อไปอย่างนั้นหรือ” เธอถามแฮร์รี่ เขาไม่ตอบ ริต้าจึงเปลี่ยนเป็นมองดู

เฮอร์ไมโอนี่และออโรร่าสลับกันก่อนจะพูดช้าๆ

“หรือออกมาเที่ยวกับหวานใจ คนไหนกันล่ะ” เธอมองดูเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสายตารังเกียจก่อนจะจ้องดูออโรร่าด้วยท่าทางสนอกสนใจ

“สาวน้อยผมดำสลวยท่าทางเป็นผู้ใหญ่” เธอพูดเรื่อยๆ แฮร์รี่มองดูนึกอย่างรำคาญ

“ผมก็แค่มาเที่ยวตามกฏของโรงเรียนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับใคร” เขาตอบห้วนๆ แต่ริต้ากลับยิ้มแสยะ

“เธอชื่ออะไรหรือ แม่สาวน้อย”

“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตอบ” ออโรร่าพูดเสียงเรียบ ริต้าเบิกตาโต

“ตายจริง ไม่ต้องก็ได้เพราะฉันคงจะรู้ได้ด้วยตัวเองในเวลาไม่นาน” เธอหัวเราะเสียงแหลม ปากกาจดทันใจของเธอลากไปบนกระดาษ แฮร์รี่เหลือบดูอย่างอยากรู้

“สาวน้อยหน้าตาสะสวย เรือนผมที่ดำขลับรับกังดวงตาสีเดียวกันที่แสนจะงดงาม หวานใจคนใหม่ของพ่อหนุ่มน้อย แฮร์รี่ พอตเตอร์….”

“เฮ้..” แฮร์รี่ร้องออกมาเบาๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูริต้าที่กำลังส่งสายตาราวกับท้าทายมายังเขา

“ไม่เป็นไรหรอกแฮร์รี่” ออโรร่าพูดเรื่อยๆ “มันไม่มีทางได้ลงพิมพ์ที่ไหนหรอก”

“แหม พูดยังกับพ่อแม่เธอมีอิทธิพลมากมายพอที่จะยับยั้งฉันอย่างนั้นเลยนะ” ริต้าหัวเราะอย่างท้าทาย ออโรร่าไม่ตอบอะไร เธอยกแก้วบัตเตอร์เบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น

“ฉันขอตัวไปเดินเล่นข้างนอกก่อนนะ ไม่อยากเห็นหน้าคนแถวๆนี้” เธอทำท่าจะเดินออกไป ริต้ากลับดึงข้อมือเธอเอาไว้

“เธอคิดว่าตัวเองแน่มากจากไหนแม่สาวน้อย เคยคิดบ้างไหมว่าฉันสามารถสร้างหรือทำลายคนได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืนน่ะ” ริต้าบีบข้อมือออโรร่าแน่น เธอหันมายิ้มเย็นเยือก

“สำหรับคนอื่นน่ะอาจจะใช่ แต่กับฉัน…” เธอจ้องเข้าไปในดวงตาของริต้า “เธอไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นได้หรอก 

ริต้า สกีตเตอร์” ดวงตาสีดำสนิทของออโรร่ามองลึกเข้าไปในดวงตาของริต้า ราวกับจ้องมองดูกระแสน้ำวนที่ใจกลางทะเลสาบลึก ริต้ารู้สึกเหมือนวิญญาณของตัวเองกำลังถูกดูดหายเข้าไปในนั้น ความมืดที่เย็นจัดแผ่ออกมาครอบคลุมไปทั่วทั้งตัวของเธอจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน มือที่กำลังบีบข้อมือของออโรร่าคลายออกโดยที่เธอไม่รู้ตัว ออโรร่ายิ้ม

“ต้องขอตัวก่อนนะ” เธอมองผ่านสมุดบันทึกของริต้า ข้อความเมื่อครู่ลบเลือนหายไปจนหมดสิ้น ปากกาจดทันใจนอนกลิ้งอยู่ราวกับไร้พลัง แฮร์รี่จ้องมองดูอย่างฉงน

“ฉันไปด้วย ออโรร่า” เฮอร์ไมโอนี่รีบลุกขึ้นและเดินตามหลังออโอร่าไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ริต้านั่งงงงวยอยู่กับ

แฮร์รี่และรอน

“เธอทำได้ยังไงกันน่ะ ออโรร่า” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น ออโรร่าเลิกคิ้วน้อยๆขณะที่กำลังมองดูขนมฟิซซิ่งวิสปี้ในขวดโหลกำลังลอยขึ้นๆลงๆ

“ฉันทำอะไร” เธอย้อนถาม เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วน้อยๆ

“ลบตัวหนังสือในสมุดบันทึกของยายริต้า และยังจ้องหน้ายายนั่นจนหน้าซีดแบบนั้น”

“แค่คาถาลบทุกสิ่ง วิชาศาสตร์มืดจากโรงเรียนเก่าทั้งนั้นไม่มีอะไรแปลกหรอก” ออโรร่าตอบเรื่อยๆก่อนจะหันมามองหน้าเฮอร์ไมโอนี่

“เธอมีนัดกับวิคเตอร์ ครัม ไม่ใช่หรือ”

“อ๊ะ ใช่ ตายจริงฉันลืมไปเสียสนิทเลย” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าวุ่นวายใจจนออโรxxxึกขำ

“เขาเดินมาโน่นแล้ว ไม่ต้องวิตกไปหรอก รับรองได้เลยว่าเขาจะไม่โกรธเธอด้วย” ออโรร่าพูดพลางชี้มือไปที่ขนมสีขาวนวลที่วางตั้งเรียงรายกันเป็นแถว

“ฉันขอเจ้านี่หนึ่งชุด”

“มาชเมลโล่บ๊อกการ์ตหนึ่งชุดมีสามลูกนะครับคุณหนู” เสียงคนขายอธิบายด้วยกิริยาที่สุภาพ ออโรร่าพยักหน้าเชิงรับรู้ เธอมองตามมือคนขายที่กำลังบรรจงหยิบขนมก้อนกลมสีขาวนวลใส่ลงไปในกล่องสีหวานด้วยสายตาที่ยากแก่การเดาก่อนจะเหลือบสายตามองผ่านไหล่เออร์ไมโอนี่ออกไปนอกร้าน 

“เอ้อ…” ครัมเดินมาหยุดที่เด็กสาวทั้งสองก่อนจะทำท่าเขินๆ ออโรร่ายิ้ม

“ฉันต้องขอตัวก่อนนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจะอยู่ด้วยก็ได้” ครัมรีบพูดขึ้น 

“แต่ถ้าจะไปที่ร้านไม้กวาดสามอันแล้วล่ะก็ ฉันเพิ่งออกมาจากที่นั่นนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด ครัมพยักหน้า

“ผมเห็นแล้วครับ” เขาตอบเฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าเหรอหรา

“คือผมตามคุณมาน่ะครับ เอ้อ…….คือผมไม่อยากเข้าไปกวนคุณกับเพื่อนๆเมื่อตอนอยู่ที่โรงเรียน”

“เธอเลยรอจนฉันปลีกตัวออกมาจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ” เฮอร์ไมโอนี่ทำเสียงสูง ครัมพยักหน้า

“เหลือเชื่อเลย เธอนี่” 

“ครับ” ครัมรับคำด้วยใบหน้าเขินๆ จนเฮอร์ไมโอนี่นึกขำ ดูเขาไม่เหมือนกับนักกีฬาควิดดิชยอดซีกเกอร์มือหนึ่งที่โด่งดังคนนั้นเลยสักนิด 

“ตกลงเธอสองคนจะยืนคุยกันอยู่แบบนี้หรือ เฮอร์ไมโอนี่” ออโรร่าถามเพื่อนสาวของเธอ 

“เอ้อ จริงสิ” เฮอร์ไมโอนี่ทำท่านึกขึ้นได้ 

“คงต้องกลับไปที่ร้านไม้กวาดสามอันอีกครั้งแล้วล่ะ” เธอพูดพลางคิดถึงใบหน้าของริต้าที่กำลังทำท่าแสยะยิ้มมองดูเธอราวกับหมาเห็นเหยื่ออันโอชะ แต่ดูเหมือนครัมจะเข้าใจ

“พวกเราเดินกันไปคุยกันไปก็ได้นี่ครับ” เขาเกาหลังคอตัวเอง “เพราะผมเองคงไม่มีเวลามากนัก คาร์คารอฟไม่ชอบที่ผมออกมาที่นี่”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ”

“เรื่องเรียนก็ได้ครับ ผมเห็นคุณชอบเข้าไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดบ่อยๆคงจะรู้อะไมากมาย”

“คุณเห็น….” เฮอร์ไมโอนี่ทำตาโตอย่างนำไม่ถึงว่าคนอย่างครัมจะเข้าห้องสมุดเพียงเพื่อติดตามมองดูเธอ เขาหัวเราะเก้อๆขณะที่ทั้งสามคนเดินคุยไปด้วยกัน และเมื่อทั้งหมดเดินผ่านร้านซองโก้ เฮอรืไมโอนี่หยุดและหันมาทางครัม

“เธอจะเข้าไปในนั้นก็ได้นะ” เด็กสาวบอกกับเขาแต่ครัมส่ายหน้า

“ผมไม่ค่อยสนใจของเด็กเล่นแบบนี้” 

“เธอทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง เขามีความคิดที่แตกต่างจากเธอมากเลย” เฮอร์ไมโอนี่บอกครัมเมื่อเธอนึกถึงหน้าของรอนเวลาที่เดินผ่านร้านซองโก้ ออโรร่ามองไปรอบๆตัวด้วยกิริยาท่าทางที่ไม่สนใจอะไรแต่แล้วสายตาต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นใครบางคนกำลังเดินออกมาจากร้านขายของเล่นยอดนิยม

“แย่จริง” เธอบ่นเบาๆก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่ ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะเห็นเขาเช่นเดียวกัน เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มัลฟอยเดินตรงรี่เข้ามาคนทั้งสามอย่างจงใจ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอกับเธอเลยนะ เกรนเจอร์” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ดวงตาจ้องนิ่งอย่างเคืองขุ่นไปทางครัม 

“ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในสถานที่แบบนี้ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยน้ำเสียงหยันๆก่อนจะหันไปพูดกับครัม

“เราไปอื่นกันดีกว่า ครัม”

“จะหนีอย่างนั้นหรือ” มัลฟอยรีบพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก

“มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องหนีเธอด้วย มัลฟอย” เธอถามเสียงขุ่น มัลฟอยยิ้ม

“ความจริงไง” เขาพูด เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วทันที

“ความจริงอะไร”

“ความจริงที่เธอมีนัดกับผู้เข้าแข่งขันไตรภาคีถึงสองคนในวันเดียว ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าพวกที่ผ่านการคัดเลือกจะมีรสนิยมไม่เข้าท่าแบบนี้” รอยยิ้มเหยียดเยาะแต่งบนริมฝีปากบาง เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากเป็นเส้นตรง

“น่าจะรวมถึงนายด้วย” ออโร่าพูดพึมพำเบาๆ มัลฟอยหันขวับไปมองดูเธอทันที

“อย่ายุ่ง” เขาพูดเบาๆ ออโรร่าแอบอมยิ้มเล็กน้อย 

“ถ้านายไม่มีธุระอะไร ฉันต้องขอตัว มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น มัลฟอยหันไปมองดูเธอคิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย

“ฉันไม่ได้มีธุระอะไรกับเธอ เกรนเจอร์ แต่เป็นเขา” มัลฟอยพยักหน้าไปทางครัม เขาทำหน้าสงสัย

“ผม” เขาชี้มือที่หน้าอกของตัวเอง “คุณมีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ”

“ก็ไม่เชิง” มัลฟอยตอบ “แต่อาจารย์ของนาย คาร์คารอฟน่ะ เขาบอกว่าให้นายรีบกลับไปที่พักเดี๋ยวนี้”

ครัมทำสีหน้างงสุดขีดเมื่อได้ยินเช่นนั้น 

“ก็บอกแล้วว่าขอเวลาสักสามสี่ชั่วโมง” เขาบ่นเบาๆก่อนจะหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อน ไม่อยากทำให้เขาไม่พอใจน่ะ” ครัมทำท่าทางเสียใจขณะที่พูด เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มให้กับเขา

“ไม่เป็นไร เธอยังอยู่ที่ฮอกวอตอีกนาน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาก็ได้” ครัมพยักหน้าก่อนจะหันไปทางมัลฟอย

“คุณจะกลับไปด้วยกันไหม มัลฟอย”

“เขาเป็นอาจารย์ของนาย ไม่ใช่อาจารย์ของฉัน” มัลฟอยตอบหยิ่งๆ ครัมนิ่งเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป 

เฮอร์ไมโอนี่มองตามหลังเขาก่อนจะหันไปทางออโรร่า

“เราไปกันเถอะ”

“จะรีบไปไหนกัน เกรนเจอร์” มัลฟอยพูดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ชะงัก

“มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องอยู่ตรงนี้”

“ฉันไง” มัลฟอยตอบขึ้นมาลอยๆ เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากค้างก่อนจะหัวเราะฝืนๆ

“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างนายก็รู้จักการพูดตลก” เธอทำเสียงเยาะๆ มัลฟอยหน้าแดงเล็กน้อย

“ฉันไม่ได้พูดตลก” เขาพูดเสียงเข้ม “และไม่เคยชอบการพูดล้อเล่นกับใครด้วย คิดว่าเธอคงจะรู้”

“ฉันไม่ได้สนิทกับนายจนถึงขั้นที่จะรู้ใจถึงขนาดนั้น มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างไว้ท่า มัลฟอยมองตาเธอนิ่ง

“แน่ใจอย่างนั้นหรือ” เขาพูดขรึมๆแต่ดวงตาทั้งคู่ยังคงจ้องมองดูเธอจนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกอึดอัด

“นายต้องการอะไร” เธอพูดออกมาในที่สุด มัลฟอยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

“เที่ยวกับฉัน” เขาตอบสั้นๆ เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง และโดยที่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกมา มัลฟอยก็รีบเอื้อมมือมาจับข้อมือของเธอแล้วดึงให้ออกเดินไปด้วยกันกับเขา เฮอร์ไมโอนี่รั้งตัวฝืนไว้

“นายกำลังวางแผนอะไรกันอีก มัลฟอย” เธอถามเสียงดัง มัลฟอยหันหน้ากลับมาตอบด้วยท่าทางกวนๆ

“เปล่า แค่อยากชวนเธอไปเที่ยวเท่านั้น หรือว่าเธออาย” 

“นั่นควรจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่านะ มัลฟอย นายไม่อายหรือไงที่มาเดินคู่กับฉันน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ย้อนถาม ดูเหมือนทั้งคู่จะลืมออโรร่าที่เดินตามหลังมาไม่ห่าง

“ฉันไม่เคยอายถ้าได้เดินโดยมีเธอเคียงข้าง” มัลฟอยตอบด้วยหน้าตาที่จริงจังจนเฮอร์ไมโอนี่อึ้ง

“ว่ายังไง กล้าพอที่จะเดินไปกับฉันหรือเปล่า”

“ทำไมฉันจะต้องกลัวด้วยล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเร็วๆแล้วยกมือขึ้นปิดปากอย่างนึกขึ้นได้ มัลฟอยยิ้มกว้าง

“ถือว่าตอบตกลง” เขากระชับมือที่จับมือของเฮอร์ไมโอนี่ให้แน่นเข้าก่อนจะเริ่มเดินช้าๆ

“เราจะไปที่ไหนกันก่อนดีล่ะ เกรนเจอร์”

“เพิงโหยหวนเป็นไง” เฮอร์ไมโอนี่พูดประชด มัลฟอยหัวเราะ

“ไม่เลว ที่นั่นเงียบดี เหมาะแก่การสร้างความทรงจำที่ดีๆมาก” เขาหรี่ตามองเฮอร์ไมโอนี่อย่างมีความหมาย เธอหน้าแดงขึ้นมาทันที

“ความทรงจำที่ดีอะไรกัน ฉันไม่เคยมีความทรงจำดีๆกับนายเลยสักครั้ง” เธอพูดเสียงโกรธๆ มัลฟอยนิ่งเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

“นั่นมันเป็นเพราะเธอไม่พยายามที่จะนึกมันให้ได้ต่างหาก เกรนเจอร์” เขามองตรงออกไปข้างหน้า เฮอร์ไมโอนี่มองดูกิริยาของเขาอย่างงงๆ

“เธอยังเก็บที่ติดผมอันนั้นไว้อยู่หรือเปล่า เกรนเจอร์” จู่ๆมัลฟอยก็หันมาถาม เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า เขาทำสีหน้าราวกับประหลาดใจ

“คิดว่าเธอจะโยนมันทิ้งไปเสียอีก”

“ฉัน…..” เธอเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองเช่นเดียวกันที่ไม่โยนที่ติดผมอันนั้นทิ้งทั้งๆที่ตั้งใจที่จะทำแบบนั้นไว้หลายครั้ง 

“มันเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นของชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ฉันมอบให้กับเธอ” มัลฟอยพูดเหมือนกำลังเล่า เฮอร์ไมโอนี่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“หวังว่าสักวันเธอคงจะคิดออกและจำมันได้ เกรนเจอร์” มัลฟอยหยุดเท้าที่กำลังก้าวเดิน ตอนนี้ทั้งคู่ยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้าไปในเพิงโหยหวน รอบๆข้างเงียบเหงาไร้ผู้คน เฮอร์ไมโอนี่มองไปรอบๆอย่างระวัง

“ฉัน…ว่าพวกเราควรรีบกลับไปจะดีกว่านะ” เธอพูดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมและกำไม้กายสิทธิ์ไว้แน่น มัลฟอยมองดูกิริยาของเธออย่างขำๆ

“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า เกรนเจอร์ ถึงอยากจะทำใจจะขาดก็ตามที” เขาพูดด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง 

เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากน้อยๆ

“สงสัยเพื่อนของเธอคงจะเห็นด้วยที่เธอมากับฉันแบบนี้” มัลฟอยพูดเรื่อยๆเมื่อเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่นิ่ง เด็กสาวสะดุ้งเบาๆเมื่อนึกขึ้นได้ว่าออโรร่าไม่ได้เดินตามเธอมาด้วย เด็กสาวมีสีหน้าหวาดวิตกมากขึ้นอีก

“กลัวฉันอย่างนั้นหรือ” มัลฟอยถามยิ้มๆ มือที่มีผิวซีดเซียวเอื้อมมาหาเธอ เฮอร์ไมโอนี่ถอยหลังออกไปสองสามก้าว

“นายกำลังคิดจะทำอะไร” เธอถามเสียงสั่น มัลฟอยยักไหล่เบาๆ

“แค่คิดถึงวันเก่าๆขึ้นมาเท่านั้น” เขาหดมือกลับอย่างเสียดาย สายลมที่เยือกเย็นพัดมาปะทะร่างของเด็กทั้งสอง เฮอร์ไมโอนี่ห่อตัวเล็กน้อยด้วยความหนาว มัลฟอยมองดูเธอก่อนจะสะบัดผ้าคลุมของเขาออกคลุมร่างของ

เฮอร์ไมโอนี่ไว้และกอดเธอเบาๆ เด็กสาวสะบัดตัวออกอย่างเร็ว

“นาย!"

"เดี๋ยวก็หนาวตายหรอก อยู่นิ่งๆ” มัลฟอยพูดเสียงดุๆ เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจมากที่ตัวของเธอยอมหยุดอยู่นิ่งๆตามที่มัลฟอยสั่ง เขาโอบแขนกอดรอบตัวของเธอไว้ด้วยท่าทางทะนุถนอม ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายและดวงใจ 

“มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่เรียกชายหนุ่มเสียงแผ่ว ภาพบางอย่างที่เลือนรางไหลเข้ามาในความทรงจำ ภาพของมัลฟอยในชุดพ่อมดโบราณที่ดูรุ่มร่ามกำลังประคองกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ดวงตาสีซีดที่มองดูเธอนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและห่วงใย ภาพนั้นซ้อนทับอยู่กับร่างของมัลฟอยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในเวลานี้

“ฉันรักเธอ เฮอร์ไมโอนี่” คำพูดที่ดังแผ่วมากับสายลมที่ดูเหมือนจะไกลแสนไกล เฮอร์ไมโอนี่ปล่อยมือจากไม้กายสิทธิ์ของเธอและค่อยๆดันหน้าอกของมัลฟอยเบาๆ

“ปล่อยฉัน มัลฟอย” เธอพูดเสียงเบาแต่ดูเหมือนมัลฟอยจะทำเป็นหูทวนลม เขามองหน้าเธอแน่วนิ่ง

“ไม่” เสียงตอบปฏิเสธดังออกมาจากปากเรียวซีด เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่กำลังรดใบหน้าของเธอ มันค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มือที่พยายามผลักมัลฟอยให้ออกห่างกลับไร้เรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ เฮอร์ไมโอนี่ระบายลมหายใจแรงๆเมื่อมัลฟอยบดริมฝีปากของเขาเบาๆกับริมฝีปากของเธอ ราวกับหิวโหย ราวกับห่างหาย ราวกับเหินห่างมานานแสนนาน รสสัมผัสที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตกใจเลยแม้สักน้อย ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกคุ้นเคยและโหยหาราวกับว่าเธอได้ลืมเลือนมันไปนานแสนนาน มือทั้งสองข้างค่อยๆยกขึ้นโอบรอบคอของมัลฟอยและกดให้แนบลงมาอีก เสียงครางเบาๆดังออกมาจากเด็กชายราวกับพึงพอใจ เขาค่อยๆถอนริมฝีปากของเขาออกดวงตาสีซีดจ้องมองดูเฮอร์ไมโอนี่แน่วนิ่ง

“ทำไมถึงไม่ขัดขืน” เขาถามเสียงนุ่ม เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับอึ้งอย่างไม่เข้าใจในตัวเอง มัลฟอยลูบผมของเธอเบาๆ

“สักวันหนึ่งเธอจะต้องจำมันได้ทั้งหมด เกรนเจอร์ สิ่งสำคัญที่เธอลืมเลือนมันไป ฉันเชื่อว่าเธอไม่มีวันที่จะลืมมันได้ลงจริงๆแน่นอน”

เสียงย่ำหิมะดังใกล้เข้ามา มัลฟอยผละออกจากเฮอร์ไมโอนี่ด้วยท่าทางตกใจ เฮเดสกำลังเดินตรงมายังพวกเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยต่างกับออโรร่าที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างออกนอกหน้า

“พี่ชายของฉันเขาออกมาตามเธอทั้งสองคน เขาบอกว่านี่มันเป็นเวลาที่จะต้องกลับแล้ว” ออโรร่ารีบพูดขึ้น 

เฮเดสตวัดสายตามองดูน้องของเขาก่อนจะส่งยิ้มให้กับเฮอร์ไมโอนี่

“คงไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรใช่ไหม เฮอร์ไมโอนี่” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ เด็กสาวยืนนิ่งเฉยก่อนจะตอบเบาๆ

“ก็ ไม่มีอะไรนี่ ฉันกำลังจะกลับพอดี” เธอรีบส่งผ้าคลุมคืนให้กับมัลฟอยและเดินไปหาออโรร่า เฮเดสมองตามด้วยดวงตาที่อ่านไม่ออก มัลฟอยจ้องเขาไม่วางตา

“แกต้องการอะไร” เขาถามห้วนๆ เฮเดสเลิกคิ้วสูง

“คุณถามอะไรแปลกๆนะ มัลฟอย ผมบอกแล้วไงว่าออกมาตามคุณทั้งสองให้รีบกลับ”

“ฉันรู้เวลาและรู้ทางกลับ ขอบใจ” มัลฟอยตอบก่อนจะสะบัดผ้าคลุมเดินจากไปด้วยท่าทางฮึดฮัด เฮเดสหัวเราะเบาๆ 

“พวกเราก็ไปกันเถอะ เฮอร์ไมโอนี่” ออโรร่ารีบชิงพูดขึ้นทันทีราวกับจะกลัวว่าพี่ชายของเธอจะแย่งตัวเฮอร์ไมโอนี่ไป เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า

“ฉันไปก่อนนะพี่ชาย” ออโรร่าหันมาพูดกับพี่ชายของเธอ และโดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวรีบดันหลังเฮอร์ไมโอนี่ให้รีบออกเดินไปพร้อมๆกับเธอในทันที เฮเดสมองดูน้องสาวของเขาด้วยสีหน้ามึนตึง

“เธอไม่มีวันขัดขวางฉันได้ตลอดหรอก ออโรร่าน้องสาวที่รัก”

 


Chapter 14: ความรู้สึกของปิศาจ

เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับเข้าปราสาทด้วยจิตใจที่สับสนและไม่เข้าใจ เธอคิดว่าเธอเกลียดเดรโก มัลฟอย แต่ความรู้สึกนั้นกลับไม่ใช่ เด็กสาวขมวดคิ้วย่นอย่างใช้ความคิด ออโรร่ามองดูเธอราวกับจะรู้ 

“กำลังคิดถึงมัลฟอยอยู่อย่างนั้นเหรอ” 

“ทำไมฉันจะต้องไปคิดถึงคนแบบนั้ด้วย” เฮอร์ไมโอนี่สวนขึ้นมาแทบจะทันที เธอมองหน้าเพื่อนอย่างขัดใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ “มีอะไรน่าขำอย่างนั้นหรือ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ออโรร่าพยายามกลั้นหัวเราะ “จริงสิ ฉันซื้อขนมมาหลายอันอยู่ตัวคนเดียวในห้องคงทานไม่หมดแน่ๆ” ออโรร่าส่งห่อขนมให้กับเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวรับมันมาถือไว้ในมือก่อนจะเปิดออกดู

“ทำไมมันมากมายแบบนี้ล่ะ ออโรร่า ฉันกินมันไม่หมดหรอก” เฮอร์ไมโอนี่พยายามส่งถุงขนมกลับคืนให้กับ

ออโรร่า เธอส่ายหน้า 

“คิดว่าคงพอสำหรับเธอทั้งสามคนน่ะ” เธอพูดยิ้มๆ เฮอร์ไมโอนี่นึกถึงแฮร์รี่แลรอนขึ้นมา สีหน้ามีแววกังวลเล็กน้อย

“คิดว่าพวกเขาคงไม่มานั่งกินด้วยกันเหมือนเคยหรอก”

“แต่เขาทั้งสองก็ยังพูดคุยกับเธออยู่ไม่ใช่หรือ” ออโรร่าถามเบาๆพลางดึงกล่องขนมมาร์ชเมลโลบ๊อกการ์ตออกมาถือไว้ในมือและเปิดออกก่อนจะส่งให้กับเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวหยิบมันออกมาถือไว้หนึ่งชิ้น ออโรร่ายิ้มในหน้า

“ฉันต้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อ้อ สิ่งที่ฝังอยู่ในใจของเธอและความวิตกกังวลที่กำลังคิดอยู่น่ะ ตอนนี้มันอยู่ในมือของเธอแล้วล่ะเฮอร์ไมโอนี่” เด็กสาวก้าวขายาวๆเดินจากไปในทันทีที่พูดจบ เฮอร์ไมโอนี่มองตามอย่างงงๆ

“สิ่งที่ฉันกำลังวิตกกังวล อยู่ในมือของฉันแล้วในตอนนี้อย่างนั้นหรือ” เธอทวนคำพูดเบาๆก่อนจะยกขนมก้อนกลมสีขาวนวลขึ้นมามองดู มันกำลังขยับไหวตัวเป็นลอนคลื่นและเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างช้าๆ ค่อยๆกลายเป็นรูปร่างคล้ายๆครึ่งลำตัวท่อนบนของคนคนหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่มองดูอย่างพิศวง ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อก้อนขนมแปรสภาพของมันเองอย่างเสร็จสมบูรณ์ มือที่ถือมันอยู่สั่นระริกน้อยๆ คำพูดของคนขายที่ได้เคยพูดไว้กับเธอเมื่อปีก่อนดังแว่วเข้ามาในความคิด

“ขนมมาร์ชเมลโล่ บ๊อกการ์ต มันจะค่อยๆกลายเป็นคนหรือสิ่งที่เรารักและอยากได้มากที่สุดในเวลาสั้นๆก่อนจะสลายตัวกลายเป็นขนมอีกครั้ง”

“เป็นไปไม่ได้ นี่คือความคิดของเราในเวลานี้อย่างนั้นหรือ” เฮอร์ไมโอนี่ครางออกมาเบาๆเมื่อจ้องมองดูสภาพของขนมอีกครั้ง ร่างลำตัวครึ่งบนของเด็กชายผมสีบลอนด์ที่มีแววตาอบอุ่น แววตาที่เธอไม่เคยได้เห็นยามเมื่อพบกับเขาตรงๆ

“เดรโก มัลฟอย”

ออโรร่าเดินไปตามระเบียงด้วยท่าทางสบายใจ เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้นข้างๆตัว เฮเดสที่ไม่ทราบว่าปรากฏตัวขึ้นเมื่อใดกำลังเดินเคียงข้างอยู่กับเธอ ออโรร่าขมวดคิ้วน้อยๆทันที

“ฉันกำลังสบายใจนะพี่” เธอพูดกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงเบาๆ เฮเดสยิ้มมุมปาก

“จับแม่สาวผมฟูนั่นส่งเข้าปากเจ้าเลือดบริสุทธิ์ได้สำเร็จ คือเรื่องที่เธอกำลังสบายใจอยู่อย่างนั้นสิ” เขาพูดราวประชด ออโรร่ายิ้ม

“ทำนองนั้น แต่แค่วางไว้ข้างหน้าเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นส่งเข้าปากหรอก พี่ชายที่รัก” เธอหันไปมองดูพี่ชายของเธอด้วยแววตาล้อเลียน เฮเดสหน้าบูดบึ้งขึ้นมาทันที

“เธอ ทำเหมือนต้องการจะขัดขวางฉันนะ น้องสาวที่น่ารัก” เขาพูดเสียงต่ำ ออโรร่าพยักหน้ารับ

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ พี่ชาย เพียงแต่ไม่อยากจะใช้คำว่าขัดขวาง เรียกว่าห้ามการกระทำของพี่ทางอ้อมจะดีกว่านะ”

“เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น น้องสาวที่รัก” เฮเดสพูดเสียงขุ่น ออโรร่ายักไหล่

“น้องสาวที่ดีย่อมไม่อยากเห็นพี่ชายที่รักของตัวเองทำอะไรที่ร้ายกาจกับคนอื่นหรอก พี่เฮเดส” 

“ฉัน ทำอะไรที่ร้ายกาจอย่างนั้นหรือ” เฮเดสสวนคำถามขึ้นมาทันที ออโรร่าหยุดชะงักการเดินละหันมาประจันหน้ากับพี่ชายของเธอ ดวงตาสีดำสนิทประสานกับตาที่นิ่งเรียบของเขาแน่วนิ่งอย่างไม่กลัวเกรง

“สิ่งที่พี่ทำ และกำลังจะทำ พี่ชายที่รัก ฉันรู้ดีว่าถ้าในอีกสองวันนี้หากพี่ยังหาโอกาสเพิ่มจำนวนยาลบความจำให้กับเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้ ความทรงจำที่ถูกบดบังทั้งหมดจะกลับคืนมาทันที และแผนการที่พี่กำลังวางเอาไว้ก็จะล้มเหลวทั้งหมด ใช่หรือไม่ พี่ชายสุดที่รักของฉัน” ดวงหน้าที่เผือดขาวแต่งดงามจ้องมองดูใบหน้าที่เริ่มมีแววขุ่นเคืองอย่างท้าทาย เฮเดสบีบมือตัวเองแน่น

“อย่ามาขัดขวางฉัน ออโรร่า น้องสาวที่รัก” เขาค่อยๆคลายมือที่กำแน่นออกและเอื้อมมาบีบไหล่ของออโรร่าแทน 

“อย่าคิดว่าเป็นน้องแล้วพี่จะไม่ทำอะไรนะ ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาขัดขวางแผนการของพี่ พี่สาบานว่าจะทำลายมันให้หมดทุกคน”

“แม้ว่าคนคนนั้นคือน้องสาวของพี่อย่างนั้นหรือ” ออโรร่าย้อนถาม เฮเดสเม้มปากแน่น เขาคลายมือที่กำลังบีบไหล่ออโรร่าออกอย่างช้าๆ

“ชีวิตของฉัน มีคนที่รักเพียงคนเดียว นั่นก็คือเธอ ออโรร่า คนที่ฉันบูชาคือเลดี้แห่งทะเลสาบ นอกเหนือจากนั้นแล้ว” เขาจ้องหน้าออโรxxxิ่ง

“ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ฉันจะทำลายมันให้หมด”

“ฉันไม่มีวันยอมให้พี่แปดเปื้อนหรอก พี่ชาย” ออโรร่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เธอยกมือขึ้นลูบแก้มของ

เฮเดสด้วยท่าทางที่อ่อนโยน 

“ฉันเข้าใจความรู้สึกของพี่ แต่ได้โปรดอย่าให้ความอาฆาตขุ่นเคืองเมื่อครั้งอดีตมาทำลายชีวิตของเราทั้งสองคนเลย พี่ชายที่รักของฉัน” 

เฮเดสหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะปัดมือน้องสาวของเขาออก ห่อขนมที่เธอถือไว้ในมืออีกข้างหลุดตกลงพื้น ขนมหลายชิ้นหกกระจายออกมาด้านนอก ออโรร่ามองดูด้วยท่าทางเสียใจ 

“พี่ขอโทษ” เฮเดสกล่าวขึ้นเบาๆเมื่อเห็นท่าทางที่เศร้าสร้อยของน้องสาวของเขาก่อนจะโบกมือไปมา ขนมหลายชิ้นเลื่อนตัวเองกลับเข้าไปในห่อกระดาษ ออโรร่าก้มลงหยิบมันขึ้นมา มาร์ชเมลโล่ชิ้นหนึ่งกลิ้งออกมาจากห่ออีกครั้ง เฮเดสเอื้อมมือเข้าไปคว้ามันไว้ได้ทันก่อนที่จะตกลงพื้น เขายื่นมันส่งให้กับน้องสาว เธอทำท่าจะรับแต่ต้องชะงัก

“เป็นอะไรไป” เฮเดสถาม ออโรร่ายิ้มน้อยๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูพี่ชายของเธอ

“ฉันคิดว่า นอกจากฉันแล้ว พี่คงเริ่มที่จะมีความรักต่อคนอื่นแล้วล่ะ พี่เฮเดส” เธอแตะหลังมือของเฮเดสเบาๆก่อนจะเดินจากไป เฮเดสมองตามหลังเธออย่างไม่เข้าใจก่อนจะก้มลงมองดูขนมในมือของตัวเอง มันได้กลายสภาพไปเรียบร้อยและเสร็จสมบูร์แล้ว ดวงตาสีดำที่เย็นชาตลอดเวลาเบิกกว้างอย่างตกใจ มือที่กำลังถือมาร์ชเมลโล่ไว้สั่นระริกน้อยๆ

“เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีวันที่จะตกอยู่ในสภาพนั้นเป็นอันขาด” เฮเดสพูดกับตัวเองก่อนจะบีบมือของตัวเองแน่น ขนมสีขาวนวลไหลเยิ้มออกมาตามร่องนิ้วและหยดลงบนพื้น บางหยดยังคงมีสีน้ำตาลเข้มของสิ่งที่มันเพิ่งกลายสภาพไปอยู่ สีน้ำตาลเข้มที่หยักเป็นลอนคลื่นเหมือนเส้นผมของใครบางคน เฮเดสใช้เท้าขยี้ลบมันทิ้งทันที

“ฉันไม่ได้มีใจให้กับใคร และไม่มีวัน!" เฮเดสคำรามเบาๆในลำคอ

และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อก็มาถึง วันแข่งขันไตรภาคีรอบแรก เด็กทุกคนต่างพากันเดินเรียงแถวเข้าไปนั่งประจำที่ของตัวด้วยอาการที่ตื่นเต้น เสียงพูดคุยดังจ่อกแจ่กจนอาจารย์ประจำบ้านต้องส่งเสียงห้ามหลายครั้ง แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ได้ผลเพราะหลังจากนั้นเพียงสองสามนาที เสียงพูดคุยที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังระงมขึ้นมาอีก

“เข้าไปรออยู่ในนั้นก่อนนะ พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลซึ่งเดินนำเข้ามาส่งในเต็นท์ที่ตัวแทนอื่นๆรออยู่ก่อนจะเดินจากไป แฮร์รี่กำลังรู้สึกเหมือนตัวเองมีอาการทางประสาทไม่แพ้ครัมที่ยืนนิ่งทำสีหน้าเคร่งเครียด หรือเซดริกที่กำลังเดินกลับไปกลับมาด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เสียงลูโด แบ็กแมนร้องทักทายเขา

“ไง เข้ามาสิ” เขาแกว่งถุงผ้าไหมสีม่วงไปมาก่อนจะเริ่มอธิบายเร็วๆ

“ภาระกิจแรกที่พวกเธอจะต้องทำก็คือ การเก็บไข่ทองคำ จากมังกรที่พวกเธอได้เลือกด้วยตัวเอง” เขาเปิดถุงผ้าไหมสีม่วงออก

“เชิญสุภาพสตรีก่อน” เขาพูดกับ เฟลอ เดอลากูที่ในตอนนี้แทบไม่เหลือความหยิ่งผยองอยู่เลย เธอล้วงมือลงไปหยิบรูปจำลองมังกรเล็กๆออกมาหนึ่งตัว

“พันธุ์เวลสีเขียว เหมาะมากสำหรับสุภาพสตรี” แบ็กแมนพูดติดตลกซึ่งแฮร์รี่คิดว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด เขาส่งถุผ้าไหมให้กับตัวแทนทุกๆคนจนครบ แฮร์รี่มองดูมัลการตัวจิ๋วในมือของเขา ‘ฮังการีหางหนาม’ แฮร์รี่กลืนน้ำลายลงคอติดๆกันหลายครั้ง ‘ดุร้ายและอันตรายที่สุด’ เสียงแฮกริดแว่วเข้ามาในความคิด

"ทีนี้ก็ได้เวลาล่ะ ฉันเห็นทีจะต้องขอตัวไปก่อน โชคดีทุกคน” แบ็นแมนก้าวพรวดออกไปจากห้องทันทีที่พูดจบ แฮร์รี่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เสียงประกาศเรียกชื่อเซดริกดังขึ้น เขาเดินออกจากเต็นท์ไปด้วยใบหน้าซีดเซียว

แฮร์รี่นั่งฟังเสียงร้องอุทานอย่างตื่นเต้นดังไม่ขาดระยะ จนกระทั่งแบ็กแมนตะโกนเสียงลั่น

“ดีมาก ทีนี้เรามาดูคะแนนกัน”

แฮร์รี่ไม่ได้ยินเสียงขานคะแนน นั่นหมายถึงพวกเขาคงใช้วิธีแสดงตัวเลขให้ผู้ชมดูมากกว่า เสียงประกาศเรียกชื่อดังขึ้นอีกครั้ง เฟลอ เดอลากูร์เดินตัวสั่นออกไป เสีงแบ็กแมนบรรยายอย่างตื่นเต้นตลอดเวลาบห้านาทีจนในที่สุด 

“เชิญ วิคเตอร์ ครัม” 

ครัมเดินค้อมหลังออกไป แฮร์รี่นั่งนิ่งเงียบอยู่คนเดียว ร่างกายสั่นเต้นกระตุกตามจังหวาะการเต้นของหัวใจ เหงื่อไหลซึมออกมาจนเปียกชุ่มมือทั้งสองข้าง แฮร์รี่เช็ดมันอย่างเร็วๆกับกางเกงของเขา เสียงคนโห่ร้องพร้อมกับปรบมือ แฮร์รี่ลุกขึ้นยืนทันที

“เชิญตัวแทนคนสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์” แบ็กแมนลากเสียงชื่อเขาเล็กน้อย แฮร์รี่ก้าวออกจากเต็นท์และเดินตรงไปที่คอกมังกรตัวโตที่มีหนามเต็มแผ่นหลัง ปีกขยับไหวไปมาเล้กน้อยในขณะที่ดวงตาสีเหลืองซีดจ้องมองดูเขานิ่งไม่วางตา แฮร์รี่สูดลมหายใจเข้ลึกๆก่อนจะยกไม้กายสิทธิ์ของเขาขึ้น

“ไฟร์โบลด์……….” เสียงหวีดหวิดดุจวัตถุเล็กๆดังแหวกอากาศพุ่งตรเข้ามาหาแฮร์รี่ เขาตกใจสุดขีดเมื่อไม้กายสิทธิ์หลุดจากมือร่วงลงสู่พื้น มังกรขยับตัวเคลื่อนไหวและพุ่งโจมตีเขาทันที แฮรืรี่กลิ้งตัวหลบเปลวไฟที่ออกมาจากปากของมัน พื้นหญ้าไหม้เกรียมเป็นทาง

“แฮร์รี่!" เสียงรอนร้องตะโกนขึ้น แฮร์รี่เหลือบตามองดูเพื่อนของเขาแว่บหนึ่ง สีหน้าที่เขาปรารถนาจะได้เห็นมาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาปรากฏอยู่บนหน้าของรอน สีหน้าแห่งความห่วงใยในตัวเพื่อนอย่างแท้จริง กำลังใจถาโถมเข้าสู่ร่าง แฮร์รี่วิ่งเข้าไปหยิบไม้กายสิทธิ์ที่นอนนิ่งอยุ่บนพื้นอย่างรวดเร็วและชูมันขึ้น

“ไฟโบลด์ แอ็กซีโอ!" เขาตะโกนก้อง

เสียงหัวใจที่เต้นจนแทบระเบิดออกมานอกอกระหว่างที่รอคอย เพียงเสี้ยวเวลาสั้นๆแต่มันช่างดูยาวนานเสียเหลือเกินสำหรับเขา และแล้วเสียงวตถุพุ่งผ่านอากาศดังขึ้นด้านหลัง เขาหมุนตัวหันไปมอง ไม้กวาดพุ่งตรงดิ่งมาหาเข้าและหยุดนิ่งราวกัรอคอย แฮร์รี่เหวี่ยงขาขึ้นขี่ไม้กวาดและถีบเท้าพาตัวให้ลอยขึ้นจากพื้นทันที ความรู้สึกที่หลั่งไหลเข้ามาช่างปลดโปร่งราวกับว่ากำลังอยู่ในสนามแข่งควิดดิช สายลมที่ไปลผ่านใบหน้า เสียงโห่ร้องและพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง แฮรืรี่หมุนตัวตีเป็นวงเลี้ยวอ้อมกลับมาหามังกรอีกครั้ง สายตาจ้องนิ่งที่ไข่ทองคำภายในรังของมังกรร้าย มันร้องคำรามอย่างโกรธจัดเมื่อแฮร์รี่พุ่งตัวทิ้งดิ่งลงไปหาแล้วเชิดหัวขึ้นทันที เจ้ามังกรร้ายไล่งับอากาศอย่างโกรธเกรี้ยว เปลวไฟดวงมหึมาพุ่งไล่หลังเขาราวกับลูกบลัดเจอร์ แฮร์รี่ม้วนตัวหลบ ก่อนจะทิ้งตัวดิ่งลงอีกครั้ง แสงสีฟ้าพุ่งวาบออกมาจากทางด้านคนดู เสียงร้องตโกนของศาสตราจารย์มักกอนนากัลดังขึ้นอย่างขุ่นเคืองขณะที่มองหาผู้ร่ายคาถา แม้ไม่โดนแฮร์รี่จังๆแต่มันก็ทำให้เขาเสียหลักเล็กน้อย เจ้ามังกรร้ายตวัดข่วนไหล่ของเขาจนเสื้อคลุมขาดเป็นทาง

แฮร์รี่บินสูงขึ้นไปอีกครั้ง เจ้ามังกรยืดตัวขึ้นไล่งับตามอย่างดุดัน มันกางปีกออกและยืดตัวสูงขึ้นไปอีก แฮร์รี่ลอยชะงักกลาอากาศก่อนจะหักเลี้ยวทิ้งดิ่งลงสู่พื้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เสียงโซ่ที่ยึดมังกรไว้ดังลั่น ขาข้างหนึ่งของมันหลุดจากการจองจำ เจ้ามังกรบิดลำตัวข้างที่เป็นอิสระและม้วนตัวเขาหาแฮร์รี่ทันที ฟันที่คมกริบไล่ตามหลังเขาไม่ห่าง เสียงผ้าคลุมสะบัดตีกับอากาศเมื่อเขาเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีกและพุ่งตรงไปยังรังไข่ของมังกร เพียงชั่วพริบตาเดียวที่เขาลอยผ่าน ไข่ทองคำก็อยู่ในอ้อมแขนและลอยหนีออกห่างจากเจ้ามังกรร้ายอย่างรวดเร็ว เสียงโห่ร้องดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว 

“ยอดไปเลย พอตเตอร์” แบ็กแมนตะโกนก้อง “ตัวแทนอายุน้อยที่สุด ทำเวลาได้น้อยที่สุดอีกด้วย!"

"เยี่ยมไปเลย พอตเตอร์” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลร้องบอกเขาด้วยสีหน้าที่ชื่นชมต่างกับสเนปที่จ้องเขาราวกับเสียดายที่ไม่ได้เห็นเขาถูกมังกรฉีกเป็นชื้นๆตรงหน้า

“เธอทำได้ แฮร์รี่ เธอทำได้” แฮกริดร้องพลางเช็ดน้ำตาราวกับเด็กๆ

”ไปทำแผลก่อน” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดขัดขึ้นก่อนจะเดินนำเขาไปยังเต็นท์พยาบาลที่มดามพอมพรีย์กำลังยืนรอด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

“มังกร!" เธอพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจก่อนจะลงมือเทน้ำยาสีม่วงลงบนแผลของแฮร์รี่ เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาภายใน เฮอร์ไมโอนี่นั่นเอง มีรอนตามมาติดๆ

“แฮร์รี่ เธอนี่แน่จริงๆเลย!" เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงแหลม แฮร์รี่มองดูรอนที่มีสีหน้าขาวซีดและกำลังจ้องมองดูเขาเช่นกัน

“แฮร์รี่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใครก็ตามที่ใส่ชื่อนายลงไปในถ้วยอัคนี ฉันคิดว่าเขากำลังพยายามที่จะ ฆ่านาย!"

"เข้าใจแล้วสิ” แฮร์รี่พูดเรื่อยๆ รอนพยักหน้าเฮอร์ไมโอนี่ร้องไห้ออกมาดังๆพลางกระทืบเท้าก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนทั้งสองและวิ่งออกไป 

“ไม่เข้าท่าเลย มีคนจ้องจะทำร้ายนายระหว่างที่นายกำลังบินรอบๆเจ้ามังกรนั่นด้วย” รอนบอก แฮร์รี่ทำตาโต

“บังเอิญหรือเปล่า”

“ไม่ใช่แน่นอน ครั้งแรกมันพยายามขัดขวางไม่ให้นายใช่คาถาเรียกของ ครั้งที่สองตอนที่นายกำลังบินวนรอบๆเจ้ามังกรนั่น นายถึงได้แผลนี่มาไง” รอนอธิบาย

“ครั้งที่สาม โซ่ล่ามเจ้ามังกรหางหนามนั่นขาด ชาลีเข้าไปตรวจดูแล้วบอกว่ามีคนใช้คาถาตัดมัน แต่ไม่ทันเวลา นายเก็บไข่นั่นได้เสียก่อน”

“นายคิดว่าใครเป็นคนทำกัน” แฮร์รี่ถาม รอนทำท่าคิด

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เขาตอบเบาๆ แฮร์รี่ทำท่านึกขึ้นมาได้

“มัลฟอยหรือเปล่า”

“ตอนแรกฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่ชาลีบอกว่าคาถาที่ใช้ตัดโซ่นั่นน่ะ ต้องเป็นคาถาที่ผู้ใช้มีความชำนาญและเป็นคาถาขั้นสูง เพราะโซ่ที่มัดเจ้ามังกรนั่นน่ะ ต้องร่ายคาถากำกับไว้ด้วย อย่างเจ้ามัลฟอยนั่นน่ะ ไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นได้หรอก” รอนทำท่านึกขึ้นได้ เขาฟาดกำปั้นลงบนมือของตัวเอง

“ฉันรู่ล่ะ เจ้าคนที่ชื่อคาร์คารอฟนั่นแน่ๆ มันไม่พอใจมากที่นายทำคะแนนไได้ดีกว่าครัม ดูหมอนั่นให้คะแนนนายสิ”

“ฉันคิดว่าไม่น่าจะใช่เขาหรอกนะ อย่าลืมสิว่าเขานั่งแถวหน้าสุด ไม่มีทางที่จะทำอะไรแบบนั้นได้โดยที่ไม่มีใครเห็นแน่ๆ” แฮร์รี่ให้เหตุผล รอนนิ่งทันที

“จะเป็นมครก็ตาม ฉันคิดว่าต่อไปนี้นายจะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะ แฮร์รี่”

“ขอบใจ รอน” แฮร์รี่ตอบเพื่อนของเขาด้วยใบหน้าที่สดชื่น ความเป็นห่วงเป็นใของรอนที่มีต่อเขาทำให้แฮร์รี่รู้สึกว่าไม่วิตกกังวลกับเหตุการณ์ร้ายใดๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกต่อไป

เฮอร์ไมโอนี่เดินตามหลังเฮเดสเข้าไปในป่าต้องห้ามไปอย่างเงียบๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว เขาชะงักและหมุนตัวกลับมาทันที

“มีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือ เฮอร์ไมโอนี่” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพแต่ดวงตากลับฉายแววไม่เป็นมิตร เฮอร์ไมโอนี่ยืนลังเลก่อนจะตอบ

“นายทำแบบนั้นทำไมกัน” เธอถามห้วนๆ เฮเดสเลิกคิ้วน้อยๆ

“ผมทำอะไร” เขาย้อนถาม 

“ฉันเห็นนะว่านายร่ายคาถาขัดขวางแฮร์รี่ทั้งสามครั้ง” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ เฮเดสชะงักเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ

“ทำไมผมจะต้องทำอะไรแบบนั้นด้วย ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องไปจ้องทำร้ายพอตเตอร์เลยสักนิด”

“นายคือพวกเลือดบริสุทธิ์ นั่นก็เป็นเหตุผลที่ฟังดูเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ เฮเดสหัวเราะหึๆใน

ลำคอ

“นั่นมันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระมากสำหรับผม ผมไม่สนใจเรื่องเลือดบริสุทธิ์หรือเลือดสีโคลนอะไรนั่นหรอก 

เฮอร์ไมโอนี่ ไม่สนใจเลยแม้สักนิด” เฮเดสพูดเสียงเนิบๆแต่ค่อยๆก้าวเข้ามาเด็กสาวอย่างช้าๆ เฮอร์ไมโอนี่ยกไม้กายสิทธิ์ของเธอขึ้นชี้ไปตรงหน้าเฮเดสทันที

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ เฮเดส ถ้าขืนนายขยับใกล้เข้ามาอีกนิ้วเดียว ฉันจะร่ายคาถากรีดแทง” เฮอร์ไมโอนี่ขู่ 

เฮเดสกลับหัวเราะ

“คาถากรีดแทง คนอย่างเธอนี่นะจะใช้คาถาแบบนั้น อย่าพูดให้ผมขำดีกว่า เฮอร์ไมโอนี่” เขาหยุดนิ่งและหัวเราะ เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง

“ฉันไม่ชอบการพูดเล่น” เธอพูดอย่างโกรธก่อนจะสะบัดไม้กายสิทธิ์ของเธอ แสงสีเขียวพุ่งวาบเข้าใส่ร่างของ

เฮเดส แรงกระแทกของมันทำให้ร่างสูงของชายหนุ่มลอยละลิ่วไปกระแทกกับต้นไม้ เขาทรุดตัวลงนั่งกองนิ่งอยู่กับพื้น เฮอร์ไมโอนี่ลดไม้กายสิทธิ์ในมือของเธอลงด้วยท่าทางตกใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เธอรีบวิ่งเข้าไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง สองมือไล่สำรวจไปบนร่างกายของชายหนุ่มอย่างเร็ว มือข้างหนึ่งของเฮเดสยกขึ้นมาจับแขนของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ ของเหลวสีเขียวไหลซึมออกมาทางต้นคอของเขา เด็กสาวมองดูอย่างตื่นตกใจ

“นี่มันอะไรกันน่ะ” เธอพยายามดึงข้อมือของตัวเองให้หลุดจากเขา เฮเดสลืมตาขึ้นและยิ้มอย่างน่ากลัว

“คิดว่าคาถากระจอกแบบนี้จะทำอะไรฉันได้หือ เฮอร์ไมโอนี่” เขาลุกขึ้นยืนและกระชากแขนของเฮอร์ไมโอนี่ให้ลุกขึ้นตาม 

“ที่เธอทำได้ก็แค่บาดแผลเล็กๆนี่เท่านั้น” เขาชี้มืออีกข้างไปที่ต้นคอ เฮอร์ไมโอนี่มองตามอย่างตระหนก

“ถ้าอย่างนั้น ไอ้ของเหลวสีเขียวๆนี่ก็คือ……”

“เลือดของฉันยังไงล่ะ น่าแปลกใจใช่ไหม” เฮเดสพูดเสียงต่ำ ความหวาดกลัวจู่โจมเข้าไปในจิตใจของเฮอร์ไมโอนี่ เธอดิ้นรนอย่างแรง

“ปล่อยฉัน ปิศาจ!" เธอร้อง เฮเดสทำท่าประหลาดใจ

“ทำไมไม่เรียกฉันว่าตัวประหลาดเหมือนทุกคนล่ะ เฮอร์ไมโอนี่ เรียกแบบนั้นฟังดูน่าชื่นใจกว่านะ” เขาดึงร่างของเธอเข้าหาตัวและจ้องนิ่งเข้าไปดวงตาสีน้ำตาลที่เบิกโพลง

“จะทำให้เธอเป็นแบบพาร์กินสันดี” เขายิ้มดวงตานิ่งสนิท “หรือจะล้างสมองเธอแบบเดิมดีนะ” เฮเดสมองดูใบหน้าที่หวาดหวั่นของเด็กสาวในอ้อมแขน ร่างบอบบางสั่นระริกด้วยความกลัว

“ท่าทางอวดดีเมื่อครู่หายไปไหนหมด” เขาเยาะ รอยยิ้มคลายลงเมื่อเห็นน้ำตาใสๆไหลอาบลงมาบนแก้มทั้งสองข้าง

“นายเป็นใครกันแน่ เฮเดส และนายต้องการอะไร” เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงสั่น เฮเดสเม้มปากนิ่ง

“ฉันต้องการทำลายชื่อเสียงของเจ้าพอตเตอร์ และพ่อมดทุกๆคนในโลกใบนี้” เขาตอบเสียงแผ่ว เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดเผือด

“ทำไม”

“เพื่อการกลับมาของโวลเดอร์มอร์” เขาตอบเสียงเรียบ แม้จะหวาดกลัวแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเขาเรียกชื่อเจ้าแห่งศาสตร์มืดด้วยท่าทางไม่กลัวเกรงเหมือนเช่นคนอื่น

“ที่แท้นายคือพวกผู้เสพความตาย” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงแข็ง เฮเดสส่ายหน้า

“ฉันไม่โง่พอที่จะทำตัวแบบนั้นหรอก เฮอร์ไมโอนี่ ฉันเกลียดเจ้าพ่อมดชั่วนั่นพอๆกับโลกพ่อมดนี่” เขามองไปรอบๆ เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้างงงัน

“แล้วนายต้องการให้เขากลับมาเพื่ออะไรกัน”

“เพื่อมองดูเขาทำลายคนทุกคนในโลกนี้น่ะสิ” เฮเดสตอบด้วยใบหน้าที่น่ากลัว เฮอร์ไมโอนี่ดึงข้อมือของตัวเองเบาๆ เขากลับบีบมันแน่นขึ้นอีก

“จะยกเว้นไว้สักคนก็ได้” เขาพูดพลางจ้องหน้าเด็กสาวในอ้อมแขน เฮอร์ไมโอนี่อึ้งกับคำพูดของเขา 

“แต่เธอต้องลืมมันให้หมดไปจากหัวใจเสียก่อน” เขาปล่อยมือข้างหนึ่งและเอื้อมลงหยิบขวดแก้วเจียระไนใบเล็กขึ้นมา น้ำยาสีฟ้าใสส่งประกายสะท้อนแวววาว เด็กสาวมองดูอย่างตื่นตกใจ

“เธอจำมันได้ ใช่ไหมเฮอร์ไมโอนี่ ความจำที่หายไปมันค่อยๆเริ่มกลับคืนมาแล้วไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงเจือแววเยาะหยัน เฮอร์ไมโอนี่หน้าเสียเธอพยายามดึงข้อมืออีกข้างให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขา แต่เฮเดสกลับบีบมันแน่นขึ้นไปอีก

“แย่งเธอมาจากเจ้านั่น ทั้งกายและใจ แล้วปล่อยให้มันคุ้มคลั่งทำลายทุกคนในที่นี้ เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยใช่ไหม” เฮเดสถาม เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้า

“เลวมากต่างหาก!" เธอตะโกนเสียงดังลั่น “ปล่อยฉันนะเฮเดส”

“ปล่อยน่ะปล่อยแน่ แต่หลังจากนี้นะ” เขาเปิดจุกขวดออกและจรดมันบนริมฝีปากของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ดิ้นรนอย่างเต็มที่ 

“ไม่”

เธอสะบัดตัวสุดแรงเกิด ขวดแก้วเจียระไนหลุดจากมือของเฮเดสตกลงบนพื้น น้ำยาสีฟ้าใสไหลเรื่อยออกจากขวดและซึมหายเข้าไปในพื้นดิน เฮเดสร้องออกมาอย่างหัวเสียก่อนจะกระชากร่างของเธอมาเขย่า

“ดูสิว่าเธอทำอะไรลงไป!" เขาตวาดและจ้องหน้าของเธอนิ่ง เฮอร์ไมโอนี่ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัวและตกใจ

“ปล่อยฉัน ได้โปรด” เธอสะอื้นจนตัวสั่น เฮเดสเม้มปากตัวเองแน่น แล้วจู่ๆเขาก็รั้งร่างของเด็กสาวเข้ามาหาและก้มหน้าลงจูบเธอ ดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่เบิกกว้าง

“อย่า” น้ำเสียงดังอู้อี้รอดออกมา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจฟัง เขาบดริมฝีปากของตัวเองกับเธออย่างรุนแรงราวกับต้องการระบายความโกรธ ร่างในอ้อมแขนสั่นสะท้านเรี่ยวแรงค่อยๆเหือดหายไปทีละน้อย 

“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ เจ้าตัวประหลาด!" 

เสียงที่เต็มไปด้วยโทสะตวาดดังขึ้น เฮเดสชะงักและเงยหน้าขึ้นยิ้ม

“มาได้เวลาพอดีเลย มัลฟอย” เขากอดกระชับร่างที่อ่อนระโหยให้แนบกับอกอย่างท้าทาย มัลฟอยขบกรามตัวเองแน่น

“ปล่อยเกรนเจอร์เดี๋ยวนี้ ไทม์คีปเปอร์” เขาพูดเสียงกร้าว เฮเดสหัวเราะ

“เธอสำคัญมากสินะ” เขาหยุดก่อนจะส่งสายตาวาวราวกับท้าทาย “เข้ามาแย่งคืนกลับไปสิ มัลฟอย!"

มัลฟอยแทบอยากจะกระโดดเข้าไปหักคอเฮเดสในบัดเดี๋ยวนั้น เขากำมือของตัวเองแน่นก่อนจะดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ตรงไปยังผู้ที่กำลังยืนยิ้มเยาะตรงหน้า

“แน่ใจหรือว่านายจะไวพอน่ะ” เฮเดสถามมือข้างหนึ่งเลื่อนไปกำรอบลำคอของเฮอร์ไมโอนี่แล้วเริ่มต้นบีบเบาๆ เธอสะดุ้งเล็กน้อย

“วางไม้นั่นลงดีกว่า มัลฟอย นายก็รู้ว่าฉันไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้ในการร่ายคาถา นายสู้ฉันไม่ได้หรอก” เขามองดูอีกใบหน้าที่เริ่มมีสีเข้มขึ้นเพราะความโกรธ ไม้ในมือสั่นระริก

“ปล่อยเกรนเจอร์ เดี๋ยวนี้!" มัลฟอยพูดเน้นทีละคำ ดวงตาสีซีดจ้องนิ่ง เฮเดสทำหน้าฉงน

“นายต้องการให้ฉันหักคอยายนี่จริงอย่างนั้นหรือ”

“ถ้าเธอตาย แกตายด้วย” มัลฟอยคำราม เฮเดสหัวเราะ

“แกไม่มีทางฆ่าฉันได้หรอก ไม่มีทาง” เขาเยาะ มัลฟอยกลับยิ้มเย็นเยือก

“ลืมไปแล้วหรือว่าฉันเคยไปอยู่กับใครมาก่อน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เฮเดสนิ่งงัน 

“ไม่มีคาถาใดในโลก ฆ่า ฉันได้หรอก มัลฟอย” เขาพูด แต่มัลฟอยส่ายหน้า

“มีคาถาอยู่บทหนึ่ง ไทม์คีปเปอร์ คาถาที่ต้องใช้พลังวิญญาณทั้งหมดของผู้ร่าย คาถาที่ใช้กำจัดความชั่วร้ายเพียงอย่างเดียว” เขาพูดเรื่อยๆแต่จริงจัง เฮเดสเริ่มมีท่าทางลังเลใจ

“ไม่มีใครเคยเรียนคาถานั้นไดสำเร็จ”

“บังเอิญที่ฉันเคยใช้มันอย่างได้ผลมาแล้วครั้งหนึ่ง ไทม์คีปเปอร์” มัลฟอยตอบ “หรือนายต้องการจะทดสอบมันก็ได้นะ” เขาขยับไม้อย่างตั้งใจ เฮเดสคลายมือที่บีบรอยคอเฮอร์ไมโอนี่ออก

“ถ้านายใช้คาถามนั่น นายอาจจะตายได้นะมัลฟอย” เขาขู่ เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆเผยอเปลือกตาลืมขึ้นช้าๆอย่างมึนงง เด็กสาวรู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเสียงมัลฟอยกำลังหัวเราะ

“นายคงไม่มีคนที่จะสละชีวิตให้สินะ คนที่นายรักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด รักจนยอมแม้แต่จะมอบลมหายใจเฮือกสุดท้ายให้” มัลฟอยพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเวทนา เฮเดสกัดฟันแน่น เขามองดูเฮอร์ไมโอนี่ในอ้อมแขน เสียงย่ำใบไม้เดินเข้ามาใกล้ๆ

“ปล่อยเธอไปเถอะ พี่ชาย” ออโรร่าพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงแหบเครือ เฮเดสมองดูน้องสาวของตัวเอง

“มันไม่จบลงแค่นี้หรอก มัลฟอย” เขาปล่อยร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลงบนพื้นก่อนจะเดินกลับไปหาน้องสาวของเขา

“ฉันจะเอาเธอกลับไปด้วย หลังจากทำลายทุกคนที่นี่จนหมด” เฮเดสดึงแขนของน้องสาวและเดินหายเข้าไปในป่าต้องห้าม มัลฟอยรีบวิ่งเข้าไปดูเฮอร์ไมโอนี่ที่นอนนิ่งทันทีด้วยความเป็นห่วง

“เกรนเจอร์” เขาประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมา เฮอร์ไมโอนี่ลืมตามองดูเขา

“มัลฟอย” เสียงเรียกแหบแห้ง มัลฟอยกอดเธอไว้แนบอกทันที

“เธอพูดจริงๆหรือ” เฮอร์ไมโอนี่กระซิบถามข้างหูของเขา มัลฟอยทำหน้าสงสัย เด็กสาวจึงถามต่อ

“ที่ว่ารักจนยอมมอบแม้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายน่ะ”

“ฉันพูดจริง” เขาตอบแล้วชะงักอย่างนึกขึ้นได้ มัลฟอยมองหน้าเด็กสาวด้วยความดีใจ

“เธอ จำได้แล้ว!" เขาร้องออกมาอย่างดีใจ เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าน้อยๆ

“มันเหมือนกับว่าหมอกในหัวของฉันจางหายไปจนหมดน่ะ จู่ๆความจำทุกอย่างที่ลืมไปทั้งหมด ก็กลับคืนมา” เธอมองหน้ามัลฟอย 

“ทุกอย่าง มัลฟอย” เธอยิ้มให้กับเขา มัลฟอยประคองหน้าของเธอไว้อย่างเบามือแล้วค่อยๆเช็ดคราบน้ำตาและเศษผงที่ติดแก้มของเธอออก

“วิเศษที่สุด” เขาพูด “วิเศษยิ่งกว่าได้แกล้งเจ้าพอตเตอร์เสียอีก”

“เธอว่าอะไรนะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นทันที มัลฟอยกลับส่ายหน้า

“ช่างเถอะ เธอบาดเจ็บเราไปห้องพยาบาลกันดีกว่า” มัลฟอยประคองร่างของเฮอร์ไมโอนี่ให้ลุกขึ้นและพากลับเข้าไปในปราสาท โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาที่คมกริบจ้องมองเขาอย่างประสงค์ร้ายอยู่ในป่าเบื้องหลัง

“ต้องทำลายมัน เจ้าพวกทรยศ และเลือดสีโคลน เพื่อเจ้าแห่งศาสตร์มืดที่เคารพของข้า”





Chapter 15: คู่เต้นรำที่พลิกผัน

มาดามพอมพรีย์ทำหน้ายุ่งเมื่อเห็นบาดแผลของเด็กทั้งสองคนเธอบ่นพลางทำแผลไปพลางแต่ไม่ได้
ซักถามสาเหตุหรือที่มาของบาดแผลที่ทั้งสองได้รับ คำพูดที่เธอเอ่ยกับเด็กทั้งสองคนก่อนจะยอม
ปล่อยออกมาจากห้องพยาบาลคือ ดื่มยาให้หมดถ้วยและรีบเข้านอน

มัลฟอยเดินไปตามทางระเบียงเรื่อยๆต่างกับเฮอร์ไมโอนี่ที่พยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
 เธอหันมามองมัลฟอยด้วยสายตาดุๆหลายครั้งแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจจนในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่
ต้องพูดขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิด

“นายจะช่วยเร่งฝีเท้าให้มันเร็วขึ้นอีกสักนิดไม่ได้หรือยังไงกัน มัลฟอย”

“หอนอนไม่หนีพวกเราไปไหนหรอกน่า เกรนเจอร์” มัลฟอยตอบอย่างสบายอารมณ์สายตา
ที่มองดูเธอแวววาวอย่างท้าทายและยั่วอารมณ์จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาวูบหนึ่ง

“ฉันรู้” เธอตอบอย่างสะกดกลั้นความโกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมา “แต่ฟีลซ์ไม่คิดแบบนั้นแน่ๆ 
“ เธอระบายลมหายใจแรงๆ “ป่านนี้แฮร์รี่กับรอนคงกลับไปที่หอกันหมดแล้ว” ประโยค
หลังเธอบ่นเบาๆกับตัวเอง มัลฟอยรู้สึกหัวเสียขึ้นมาในบัดดล

“อ้อ ที่เร่งฉันเพราะกลัวว่าเพื่อนสุดที่รักของเธอจะต้องคอยนานสินะ
 เชอะ ป่านนี้พวกมันคงนั่งฉลองชัยกันสนุกสนานไปแล้ว ไม่มีใครมานั่งคิดถึงเธอหรอก เกรนเจอร์” 
มัลฟอยพูดประชด เฮอร์ไมโอนี่หน้าแดง

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย” เธอโต้เขา “แฮร์รี่กับรอนไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”

“อ้อ เหรอ แล้วใครกันที่มักจะเป็นฝ่ายเดินตามพวกเขา ใครกันที่มักจะโดนค่อนขอด
 ใครกันที่มักจะโดนปล่อยทิ้งเอาไว้คนเดียวเสมอๆ มครกันที่นั่งคิดวิตกถึงความปลอดภัยของคนอื่น
ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เคสนใจแม้แต่จะถามไถ่เลยสักคำ” มัลฟอยพูดยาวเหยียดก่อนจะหยุดหอบหายใจ 
เฮอร์ไมโอนี่นิ่งงันอย่างตกใจ

“เธอ รู้”

“ฉันรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอ เกรนเจอร์ รู้ทุกอย่าง” เขาพูดเสียงขุ่น “แต่เจ้าเพื่อนรักของเธอกลับ
ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเธอเลย แล้วดูสิในหัวใจของเธอกลับมีแต่พวกมัน!" เขาหน้างอง้ำ
ใบหน้าสีชมพูจางๆอย่างโกรธระคนน้อยใจ เฮอร์ไมโอนี่ก้มหน้านิ่ง

“ฉัน…….” เธอพูดเบาๆ มัลฟอยเอียงหน้าน้อยๆขณะที่จ้องมองดูเธอก่อนจะค่อยๆยกมือ
ขึ้นลูบพวงแก้มใสเบาๆ

“ฉันพอใจที่ได้มองดูเธอเสมอ เกรนเจอร์แม้ว่าเธอไม่เคยสนใจที่จะหันกลับมามองดูฉันบ้าง
เลยสักครั้งก็ตาม” ดวงตาสีซีดจ้องมองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลใสที่จ้องมองกลับ 

“มัลฟอย”

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” มัลฟอยพูดเสียงแผ่ว “ฉันพอใจที่เธอเป็นแบบนั้น 
และยินดีที่ได้เฝ้ามองเธออยู่แบบนี้ แม้จะไม่สามารถป่าวประกาศให้คนทั้งโลกได้รับรู้ถึงความรู้
สึกของฉันที่มีต่อเธอได้ก็ตามที” เขาลูบริมฝีปากสีชมพูของเธอเบาๆก่อนจะค่อยๆ
ประทับรอยจูบที่แสนอบอุ่นของเขาลงไป เฮอร์ไมโอนี่เขย่งตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นกอดเขาไว้

“อย่าเพิ่งรับปากเป็นคู่เต้นรำกับใครนะ” มัลฟอยกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเธอ
 เฮฮร์ไมโอนี่หน้าแดงขณะที่มองดูเขาอย่างไม่เชื่อหูของตัวเอง

“ได้” เธอรับคำเสียงแผ่ว มัลฟอยยิ้มกว้างก่อนจะคลายอ้อมแขนของเขาออก

“ถึงทางแยกของเราทั้งสองคนแล้ว” เขาพูดเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงบันไดทางแยกขึ้นไปยังหอกริฟฟิน
ดอร์และบันไดลงไปที่หอสลิธีรินชั้นใต้ดิน เฮอร์ไมโอนี่เดินช้าๆไปที่ขั้นบันได

“แต่มันก็มีทางบรรจบร่วมกันไม่ใช่หรือ” เธอหันกลับมาพูดกับมัลฟอยพลางส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนให้ 
มัลฟอยยิ้มน้อยๆรับก่อนจะเดินกลับไปที่หอนอนของเขา เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจหนักๆก่อนจะขึ้น
บันไดและตรงไปยังหอนอนของเธอแม้จะทุกข์อยู่เต็มอกแต่ก็เต็มไปด้วยความอิ่มใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นวิชาที่นักเรียนทุกคนรู้สึกอยากจะเดินหนีคือวิชาสัตว์วิเศษ 
แฮกริดมีความคิดที่แสนเยี่ยมยอดใหม่ขึ้นมาแต่มันเป้นความคิดที่ไม่เข้าท่าที่สุดสำหรับแฮร์รี่และ
นักเรียนทุกๆคน 

“ฉันว่าพวกเธอน่าจะลองเอาพวกมันเข้าไปใส่ในกล่องนี่แล้วคอยสังเกตุดูว่าพวกมันชอบไหม”
 เขาชี้มือไปที่กล่องไม้ใบมหึมาที่แฮกริดยกออกมาตั้งไว้กลางลานกว้าง ทุกใบมีเบาะหนาหนุ่มและ
หมอนใบโตรวมทั้งผ้าห่มปูไว้

“เหมาะมากสำหรับที่จะเผาพวกมันทั้งเป็นในนั้น” มัลฟอยเปรยขึ้น แครบและกอยล์ส่งเสียงหัว
เราะออกมาดังๆ เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่รู้สึกว่าเขามีความคิดที่เหมือนกับมัลฟอย 

“ไม่คิดหรือว่าหมอนกับผ้าห่มพวกนั้นเป็นเชื้อไฟอย่างดีสำหรับมันน่ะ” เฮเดสพูดขึ้น แฮกริดส่ายหน้า

“คิดว่าพวกมันน่าจะชอบมากกว่านะ คิดดูสิที่นอนหนานุ่มแบบนั้น พวกเธอยังชอบเลยนี่นา”

“ก็พวกเราพ่นไฟไม่ได้อย่างพวกมันนี่” รอนบ่นเบาๆ แฮร์รี่ปิดปากหัวเราะ 

“เอาล่ะ พวกเราก็แค่ล่อให้พวกมันเข้าไปข้างใน และปิดฝา และทีนี้มาคอยดูกันสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เป็นที่แน่ใจสำหรับทุกๆคนแล้วว่า เจ้าสกรู้ตปะทุไฟไม่ชอบจำศีล ไม่ชอบการเข้าไป
นอนในกล่องและไม่ชอบเบาะกับผ้าหุ่มนุ่มๆอย่างมาก มันตะกุยและลงมือปล่อยปะ
ทุไฟออกมาทันทีที่ถูกบังคับให้เข้าไปในกล่อง เพียงชั่วเวลาไม่ถึง 10 นาที
 ทั่วบริเวณลานกว้างก็ตลบอบอวลไปด้วยควันไฟที่ลอยคละคลุ้งสลับกับเสียงหวีดร้อง
อย่างตกใจของนักเรียนที่วิ่งหนีเจ้าสกรู้ตอย่างสับสนอลหม่านท่ามกลางเสียงร้องห้ามของแฮกริด

“อย่าตื่นตกใจไป!" 

มัลฟอยโดนสกรู้ตตัวหนึ่งวิ่งไล่ เสื้อคลุมของเขาติดไฟ แครบและกอยล์พยายามที่จะ
ดับมันแต่ไม่เป็นผล มัลฟอยร้องออกมาอย่างตระหนกเมื่อสกรู้ตอีกตัวพุ่งเข้ามาหาเขา
 มัลฟอยรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อมของแฮกริดและปิดประตูแน่น 

“ไม่เห็นเก่งเหมือนครั้งก่อนเลยนะ” เฮเดสพูดเบาๆพร้อมกับหัวเราะ เขาตบเจ้าสกรู้ตปะทุไฟ
สองสามครั้งด้วยกิริยาเอ็นดูก่อนจะหันไปมองดูเฮอร์ไมโอนี่ที่ยังคงอยู่รวมกลุ่มกับแฮร์รี่และรอน 
ทั้งสามคนพยายามต้อนเจ้าสกรู้ตปะทุไฟที่วิ่งไปมาพร้อมกับปล่อยไฟออกมาเผาฟักทองจน
ไหม้เกรียมไปหลายลูก

“อยู่นิ่งๆเจ้าหนู มาดูกันสิว่าเธอจะจับพวกของแกได้ไหม” เฮเดสยืนพิงต้นไม้พลางกอดอกดูเฮอร์
ไมโอนี่ด้วยท่าทางสบายใจ ออโรร่าเดินตรงเข้ามาหาเขา

“ไม่คิดจะเข้าไปช่วยพวกเขาหรือ พี่ชายที่รัก” เธอถามเบาๆ เฮเดสยิ้มน้อยๆ

“แล้วเธอล่ะ น้องสาว ไม่เข้าไปช่วยพวกเขาหรือ” เขาย้อนถาม ออโรร่าส่ายหน้า

“พี่ก็น่าจะรู้คำตอบดีนี่ พี่ชาย” เธอตบเจ้าสกรู้ตปะทุไฟที่หมอบอยู่ข้างๆเฮเดสเบาๆสองสามครั้ง 
มันแกว่งหางไปมาขณะที่ทำปากดูดของมันขยับเข้าขยับออก

“เจ้าพวกนี้มันกลัวพวกเรา” เฮเดสพูดเรื่อยๆ “จะดีสักแค่ไหนถ้าพวกนั้นมีความรู้สึกแบบเดียว
กันนี้เมื่อฉันไปยืนอยู่ตรงหน้า” เขามองจ้องไปยังกลุ่มนักเรียนที่วิ่งไปมาเบื้องหน้า ออโรร่าส่ายหน้า

“สิ่งที่เราจะได้รับคือความโดดเดี่ยวเท่านั้น พี่ชาย ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยว” เธอตอบ เฮเดสหัวเราะในลำคอ

“นั่นยังดีกว่าความอัปยศและความเจ็บปวด” เขาหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสกรู้ตสามตัวกำลังเผากันเองโดยมี

แฮกริดวิ่งวนไปรอบๆด้วยสีหน้าที่ตกใจ

“อีกหน่อยพวกพ่อมดพวกนั้นก็จะมีสภาพเหมือนเจ้าสกรู้ตพวกนี้ ฆ่ากันเองเพื่อเอาตัวรอด” 
เฮเดสมองหน้าน้องสาวของเขา

“ไม่มีความรักจริงๆในหมู่คนพวกนี้หรอก ออโรร่า น้องอย่าไปสนใจพวกมันนักเลย” 

“แต่พวกเขาคือเพื่อน” ออโรร่าเถียงเบาๆ เฮเดสหัวเราะเยาะ

“ลองพวกมันได้เห็นเลือดของพวกเราดูสักครั้งสิ รับรองได้เลยว่าพวกเราคงต้องโดนขับ
ไล่จนแทบวิ่งหนีออกจากที่นี่ไม่ทันเลย” ดวงตาสีดำสนิทส่งประกายวาวโรจน์ออกมาวูบหนึ่ง

“แต่ก็มีคนสองคนที่เห็นเลือดของพวกเราแล้วนะพี่” ออโรร่าพูดเตือนเขา เฮเดสนิ่งเงียบไป 
เธอจึงพูดต่อไปเรื่อยๆ

“พวกเขาไม่ได้เอาไปบอกกับคนอื่น ไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ”

“สำหรับเฮอร์ไมโอนี่น่ะ คงคิดแบบนั้นจริงๆ แต่อีกคนน่ะฉันไม่แน่ใจ” เฮเดสตอบก่อนจะ
หันมามองดูออโรร่า

“เจ้าหมอนั่นน่ะคงยังไม่คิดที่จะพูดในตอนนี้มากกว่า ไม่มีตระกูลไหนในโลกนี้ที่กลิ้งกลอก
ได้เหนือกว่าพวกมัลฟอยหรอก น้องสาวที่รัก” 

“พี่ไม่ชอบเขา”

“หรือว่าเธอชอบเขา” เฮเดสย้อนถามทันที ออโรร่าหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะตอบ

“ฉัน..ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” เธอตอบเสียงแผ่ว เฮเดสจ้องหน้าน้องสาวของเขานิ่งทันที 
ดวงตาที่ดำสนิทกลับดูนิ่งลึกและเยือกเย็นมากขึ้นไปอีก สกรู้ตตัวหนึ่งวิ่งตรงมายังเขา 
มันระเบิดกระจายออกและลุกไหม้กลายเป็นผงไปในทันที ออโรร่ามองดูด้วยสีหน้าตระหนก

“อยากให้เจ้าหมอนั่นมีสภาพแบบนั้นหรือ” เฮเดสถามเสียงต่ำ ออโรร่าส่ายหน้าไปมาก

“ถ้าอย่างนั้น จงเลิกความคิดนั่นเสีย มันคือศัตรูของพี่ จำไว้น้องสาวที่รัก” เฮเดสมองหน้าน้อง
สาวของเขาก่อนจะเดินจากไป เจ้าสกรู้ตมีท่าทางลังเลว่าจะเดินตามเฮเดสไปดีหรือยืนอยู่กับออโรร่า
 แฮกริดรีบวิ่งตรงมาหาเธอแล้วร้องตะโกนเสียงดังอย่างดีใจ

“เก่งมากไทม์คีปเปอร์ แฮร์รี่เอาเชือกมาผูกมันเร็วๆ”

ออโรร่ามองดูแฮกริดและแฮร์รี่ลงมือผูกเดือยเจ้าสกรู้ตอย่างทุลักทุเลด้วยสายตาเหม่อลอย
 เฮอร์ไมโอนี่กระตุกเสื้อคลุมของเธอเบาๆ

“ออโรร่า” 

เด็กสาวสะดุ้งน้อยๆก่อนจะหันไปมองดูเพื่อนของเธอด้วยสีหน้าตระหนก

“เธอ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยความเป็นห่วง ออโรร่าส่ายหน้าแล้ว
ยิ้มแห้งๆก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเบา

“ฉัน ไม่เป็นอะไร แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“และถ้าฉันเกิดมีรอยแผลขึ้นมาจริงๆล่ะก็ คงมีแต่เธอเท่านั้นที่ทนรับรู้ได้”

“ออโรร่า” เออร์ไมโอนี่ครางออกมาเบาๆเมื่อมองดูเพื่อนของเธอ ออโรร่ายิ้มน้อยๆ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวคนอื่นเห็นจะเอาไปนินทาเอาได้นะ ระยะหลังนี่พวกเธอยิ่งตกเป็น
ข่าวบ่อยๆอยู่ด้วยสิ” ออโรร่าพยักหน้าไปทางด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ ริต้า สกีตเตอร์กำลังเดิน
ยิ้มกว้างตรงเข้ามาและหยุดตรงรั้วสวนผักของแฮกริด

“นั่น……ดูน่าสนุกนี่” เธอร้องทัก แฮร์รี่หุบปากนิ่งเงียบทันทีในขณะที่รอนทำ
หน้าเหทือนกำลังกลืนขนมปังขึ้นราเข้าไปทั้งก้อน แฮกริดมองอย่างสงสัย

“คุณเป็นใคร” เขาร้องถาม

“ริต้า สกีตเตอร์ นักข่าวเดลี่พรอเฟ็ต” อีกฝ่ายตอบดวงตาเป็นประกาย

“คิดว่าดัมเบิลดอร์สั่งห้ามคุณไม่ให้เข้ามาในบริเวณฮอกวอตส์นี่อีกต่อไปแล้วเสียอีก”
 แฮกริดพูดพลางขมวดคิ้วย่น ริต้าทำหูทวนลม

“สัตว์ที่น่าพิศมัยพวกนี้ชื่ออะไรน่ะ”

“สกรู้ตปะทุไฟ” แฮกริดตอบด้วยท่าทางไม่ชอบใจ ริต้ายิ้มกว้างพลางทำท่าราวกับว่าสนใจจริงจัง

“ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เอามันมาจากไหนกันรึ” เธอถามด้วยท่าทางกระตือรือล้น แฮร์รี่ใจหายวูบ
ทันทีเอฮร์ไมโอนี่รีบกระทืบเท้าของเขาแรงๆ

“พวกมันน่าสนใจมากเลยว่าไหม แฮร์รี่” เธอแกล้งส่งเสียงถามดังๆ แฮร์รี่ทำหน้าย่นพลางสะบัดเท้าตัวเอง

“ชะ..ใช่ น่าสนใจมาก” เขาตอบ ริต้าหันขวับมาทางเขาทันที

“อ้าว เธอก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ แฮร์รี่” เธอพูดเสียงดัง ปากกาจดทันใจเริ่มขยับเสียงดังแกรกๆ 
แฮร์รี่มองอย่างสยอง

“ดูเหมือนวิชานี้จะเป็นวิชาโปรดของเธอเลยใช่ไหม แฮร์รี่” 

“ก็ ทำนองนั้น” เขาตอบห้วนๆ

“ดีจริง คุณสอนมานานแล้วเหรอ” ริต้าหันไปถามแฮกริด เขาพยักหน้าน้อยๆ

“ก็ สองปี” เสียงตอบห้วนๆ ริต้ายิ้มอย่างพอใจราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่

“ดีจริง คิดว่าคุณคงอยากจะให้สัมภาษณ์ เอาเรื่องประสบการณ์การสอนก็ได้ หรือเรื่องเจ้ากรู้ต
ไฟที่น่ารักเหล่านี้ก็ได้”

“เออ…..ได้สิ” แฮกริดบอกอย่ากระตือรือล้น เข้าอ้าปากจะเริ่มพูดอะไรต่อ เสียงออโรร่าก็
พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันคงต้องขอตัวกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” เธอส่งสายตาไปที่ริต้าที่หน้า
เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในปราสาท เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเพื่อนทั้งสองของเธอ

“พวกเราก็ กลับกันดีกว่า”แฮร์รี่พูดขึ้นมาก่อนจะรีบเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสองของเขากลับเข้า
ไปในปราสาทโดยไม่สนใจคำเรียกของริต้า สกีตเตอร์

หลังจากเรียนวิชาพยากรณ์ศาสตร์ของศาสตราจารย์ทรีลอนีย์ แฮร์รี่และรอนพากัน
นั่งวิจารณ์การสอนของเธออย่างออกรส 

“เขาทายว่าฉันจะต้องตายมาแปดสิบครั้งแล้วนะ” แฮร์รี่พูดอย่างขำๆ “ ถ้าฉันทำได้ทุกครั้ง
 ฉันคงเป็นพ่อมดที่เก่งที่สุดในโลกแน่ๆ ตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วตาย” 

“และถ้านายกลายเป็นผี ฉันคิดว่านายคงเป็นผีที่เจ๋งที่สุดในฮอกวอตส์แน่นอนเลย” 
รอนพูดอย่างตลกขบขัน แฮร์รี่ส่ายหน้า

“เฮอร์ไมโอนี่หายไปไหนกันนะ” เขาพูดขึ้น รอนทำหน้าแปลกๆ

“ยากแก่การเดา บางที่เธออาจจะไปเดินแจกใบปลิวสิทธิของเอลฟ์อยู่ที่สถานีรถไฟก็ได้”

เสียงฝีเท้าวิ่งมาหาพวกเขาจากทางด้านหลัง รอนหลับตาลงอย่างนึกสยองด้วยกลัวว่าผู้
ที่กำลังวิ่งเข้ามาจะทันได้ยินประโยคหลังที่เขาพูด

“แฮร์รี่” เสียงเฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจอย่างตื่นเต้น “ตามฉันมานี่ เร็ว!"

โดยไม่ต้องรอคำถามหรือคำตอบ เฮอร์ไมโอนี่ลงมือลากเพื่อนของเธอให้เดินตามไปทันทีอย่างเร็ว 

“เราจะไปไหนกันเหรอ เฮอร์ไมโอนี่” แฮร์รี่ถามอย่างสงสัย 

“เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างตื่นเต้นก่อนจะมาหยุดยืนที่รูปภาพชามผลไม้สีเงินรูปมหึมา รอนอ้าปากค้างก่อนจะพูดขึ้น

“เธอลากพวกฉันมาเรื่องสรร-สอนั่นอีกใช่ไหม”

“ไม่ใช่นะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างเร็วพลางยื่นนิ้วชี้ออกมาและจั๊กนี้ลูกแพร์สีเขียวลูกใหญ่
 มันดิ้นไปมาแล้วหัวเราะฉับพลันมันก็กลายเนที่จับประตูสีเขียวอันใหญ่ เฮอร์ไมโอนี่คว้า
ไว้วและดึงเปิดออกก่อนจะผลักให้แฮร์รี่และรอนเข้าไปข้างใน ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะ
ได้ทันพูดอะไรออกมา เสียงแหลมเล็กก็ร้องตะโกนขึ้น

“แฮร์รี่ พอตเตอร์! แฮร์รี่ พอตเตอร์!" 

ร่างเล็กๆพุ่งเข้าใส่แฮร์รี่จนเขารู้สึกจุกจนพูดไม่ออก มันกอดเขาไว้แน่น

“ดะ…ด๊อบบี้” แฮร์รี่อ้าปากค้าง เสียงแหลมเล็กตอบกลับ

“ใช่ด๊อบบี้เองครับ ด๊อบบี้หวังว่าจะได้เจอแฮร์รี่ พอตเตอร์ และแฮร์รี่ พอตเตปร์ก็มาหาเขาครับ”
 ด๊อบบี้ปล่อยแฮร์รี่และก้าวถอยหลังออกไป มันดูแปลกไปจากเมื่อก่อนมาก ด้วยปลอกเก็บความร้อน
ที่ใช้หุ้มกาน้ำชาบนหัว เน็คไทหลากสีบนอกเปลือยเปล่า ถุงเท้าที่มีสีแตกต่างกันสองข้าง 

“ด๊อบบี้มาทำอะไรที่นี่” เขาถาม 

“ด๊อบบี้มาทำงานที่ฮอกวอตส์ครับ” มันตอบเสียงแหลมอย่างตื่นเต้น “ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์
ให้งานด๊อบบี้กับวิงกี้ครับ”

“วิงกี้หรือ วิงกี้อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” แฮร์รี่ถาม ด๊อบบี้ดึงมือแฮร์รี่ให้เดินตามมันเข้าไปในห้องครัว
 เหล่าบรรดาเอลฟ์ต่างพากันก้มหัวอย่างยินดีเมื่อเด็กทั้งสามเดินผ่าน

“วิงกี้ครับ” มันชี้มือไปที่เตาผิง ฮร์รี่มองตาม เอลฟ์อีกตัวกำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนที่นั่งเล็กๆ 
มันไม่ได้สนใจที่ได้รับอิสระเหมือนด๊อบี้ ตรงกันข้าม วิงกี้กลับตีอกชกตัวและโกรธเมื่อได้ยินเฮอร์ไม
โอนี่เอ่ยปากว่าเจ้านายเก่าของมัน ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกับด๊อบบี้และวิงกี้และรับขนมมาจาก
บรรดาเอลฟ์ประจำบ้านที่เต็มใจส่งให้พวกเขาจนเต็มล้นสองมือ

“ฉันเคยทึ่งในตัวเฟร็ดกับจอร์จที่สามารถเข้ามาเอาอาหารในห้องครัวได้” รอน
พูดขึ้นหลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกมาจากห้องครัวแล้ว ขนมครีมเค้กเต็มจนล้นปาก

“แต่ที่ไหนได้ มันธรรมดามากๆเลย เจ้าพวกนั้นอยากให้พวกเราเข้ามาเอาอาหารไปจนใจจะขาด!"

เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวร้ายที่สุดในความคิดของแฮร์รี่ก็มาถึง สำหรับเขาแล้วมันเป็นข่าวที่แย่ยิ่งกว่าการที่
จะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับเจ้าฮังกาเรียนหางหนามเสียอีก แฮร์รี่แทบจะวิ่งหนีออกจาก
ห้องเรียนวิชาการแปลงร่างทันทีที่ได้ฟังศาสตราจารย์มักกอนนากัลแจ้งข่าวแก่เขาจบ

“เธอจะต้องมีคู่สำหรับงานเต้นรำฉลองคริสมาสต์ พอตเตอร์” เธอพูดเสียงเย็นเยียบ 
แฮร์รี่รู้สึกปั่นป่วนในท้องของเขาขณะที่ตอบ

“แต่ผม…”

“คู่เต้นรำ สำหรับงานฉลองคริสมาสต์ และเธอจะต้องเป็นคู่เปิดฟลอร์ พอตเตอร์!"

"นายคิดว่าจะขอใครมาเป็นคู่เต้นรำน่ะ แฮร์รี่” รอนถามขึ้นในห้องนั่งเล่นรวม แฮร์รี่
ส่ายหน้าอย่างกลัดกลุ้มใจทั้งที่เขากำลังคิดถึงโชแชง เด็กนักเรียนบ้านเรเวนคลออายุมากกว่าเขาหนึ่งปี

“ไม่รู้สิ แล้วนายล่ะ” เขาย้อนถามรอน อีกฝ่ายนั่งตัวงอลงทันที

“ฉันก็ ไม่รู้เหมือนกัน” รอนตอบ เขากำลังนึกถึงเฟลอร์ เดอลากูร์ เธอจะยอมมากับเขา
ไหมนะถ้าเขากล้าที่จะไปขอ

“แล้วเธอล่ะ เฮอร์ไมโอนี่” รอนหันไปถามเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังนั่งทำการบ้านด้วยท่าทางขมักเขม้น
 เด็กสาวยิ้มน้อยๆ

“ความลับ” เธอตอบก่อนจะปิดหนังสือและม้วนกระดาษรายงานเก็บลงกระเป๋า รอนมองตามตาค้าง

“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังจะไปที่ ห้องสมุด”

“ฉันคิดว่าเธอฉลาดขึ้นมากว่าแต่ก่อนเลยนะ รอน” เฮอร์ไมโอนี่ตอบก่อนจะก้าวเท้าข้ามช่องประตูออกไป 

“ฉันว่าเขาดูแปลกๆไปนะ” รอนพูดขึ้นหลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่ออกไปแล้ว แฮร์รี่ยักไหล่

“ฉันว่าเขาก็เป็นของเขาแบบนี้มาตลอดน่ะแหละ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย” แฮร์รี่ตอบอย่างไม่สนใจ

มัลฟอยกำลังเดินไปเรื่อยๆตามทางเดิน เขามุ่งหน้าไปยังทะเลสาบด้วยหัวใจที่พอง
โตพลางคิดหาคำพูดที่เหมาะสม

“ขอเธอไปตรงๆเลยดีกว่า เสียเวลาหาคำพูดหรูๆเปล่าๆ” เขาสรุปเองในที่สุดขณะ
ที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นหญ้าใกล้เข้ามา 
เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับไปคว้าร่างที่กำลังย่องเข้ามาจากทางด้านหลังมากอดไว้ 
เสียงหัวเราะแหลมใสดังขึ้น

“ทำอะไรกันน่ะ เดรโก” แพนซี่ พาร์กินสันที่กำลังอยู่ในอ้อมแขนของเขาพูดขึ้น มัลฟอยร้องเสียง
หลงก่อนจะรีบปล่อยมือของเขาออกอย่างเร็ว

“แพนซี่!" มัลฟอยเรียกชื่อเพื่อนหญิงของเขาอย่างโกรธๆ “ทำไมเข้ามาเงียบๆแบบนี้”

“ฉันก็เดินเข้ามาเฉยๆ เธอดึงฉันเข้าไปกอดเองต่างหาก” แพนซี่ตอบ “หรือเธอกำลังรอใคร”

“ฉันแค่ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกนี่เท่านั้น” มัลฟอยรีบพูดอย่างเร็ว แพนซี่ยิ้มอย่างรู้ทัน

“ไม่ใช่ออกมาเพราะนัดใครบางคนไว้ที่นี่หรือ” เธอเดินไปรอบๆตัวมัลฟอย เชาทำหน้านิ่ว

“พูดอะไรของเธอกัน แพนซี่ ฉันไม่ได้นัดใคร หรือถ้าฉันจะนัด มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลยสักนิด”

“มันก็ถูก ถ้าคนที่เธอนัดไม่ใช่พวกเลือดสีโคลน เดรโก” แพนซี่หันมามองหน้าเขา ดวงตาสีดำ
นิ่งสนิทอย่างที่มัลฟอยไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกฉุนขึ้นมาในทันที

“เธอมายุ่งอะไรด้วย แพนซี่”

“ฉันกำลังคิดว่าเธอจะขอพวกเลือดสีโคลนไปในงานเต้นรำแทนที่จะเป็นพวกเดียวกัน” 
แพนซี่พูดเรื่อยๆ มัลฟอยเม้มปากแน่น

“ฉันไม่ได้ขอพวกเลือดสีโคลนไปงานเต้นรำ” เขาพูดเน้นทีละคำ แพนซี่หัวเราะ

“จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงกัน เดรโก”

“นั่นมันเป็นเรื่องของเธอว่าจะเชื่อหรือไม่” มัลฟอยตอบอย่างโกรธๆ แพนซี่หัวเราะ

“ฉันยังไม่มีคู่เต้นรำเลย” เธอพูดขึ้น “ฉันคิดว่าคนที่ฉันกำลังรอคอยอยู่คงไม่ทำให้ฉันผิดหวัง”

“ไปบอกเขาสิ” มัลฟอยพูดห้วนๆ แพนซี่มองหน้าเขา

“ฉันบอกเขาแล้ว เดรโก” เธอเดินเข้ามาใกล้ๆและยกมือขึ้นวางบนอกของเขา “แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ตัว”

“เธอก็เป็นฝ่ายขอเขาไปเสียเลยสิ” มัลฟอยตอบอย่างรำคาญ แพนซี่เอียงหน้าน้อยๆ

“ฉันกำลัง ทำ แบบนั้นอยู่ เดรโก” เธอตอบก่อนจะยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้ตัวนะ
 เอาแบบนี้ฉันจะลองเล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟังก็แล้วกัน เป็นเรื่องที่ฉันเห็นด้วยตาของตัวเองเมื่อราวๆ
สองหรือสามวันก่อน นี่ถ้าได้เอาไปลงเดลี่พรอเฟ็ตคงไม่เลวเหมือนกันนะ”

“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ แพนซี่” มัลฟอยถามด้วยความรู้สึกสังหารณ์ในบางอย่าง
 แพนซี่ยิ้มอย่างเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ความรักต้องห้ามระหว่างหอกริฟฟินดอร์และหอสลิธีริน ไงแค่ชื่อเรื่องก็น่าฟังต่อแล้วใช่ไหม เดรโก”
 แพนซี่มองหน้าเขา

“เธอ……” มัลฟอยพูดเพียงแค่นั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่ามีก้อนบางอย่างก็มาจะอยู่ที่ลำคอจนพูดอะไรต่อไม่ออก 

แพนซี่ลูบแผ่นอกของเขาไปมา

“ความลับแห่งความรัก จุมพิตที่ต้องซ่อนเร้น อ้อมกอดที่ต้องปิดบัง” เธอยิ้มเมื่อเห็นมัล
ฟอยหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ความอดกลั้นของเขาสิ้นสุดลงทันที่ที่ได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากของแพนซี่

“ริต้า สกีตเตอร์จะดีใจแค่ไหนกันนะถ้าได้ข่าวแบบนี้ไว้ในมือ”

“เธอต้องการอะไรกันแน่ แพนซี่!" มัลฟอยพูดเสียงดังอย่างโกรธจัด แพนซี่หัวเราะเหยียดๆ

“เธอก็น่าจะรู้นี่ เดรโก” เธอถอยหลังออกไปสองสามก้าวพลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อยและนิ่งราวกับจะรอ
 มัลฟอยเม้มปากของตัวเองแน่น มือทั้งสองข้างกำจนเส้นขึ้นปูดโปน

“ฉันหนาวนะ จะพูดอะไรก็รีบๆพูดออกมาสิ” แพนซี่มองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เหนือกว่า 
มัลฟอยกัดฟันแน่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆราวกับกระซิบ

“เธอจะไปงานเลี้ยงเต้นรำกับฉันไหม แพนซี่” 

“ฉันไม่ได้ยิน” แพนซี่ตอบ “ลมที่นี่มันแรงมาก เธอต้องพูดเสียงดังกว่านี้อีกหน่อยนะเดรโก”

มัลฟอยมีสีหน้าที่ขึ้งโกรธอย่างไม่ปิดบัง

“ ไป งานเลี้ยงเต้นรำ กับฉันไหม แพนซี่!" มัลฟอยพูดเหมือนตะโกน แพนซี่หัวเราะออกมาดังๆ
 เสียงย่ำฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลังของมัลฟอย เขาหันกลับไปดูทันทีด้วยสีหน้าตกใจ

“เกรนเจอร์”

เฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่ที่นั่น สีหน้าและดวงตาที่จ้องมองดูเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเจ็บ
ปวดก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินจากไปอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ มัลฟอย มองตามเธอด้วย
สีหน้าที่เจ็บปวดก่อนจะหันมาทางแพนซี่

“เธอจะต้องชดใช้สำหรับสิ่งที่เธอทำกับฉันในวันนี้แน่ๆ แพนซี่” เขาพูดเสียงเย็นก่อนจะเดินกลับ
เข้าปราสาทไป แพนซี่ยืนยิ้มด้วยดวงตาที่ไร้ความรู้สึกก่อนจะหันหน้าไปอีกด้านที่ริมฝั่งทะเลสาป

“ทำได้ดีมาก พาร์กินสัน” เฮเดสก้าวออกมาจากเงาต้นไม้พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

“สำหรับรางวัลฉันจะมอบให้กับเธอในวันหลัง” เขาลูบคางของแพนซี่เบาๆด้วยดวงตาที่เย็นชา
ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปมองที่ยอดหอคอยอันเป็นที่ตั้งของบ้านกริฟฟินดอร์

“แต่ตอนนี้ ฉันขอไปปลอบใจเธอคนนั้นก่อน คราวนี้ฉันจะทำให้เธอลืมเจ้านั่นไปจากหัว
ใจเลยและหลังจากนั้น” ดวงตาดำสนิทเบิกกว้าง

“ฉันจะช่วยให้แผนการณ์ของเจ้าจอมวายร้ายนั่นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเพื่อการกลับมาของโวลเดอร์มอร์”





 Chapter 16: เหตุการณ์ร้ายที่ริมทะเลสาบ

เช้าวันคริสมาสต์ แฮร์รี่ และรอนมีความสุขและสนุกสนานอยู่กับการแกะห่อของขวัญที่พวกเขาได้รับ
 ทั้งคู่ไปหาเฮอร์ไมโอนี่ที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทั้งสามคนสนุกอยู่กับการได้แกะ
ห่อของขวัญตลอดช่วงเช้า แต่แฮร์รี่สังเกตุเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ดูซึมเศร้าแม้ว่าเธอจะกำลังหัวเราะอยู่ก็ตาม
 ออโรร่ามองดูเพื่อนของเธอด้วยสายตาที่ห่วงใยแต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา จนกระทั่งบ่ายเฮอร์ไมโอ
นี่จึงขอตัวเพื่อกลับไปที่ห้องของเธอสำหรับการแต่งตัว

“อะไรกัน เธอต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงเชียวหรือ” รอนร้องถาม เฮอร์ไมโอนี่เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ
 จอร์จข้างบอลหิมะใส่รอนเต็มแรง

“คำถามแบบนี้ถือเป็นการไม่สุภาพเลยนะ รอน” เขาตะโกนบอก เฟร็ดพยักหน้าเห็นด้วย รอนจึงเปลี่ยนคำถามใหม่

“เธอจะไปกับใครหรือ” 

คราวนี้เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้า เธอทำเพียงแค่โบกมือให้กับรอนและเดินหาย
เข้าไปในปราสาท รอนทำหน้างงๆ

“ฉันพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ” เขาหันไปถามเฟร็ดและจอร์จ ทั้งคู่พร้อมใจกันขว้างบอลหิมะใส่รอน

“นายพูดไม่เข้าท่าตั้งแต่อ้าปากแล้ว รอน” ทั้งคู่กล่าวขึ้นมาพร้อมกัน “พวกเราก็น่าจะไปเตรียมตัว
ได้แล้วใช่ไหม เฟร็ด”

“ใช่แล้วจอร์จ ไปกันดีกว่า พวกนายก็ไปเตรียมตัวกันได้แล้วนะ” ทั้งคู่หันมาบอกกับแฮรืรี่และรอน
ก่อนจะกอดคอกันเดินเข้าไปในปราสาท

รอนดูเหมือนกำลังจะเสียสติเมื่อมองดูเงาของตัวเองในกระจก ลูกไม้ที่ระบายรอบๆคอและแขน
เสื้อทำให้เขาดูเหมือนชายที่มีอายุย้อนถอยหลังไปร่วมร้อยปี รอนตัดสินใจร่ายคาถาตัดขาดเลาะลูก
ไม้ที่พองฟูออกไปจนหมด เมื่อเขาและแฮร์รี่เดินลงไปถึงห้องนั่งเล่น ชุดของรอนก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก
 แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาดูดีขึ้นสักเท่าใดนัก เพราะแม้แต่ปัทมาซึ่งเป็นน้องสาวของปาราวตี พาติลคู่
ของเขาในคืนนี้ยังมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชาตั้งแต่หัวจรดเท้าจนรอนรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

นักเรียนบ้านสลิธีรินกลุ่มหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดมาจากห้องนั่งเล่นของพงกเขาที่ห้องใต้ดิน
โดยมีมัลฟอยเดินนำหน้า เขาสวมชุดผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทมีคอปกแข็งตั้งสูงจนดูเหมือนเขากำลังเชิดหน้า
อยู่ตลอดเวลา แพนซี่ พาร์กินสันเกาะแขนของมัลฟอยแน่น ดวงตาที่เลื่อนลอยจับจ้องมองดูเขาเกือบตลอดเวลา 
เธอสวมชุดกระโปรงจับระบายสีชมพูอ่อน แฮร์รี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเฮเดสกำลังเดินอย่างช้าๆ
รั้งท้ายกลุ่มและไม่มีคู่ควง เขาเงยหน้าขึ้น สายตาสบเข้ากับแฮร์รี่พอดี รอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตรผุดขึ้นที่มุมปาก

“สายัณห์สวัสดิ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์” เขาเอ่ยปากทักแฮร์รี่เบาๆก่อนจะเดินเลยไปโดยไม่รอคำตอบ 
รอนมองตามหลังเฮเดสด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ

“เขาคิดว่าเขาเป็นอะไรกันน่ะ” รอนพูดด้วยน้ำเสียงโกรธๆ “คิดจะทักก็ทัก แล้วดูชุดของเขานั่นสิ
 เหมือนผู้คุมวิญญาณมากเลยว่าไหม แฮร์รี่” รอนวิจารณ์เสียงดัง แฮร์รี่หัวเราะเบาๆ

“ช่างเขาเถอะน่ารอน ว่าแต่เฮอร์ไมโอนี่อยู่ไหนกันนะ” เขาถามลอยๆ เสียงศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็ดังขึ้น

“ตัวแทนมาทางนี้ด้วย”

แฮร์รี่หันไปส่งยิ้มให้กับรอนก่อนจะเดินไปพร้อมๆกับปาราวตี เขามองดูตัวแทนแต่ละคน เฟลอร์ เดอลากูร์กับ

โรเจอร์ ดาวีส์กับตันทีมควิดดิชบ้านเรเวนคลอ เซดริก ดิกกอรี่กับโชแชง แฮร์รี่ถอนหายใจหนักๆก่อนจะมองดู

วิคเตอร์ ครัมกับเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวย แฮร์รี่อ้าปากค้าง

“เฮอร์ไมโอนี่!"

เฮอร์ไมโอนี่ที่ดูไม่เหมือนเฮอร์ไมโอนี่เด็กนักเรียนหญิงบ้านกริฟฟินดอร์ที่มักจะทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เสมอ
 ผมที่พองฟูกลับเรียบเหยียดตรงสลวยเป็นเงางามและเกล้าเป็นมวยเก๋ไว้ด้านหลัง เธอสวมชุดกระโปรง
ที่ตัดจากผ้าเนื้อบางเบาสีฟ้าอ่อนๆจับระบายน้อยๆในตัว รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความประหม่าทำให้แฮร์รี่ต้อง
แอบเพ่งสายตามองจ้อง ฟันหน้าซี่โตของเธอตอนนี้เล็กลงและเป็นระเบียบเงางาม 
มันทำให้เธอดูมีเสน่ห์แบบที่ผู้หญิงควรจะเป็น สเน่ห์ที่แฮร์รี่และรอนไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อนเลย 

“หวัดดีแฮร์รี่ หวัดดีปาราวตี” เฮอร์ไมโอนี่ร้องทักก่อนจะเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เหล่าบรรดาสมาชิกแฟนคลับของ

ครัมพากันหยุดยืนมองด้วยความอิจฉา เฮอร์ไมโอนี่เดินผ่านมัลฟอยที่เดินควงคู่มากับแพนซี่ 
เธอเชิดหน้าขึ้นน้อยๆก่อนจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจต่างกับมัลฟอยที่มองเธอจนเหลียวหลัง เ
สียงเบาๆของแพนซี่ดังขึ้นที่ข้างๆหู

“เสียดายเหรอ”

“เธอพูดอะไรของเธอกัน แพนซี่” มัลฟอยหันมาตวาดเบาๆก่อนจะก้าวขาเดินเร็วขึ้นจนแทบจะลากแพนซี่ให้เดินตาม
 เธอหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ

“น่าเสียดายที่คนควงคู่กับยายนั่นเป็นครัม” แพนซี่พูดลอยๆ มัลฟอยชะงักก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนหญิงของเขา

“หมายความว่ายังไงกัน”

“ถ้าเฮเดสไปเร็วกว่านี้ คนที่ได้ควงคู่กับยายเลือดสีโคลนนั่นคงจะเป็นเขามากกว่าเจ้าซีกเกอร์
บ้านนอกนั่นน่ะสิ” แพนซี่พูดเรื่อยๆ ดวงตาที่เลื่อนลอยจับจ้องมองดูมัลฟอย มันเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน
อย่างที่คนแบบแพนซี่ไม่มีวันทำกับเขา มัลฟอยบีบไหล่ของเธอแน่น

“เธอ! แพนซี่ เธอเป็นพวกเดียวกับเจ้านั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เขาตะคอก แพนซี่ไม่ตอบอะไร เธอมองไปรอบๆแล้วยิ้ม

“คอยเฝ้ามองดูเธอเอาไว้ เดรโก วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นหน้า ยายเลือดสีโคลนสุดที่รักของเธอ”

มัลฟอยรู้สึกโกรธจนหูอื้อ เขาออกแรงผลักแพนซี่ให้ถอยห่างออกไปก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องโถง
 ดวงตาสอดส่ายมองหาเฮอร์ไมโอนี่ด้วยความร้อนรนจนกระทั่งพบว่าเธอกำลังนั่งคุยอยู่กับครัม
ที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางที่เพลิดเพลิน มัลฟอยกัดฟันตัวเองแน่น

“มีความสุขจริงนะ” เขาบีบถ้วยทองในมือจนมันบดเบี้ยว แครบมองดูแล้วถามเบาๆ

“นายเป็นอะไรไปน่ะ มัลฟอย”

“เรื่องของฉัน!" มัลฟอยตวาดก่อนจะยกถ้วยทองที่บิดเบี้ยวขึ้นดื่ม 
เขาพ่นน้ำรสหวานออกมาก่อนจะพูดขึ้นกับถ้วยตรงหน้า

“ฉันขอเหล้าองุ่น เดี๋ยวนี้!" 

ของเหลวสีแดงอ่อนๆปรากฏขึ้นภายในถ้วยจนเต็มปรี่ มัลฟอยยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดก่อน
จะกระแทกถ้วยวางลงบนโต๊ะ ใบหน้าแดงก่ำด้วงแรงโทสะและฤทธิ์ของเหล้าองุ่น 
แพนซี่ซึ่งมานั่งเคียงข้างตั้งแต่ไม่ไหร่ไม่รู้หัวเราะเบาๆ

“หึง อย่างนั้นหรือ”

“ใครบอกเธอ!" มัลฟอยหันหน้ามาตวาด เขาอ้าปากค้างในขณะที่จ้องมองดูแพนซี่ที่กำลัง
นั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่เหยียดตรงเต็มเปี่ยมไปด้วยแววเยาะหยัน ดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมองดูเขาราว
กับจะทะลุเข้าไปในหัวใจ มัลฟอยขยับตัวออกห่างจากแพนซี่เล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

“เฮเดส”

แพนซี่ยิ้มกว้าง ดวงตาสีดำเป็นประกาย เสียงที่พูดออกมาแทนที่จะเป็นเสียงแหลมใสเหมือนทุก
ครั้งกลับเป็นเสียงทุ้มต่ำนุ่มเย็นของเด็กผู้ชาย

“เก่งนี่ มัลฟอย” รอยยิ้มเหยียดยังคงแต้มบนริมฝีปากของแพนซี่ “รู้ได้ยังไงกันว่าเป็นฉันน่ะ”

“ไม่มีใครในที่นี้มีสายตาที่น่าสะอิดสะเอียนเหมือนแกหรอก” มัลฟอยตอบ “แกทำอะไรกับแพนซี่”

“แค่ยืมร่างของยายนี่เป็นทางผ่านจิตเท่านั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” เฮเดสหัวเราะ 
มัลฟอยมองข้ามเพื่อนร่วมบ้านของเขาตรงไปยังที่ที่เฮเดสนั่ง ผ้าคลุมที่ปรกใบหน้าอยู่เผยอเปิดออกเล็กน้อย 
เขากำลังมองตรงมายังมัลฟอยเช่นเดียวกัน ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมส่งประกายวาวอย่างน่ากลัว 
เฮเดสขยับปากน้อยๆราวกับกำลังพูดคุยอยู่กับมัลฟอย ริมฝีปากของแพนซี่ขยับเคลื่อนไหวตามทันที 

“ไม่ออกไปเต้นรำกับยายนี่สักหน่อยหรือ จะได้เห็นเฮอร์ไมโอนี่ในอ้อมกอดของเจ้าครัมได้ใกล้ๆไง”
 น้ำเสียงเยาะๆ มัลฟอยกำมือตัวเองแน่น เสียงดนครีบรรเลงเบาๆ เหล่าตัวแทนภาคีพากันลุกขึ้น
และออกมาเต้นรำที่กลางฟลอร์ แพนซี่ยื่นมือของเธอออกมาข้างหน้า

“ใครจะอยากไปเต้นรำกับแก แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว” มัลฟอยพูด เฮเดสหัวเราะกระหึ่ม

“ไม่ต้องห่วง ฉันเองก็จะออกจากจิตของยายนี่ในช่วงที่นายกำลังเต้นรำ คงไม่ดีแน่ๆหากจิตของฉัน
ไปอยู่ในอ้อมแขนของนาย” แพนซี่สะดุ้งน้อยๆก่อนจะสะบัดหน้าตัวเองเบาๆ 

“เดรโก” เธอเรียกมัลฟอยอย่างงงๆ เขาหันหน้าออกไปมองทางด้านฟลอร์เต้นรำ
 เฮอร์ไมโอนี่ที่มีสีหน้าเบิกบานกำลังอยู่ในอ้อมแขนของครัม เขาลุกขึ้นยืนทันที

“ไปเต้นรำกับฉัน แพนซี่”

เฮเดสจ้องมองดูคู่เต้นรำที่กลางฟลอร์นิ่ง เขาค่อยๆลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกไปจากห้องโถงอย่างเงียบๆ
 จนกระทั่งถึงริมทะเลสาบ เขายิ้มกับตัวเองน้อยๆขณะที่มองดูแมลงปีกแข็งตัวหนึ่งบินผ่านหน้า

“ไปที่รูปปั้นกวางตรงลานน้ำพุตอนนี้สิ” เขาพูดขึ้นลอยๆก่อนจะก้มลงมองดูที่พื้นหญ้า
 สัตว์ตัวเล็กๆตัวหนึ่งวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เฮเดสตวัดมือยื่นออกไปข้างหน้า 
แสงสีเขียวสว่างวาบพุ่งออกไปจากมือของเขาตรงไปยังเจ้าสัตว์ตัวน้อยตัวนั้น
 มันร้องลั่นเมื่อร่างของมันลอยขึ้นและเลื่อนกลับมาที่มือของเฮเดส เขารวบคอของมันเอาไว้ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

“น่าแปลกใจจริงๆที่ได้พบกับคุณในเวลาแบบนี้ คุณเพ็ตริกรูว์”

ปีเตอร์ เพ็ตริกรูว์ในร่างของหนูตัวจ้อยตาเหลือกลานขณะที่ดิ้นรนและส่งเสียงร้องจี๊ดจ๊าดดังลั่น เฮเดสหัวเราะ

“คงจะมาพบกับเจ้าทาสผู้ซื่อสัตย์นั่นสินะ จริงสินี่ก็ใกล้การแข่งขันในรอบที่สองแล้วนี่นะ
 คิดจะจัดการกับแฮร์รี่ด้วยวิธีแบบไหนกันล่ะ” เขาถามเสียงเย็น ปีเตอร์ยิ่งออกแรงดิ้นรนหนักว่าเก่า 
ก่อนจะตัดสินใจกัดลงไปบนมือของเฮเดสเต็มแรง เขาสะดุ้งสุดตัวแล้วนิ่วหน้าอย่างโกรธจัด
 เลือดสีเขียวเข้มไหลทะลักออกมาทันที 

“ดูหมือนว่าคุณจะไม่ชอบวิธีการพูดจาแบบดีๆสินะ” เฮเดสคำรามก่อนจะออกแรงบีบปีเตอร์ใน
ร่างของหนูที่กำลังดิ้นอยู่ในมือ มันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด

“เมื่อไม่ยอมบอกกัน ก็คงต้องใช้วิธีอ่านจากสมองโดยตรงแล้ว” เฮเดสยกมืออีกข้างหนึ่งและกำ
รอบหัวของปีเตอร์ ร่างน้อยๆชักสั่นกระตุกเบาๆก่อนจะอ่อนแรงมือและเท้าตกห้อย เฮเดสโยนปีเตอร์
ในร่างของหนูทิ้งไปบนพื้นหญ้าอย่างไม่สนใจก่อนจะหัวเราะ

“เป็นแผนการที่น่าสนใจดี แต่ฉันคิดว่ามันจะให้ผลสำเร็จมากขึ้นถ้าแกคาบเรื่องสำคัญบางอย่างไ
ปบอกกับเจ้านายของแก” เฮเดสเหยียบหางของปีเตอร์เอาไว้เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะวิ่งหนี

“จงฟังให้ดี เพ็ตริกรูว์ ฟังและจำให้แม่นยำจากนั้นจงรีบไปบอกกับโวลเดอร์มอร์นายของแก 
เรื่องนี้จะทำให้แกรอดพ้นจากทัณฑ์ของนายแกด้วย” เฮเดสจ้องมองดูปีเตอร์ 
ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองดูร่างที่อยู่ใต้อุ้งเท้านิ่ง ปีเตอร์หยุดการดิ้นรนทันทีและทำท่าฟังอย่างตั้งใจ 





Chapter 17: สายเลือดแห่งความตาย


มัลฟอยหาทางผละออกจากแพนซี่และหนีออกจากงานเต้นรำออกมาได้สำเร็จ เขาเดินออกมายืนรับลมเย็นที่พัดมาจากทะเลสาบราวกับต้องการดับความครุกรุ่นของอารมณ์ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในใจ ภาพของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังส่งรอยยิ้มที่หวานฉ่ำให้กับวิคเตอร์ ครัมทำให้เขารู้สึกเดือดดาลจนแทบทนไม่ได้ มัลฟอยยกถ้วยเหล้าองุ่นขึ้นจรดริมฝีปากเพื่อจะดื่ม เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อพบกับความว่างเปล่า ชายหนุ่มเหวี่ยงถ้วยทองทิ้งไปอีกด้านทันทีด้วยความขัดใจ เสียงร้องจี๊ดเบาๆดังขึ้น เขาหันขวับไปมองอย่างตกใจก่อนจะถอนหายใจอย่าง โล่งอกเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงร้องนั้นคือหนูตัวเล็กๆตัวหนึ่งที่กำลังทำท่าจะวิ่งเข้าไปในห้องโถง มัลฟอยล้วงมือเข้าไปในเสื้อของเขาและหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ตรงไปยังเจ้าหนูตัวนั้นทันที

“เพ็ตตริพิคัส โททารัส”

เจ้าหนูผีตัวน้อยกระโดดตัวลอยอย่างตกใจเมื่อลำแสงจากไม้กายสิทธิ์พุ่งไปกระทบพื้นดินข้างๆตัวของมัน ดวงตาสีดำที่ตื่นตระหนกจ้องมองมัลฟอยนิ่ง มันส่งเสียงร้องดังลั่นออกมาเมื่อเห็นมัลฟอยชี้ไม้กายสิทธิ์มาหามันอีกครั้ง เจ้ามุสิกตัวจ้อยกลับหลังหันและวิ่งเร็วจี๋กลับไปทางทะเลสาบอย่างรวดเร็ว มัลฟอยหัวเราะเบาๆอย่างถูกใจก่อนจะเก็บไม้กายสิทธิ์ของเขาไว้ในเสื้อตามเดิม 

“สนุกเหลือเกินนะกับการได้แกล้งคนที่อ่อนแอกว่าแบบนี้น่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นจากทางด้านหลัง มัลฟอยเม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะตอบโดยไม่หันกลับไปมองดู

“นั่นยังน้อยกว่าความสนุกที่ได้รับจากคู่เต้นที่แสนเท่ห์ของเธอ เกรนเจอร์” มัลฟอยรู้สึกแปลกใจที่ไม่ได้รับคำโต้ตอบของอีกฝ่าย เขารีบหันหน้ากลับไปมองดูเฮร์ไมโอนี่ที่กำลังยืนอยุ่ด้านหลังของเขาอย่างเร็ว หัวใจของชายหนุ่มตกวูบเมื่อเห็นน้ำตาใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาคู่งามของหญิงสาว

“เกรนเจอร์!"

"ฉันกำลังมีความสุข” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยน้ำเสียงประชดระคนน้อยใจขณะที่ดวงตานั้นจ้องมองมัลฟอยนิ่ง “ฉันมีความสุขตั้งแต่วินาทีแรกที่ครัมเดินเข้ามาขอฉันเป็นคู่ควงในงานเต้นรำ มีความสุขตั้งแต่ได้ยินเธอขอแพนซี่แทนที่จะเป็นฉัน! มัลฟอย! มันเป็นความสุขที่คนอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจได้อย่างถ่องแท้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะแสดงความดีใจในความสุขที่เธอได้รับสินะ” มัลฟอยกล่าวประชดเสียงสูง เฮอร์ไมโอนี่มองหน้าเขาเธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเธอออกทันทีก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง

“ครัมกำลังรอฉันอยู่ เธอเองก็น่าจะรีบกลับไปหาแม่แพนซี่สุดที่รักของเธอนะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าหล่อนกำลังวุ่นวายอยู่กับการค้นหาตัวเธออยู่” เฮอร์ไมโอนี่หมุนตัวเพื่อที่จะเดินกลับเข้าไปในงานทันทีที่พูดจบแต่มัลฟอยกลับคว้าแขนของเธอเอาไว้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวของเขาเองก็แปลกใจ

“จะห่างจากหมอนั่นอีกสักหนึ่งหรือสองวินาทีไม่ได้เลยหรือ เกรนเจอร์” เขาถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ หญิงสาวพยายามบิดแขนตัวเองเพื่อให้หลุดจากการเหนี่ยงรั้งของชายหนุ่มแต่ไม่สำเร็จ มัลฟอยออกแรงบีบให้แน่นมากขึ้นกว่าเก่าจนเฮอร์ไมโอนี่เบ้หน้า

“ฉัน เจ็บนะมัลฟอย”

“นั่นยังน้อยกว่าฉัน” มัลฟอยตอบทันทีก่อนจะดึงร่างของเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาหาแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น

“เธอจะทำอะไร!" เฮอร์ไมโอนี่ร้องออกมาด้วยความตกใจ มัลฟอยยิ้มในความมืดก่อนจะโน้มหน้าของเขาลงไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว 

“มัล…..” เสียงของเฮอร์ไมโอนี่ขาดหายไปร่างในชุดราตรีแสนสวยดิ้นรนเล็กน้อยก่อนจะอ่อนโอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรงในอ้อมแขนของชายหนุ่ม กลิ่นหอมจางๆของแอลกอฮอร์จากเหล้าองุ่นระเหยออกมาจากลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขา ความหวานในรสสัมผัสทำให้หญิงสาวถึงกับทอดลมหายใจหนักๆเมื่อมัลฟอยถอนใบหน้าของเขาออกมา

“เกรนเจอร์” เขากระซิบเบาๆ “ทำไมเธอถึงได้ชอบทรมานหัวใจของฉันนักนะ” 

“ฉันไม่ได้ทรมานใคร” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเบาๆ “เธอต่างหากที่ชอบทำร้ายจิตใจของฉัน”

“ฉันไม่แม้แต่จะคิดทำร้ายจิตใจของคนที่ฉันรัก” มัลฟอยตอบ “ฉันเคยบอกกับเธอไม่ใช่หรือว่า หากเป็นความต้องการของเธอ ฉันยินดีที่จะป่าวประกาศให้ทุกๆคนในโลกรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน”

เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเงียบ เสียงเรียกของวิคเตอร์ ครัมที่ดังอยู่ภายในงานเลี้ยงทำให้หญิงสาวขยับตัวเบาๆ

“กลัวหมอนั่นจะมาเห็นภาพนี้เข้าหรือยังไงกัน” มัลฟอยถามด้วยน้ำเสียงประชดก่อนจะกระชับอ้อมแขนของเขาให้แน่นขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ดิ้นน้อยๆ

“ฉันกลัวแพนซี่จะมาเห็นมากกว่า” เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชันไม่แพ้กัน มัลฟอยขมวดคิ้ว

“เธอกับฉันนี่จะไม่มีวันพูดดีต่อกันเลยใช่ไหม” เขาถามแล้วเม้มปากตัวเองแน่นเมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆจากอีกฝ่าย 

“รีบกลับไปหาเขาเสียสิ” อ้อมกอดคลายออกอย่างรวดเร็วจนเฮอร์ไมโอนี่แปลกใจ 

“มัลฟอย”

“เจ้านั่นกำลังตามหาเธออยู่นี่ แล้วถ้ามีเวลาว่างมากพอ ช่วยกลับมาเล่าให้ฉันฟังด้วยว่าระหว่างมันกับฉัน เธอชอบรสจูบของใครมากกว่ากัน อ้อเจ้าตัวลึกลับเฮเดสนั่นอีกคน” 

เผียะ!!!

เฮอร์ไมโอนี่ฟาดมือของเธอใบบนใบหน้าที่ซีดขาวของมัลฟอยทันทีที่เขาพูดจบ ร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยความโกรธในขณะที่น้ำตาแห่งความน้อยใจไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

“ฉันจะกลับมาบอกนายทันทีที่รู้ตามที่นายต้องการ มัลฟอย!"

ร่างในชุดสีฟ้าแสนสวยเดินกลับเข้าไปในงานอย่างรวดเร็ว มัลฟอยยืนนิ่งงันเขายกมือขึ้นลูบบนรอยมือของ

เฮอร์ไมโอนี่ที่ประทับอยู่บนแก้มของเขา

“นี่ฉันทำอะไรลงไปอีก” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจในคำพูดที่ตัวเองกล่าวออกไป ขณะที่กำลังขยับตัวเพื่อกลับเข้าไปในงาน เสียงเย็นๆก็ดังแว่วมากับสายลม

“ทะเลสาบที่ลึกล้ำและเย็นเยือก เหมาะสำหรับผู้ที่มีหัวใจอันว่างเปล่า”

เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเยาะหยันดังขึ้นทันทีที่คำพูดนั้นจบลง มัลฟอยยืนนิ่งคิดก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ 

“เกรนเจอร์!"

 

เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันไปมองรอบๆอย่างตกใจเมื่อพบว่าสถานที่ที่เธอกำลังยืนอยู่นั้นไม่ใช่ห้องโถงที่สว่างไสวของฮออกวอตส์ แต่เป็นลานกว้างริมทะเลสาบที่แสนมืดมิดและเย็นเยียบ หญิงสาวพยายามทบทวนความทรงจำของตัวเอง หลังจากที่เธอเดินหนีออกมาจากมัลฟอยเพื่อกลับเข้าไปในงาน เธอพบกับใครบางคน เขายื่นถ้วยเครื่องดื่มให้กับเธอ แล้วหลังจากนั้นทุกสิ่งรอบๆตัวก็มืดสนิทลงไปทันที เฮอร์ไมโอนี่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมศีรษะของตัวเอง 

“ตั้งสติให้ดีหน่อยเฮอร์ไมโอนี่ เธอต้องถูกใครบางคนวางยาแน่ๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเอง “คิดให้ออกสิ”

“ใครคนที่เธอกำลังคิดนั้นคงจะเป็นฉัน” เสียงทุ้มเย็นเยือกดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ผวาสุดตัวก่อนจะหันกลับไปมองดูทางด้านทะเลสาบ เงาร่างสูงในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทที่ปลิวไสวไปตามแรงลมราวกับผู้คุมวิญญาณกำลังยืนจ้องมองเธออยู่ ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นราวกับทอประกายวาววับอยู่เมื่อมองดูเธอ

“ใครกัน” เฮอร์ไมโอนี่ร้องถามเสียงสั่นขณะที่พยายามก้าวขาเพื่อถอยหลังหนี 

“อะไรกัน นี่เธอจำฉันไม่ได้อย่างนั้นหรือ เฮอร์ไมโอนี่” ร่างนั้นถามก่อนจะค่อยๆเคลื่อนเข้ามาหาเธออย่างช้าๆราวกับเลื่อนลอย หญิงสาวมองดูอย่างตกใจ

“เฮเดส!" 

เสียงหัวเราะดังออกมาจากอีกฝ่าย มันเป็นเสียงหัวเราะที่แผ่วต่ำแต่ก้องกังวานจนบาดเข้าไปในความรู้สึกของเฮอร์ไมโอนี่ เธอพยายามก้าวถอยหลังเพื่อที่จะหนีให้ห่างจากเฮเดสอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนความร้อนรนของเธอจะทำให้ช่วงจังหวะการก้าวนั้นผิดไป ขาทั้งสองแทนที่จะถอยสลับกันกลับสะดุดและพาร่างในชุดสีฟ้าอันงดงามหงายหลังล้มลง หญิงสาวรีบดันกายให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแต่

“จะรีบหนีไปไหนกัน คุณเฮอร์ไมโอนี่” เสียงนุ่มๆของเฮเดสถาม ร่างในผ้าคลุมสีดำหยุดยืนอยู่เหนือร่างของหญิงสาวก่อนจะค่อยๆทรุดกายนั่งลงอย่างช้าๆ มือทั้งสองข้างของเขาค่อยๆกดลงบนไหล่ของเฮอร์ไมโอนี่และดันตัวเธอให้นอนราบลงบนพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่ม

“นาย จะทำอะไรกับฉัน เฮเดส” เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เฮเดสหัวเราะเบาๆ

“ความคิดที่จะทำร้ายเธอนั้นมันเลือนหายไปจากใจของฉันนานแล้ว เฮอร์ไมโอนี่” ชายหนุ่มตอบ เขาค่อยๆโน้มตัวลงไปหาหญิงสาวอย่างช้าๆ ไอระเหยสีฟ้าจางๆไหลออกจากริมฝีปากของเขาเข้าไปในริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่ เมื่อเฮเดสค่อยๆแนบใบหน้าของเขาลงไป

“เธอต้องเป็นของฉันเท่านั้น เฮอร์ไมโอนี่”

ร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ภายใต้ร่างของเฮเดสหยุดการดิ้นรนลง แขนทั้งสองข้างทิ้งลงบนพื้นหญ้าราวกับอ่อนแรง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ตื่นตระหนกค่อยๆหรี่ปรือลงช้าๆ ชายหนุ่มยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดูโอโรร่าที่กำลังเดินตรงเข้ามา

“มาแล้วหรือน้องสาวที่รัก” เขากล่าวทักเบาๆก่อนจะยืดตัวลุกขึ้น โอโรร่าก้มหน้าลงมองดูเฮอร์ไมโอนี่ที่นอนหลับตาพริ้มอยู่อย่างไร้สติ

“ปล่อยเธอไปดีกว่าพี่ชาย อย่านำเธอไปกับเราด้วยเลย ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่คนมีเลือดเนื้อจะมีชีวิตอยู่ได้นะ” ผู้เป็นน้องสาวพูดเบาๆแต่เฮเดสกลับยิ้ม

“เฮอร์ไมโอนี่จะอยู่ในอาณาเขตของพวกเราน้องสาวที่รัก อาณาเขตที่คนเป็นๆสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตราบใดที่เขาไม่คิดหลบหนีออกมา”

“แต่ช่วงชีวิตของเธอสั้นกว่าช่วงชีวิตของพวกเรามากนัก” ออโรร่าแย้งแต่เฮเดสกลับหัวเราะ

“เวลาในอาณาเขตนั้นจะหยุดนิ่งตราบเท่าที่พวกเรายังคงอยู่ เธอลืมไปแล้วหรือไงน้องสาวที่น่ารัก” เขามองดูเฮอร์ไมโอนี่อีกครั้ง ร่างที่นอนหลับไหลอยู่ค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆและเลื่อนตรงไปยังทะลเสาบออโรร่าถลันไปยืนขวางทางทันที

“น้องไม่ยอมให้พี่ทำแบบนี้” เธอพูดเสียงดัง เฮเดสขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารณ์

“หลีกไป ออโรร่า” เขาพูดห้วนๆมือข้างหนึ่งยกขึ้นและโบก ร่างผอมบางของออโรร่ากระเด็นออกไปข้างๆราวกับถูกผลักโดยมือที่มองไม่เห็น เฮเดสเดินผ่านน้องสาวของตัวเองไปโดยมีร่างของเฮอร์ไมโอนี่ลอยตามหลังมาติดๆ เขาหยุดยืนอยู่ที่โคนต้นโอ๊คเก่าแก่ที่ขึ้นอยู่ริมฝั่ง ชายหนุ่มจ้องมองแน่วนิ่งไปยังผิวน้ำที่ราบเรียบราวแผ่นกระจก พริ้วระลอกคลื่นเล็กๆเคลื่อนเข้าหาฝั่ง แล้วจู่ๆผิวน้ำที่เคยสงบก็พลันสั่นไหว พรายฟองจำนวนมากผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบราวกับน้ำที่เดือดพล่าน หมอกสีเงินยวงลอยม้วนตัวเข้าหาฝั่งบดบังร่างสูงของเฮเดสและเฮอร์ไมโอนี่จนแทบมิด ชายหนุ่มขยับตัวราวกับจะก้าวลงไปในทะเลสาบพร้อมๆกับร่างของหญิงสาวที่หลับไหล เสียงร้องตะโกนพร้อมแสงสีเขียวที่พุ่งวาบลงมาด้านหน้าระเบิดน้ำในทะเลสาบให้แตกกระจาย พรายฟองที่ผุดพล่านสลายลง หมอกสีเงินค่อยๆจางหายไปอย่างรวดเร็ว เฮเดสมีสีหน้าที่โกรธขึ้งขณะที่หันกลับมามองดูผู้ขัดขวางเขาอย่างขุ่นแค้น

“มัลฟอย!"

น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ร่างสูงก้าวกลับขึ้นมาบนฝั่งอีกครั้งพร้อมๆกับร่างของเฮอร์ไมโอนี่ สีหน้าของเฮเดสนั้นเคร่งขรึมแลดูน่ากลัว มัลฟอยก้าวมายืนประจันหน้าเขาอย่างไม่นึกหวั่น

“คืนเกรนเจอร์มาให้ฉันเดี๋ยวนี้ เจ้าตัวประหลาด!"

มัลฟอยตวาดเสียงดัง เฮเดสยิ้มอย่างเยือกเย็นให้กับเขาก่อนจะตอบ

“เธอเป็นของฉันแล้ว มัลฟอย” เขาดีดนิ้วของตัวเองหนึ่งครั้ง ดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆพร้อมๆกับร่างที่ยืนตัวตรงนิ่งไม่ไหวติง 

“บอกความจริงไปสิ เฮอร์ไมโอนี่ที่รัก บอกเจ้านั่นว่าเธอคิดยังไงกับฉัน”

เฮเดสกระซิบเสียงแผ่ว รอยยิ้มที่เย็นชาฉาบบนเรียวปากอิ่มของหญิงสาวพร้อมๆกับคำพูดที่หลุดรอดออกมา

“ฉันจะไปกับเฮเดส”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นราบเรียบและไร้ความรู้สึก มัลฟอยบีบไม้กายสิทธิ์ในมือของตัวเองแน่นก่อนจะตอบ

“เธอเต็มใจจะไปกับเจ้าหมอนั่นจริงๆหรือ เกรนเจอร์” 

“ฉันเต็มใจ” เสียงตอบเนิบๆดังกลับมาจากหญิงสาว มัลฟอยขบกรามของตัวเองแน่น

“ฉันไม่เชื่อ!" มัลฟอยตะโกน “เธอถูกเจ้านั่นมันบังคับใช่ไหมเกรนเจอร์ มันบังคับให้เธอพูดแบบนี้”

“ฉันไม่ได้บังคับหรือเสี้ยมสอนให้เฮอร์ไมโอนี่พูด เธอพูดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของตัวเอง” เฮเดสพูดขึ้น มัลฟอยหันขวับไปทางเขาทันที เขาผงกศีรษะช้าๆ

“งั้นเรอะ” เขาพูดเสียงเครียด “ถ้าอย่างนั้นก็พูดออกมาเลยสิว่าเธอรักเจ้าหมอนี่ เกรนเจอร์ พูดด้วยหัวใจของเธอเลย”

เฮอร์ไมโอนี่อ้าปากน้อยๆ คำพูดที่แผ่วเบาราวกระซิบหลุดออกมาทีละคำอย่างช้าๆ

“ฉัน….รัก…….” 

คำพูดที่เหลือราวกับถูกกลืนหายไปในลำคอ หญิงสาวชะงักงันเหมือนลังเล เฮเดสหันหน้าไปมองดูเธอก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“เธอรักฉัน เฮอร์ไมโอนี่ บอกเขาไปสิว่าเธอรักฉัน”

หญิงสาวเม้มปากตัวเองน้อยๆก่อนจะพูดช้าๆ

“ฉัน…รัก…เฮ…ม…มะ….ไม่ ไม่ใช่”

ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มก่อนจะทรุดนั่งลง เฮอร์ไมโอนี่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมศรีษะของตัวเองขณะที่พูดพร่ำประโยคเดียวนั้นไม่หยุด เธอหลับตาแน่นราวกับกำลังพยายามต่อสู้กับตัวเอง เฮเดสมองดูเฮอร์ไมโอนี่ก่อนจะหันกลับมามองดูมัลฟอย สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังชายหนุ่มผิวซีดที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างที่สุด

“คงต้องแกตายเสียก่อนเธอถึงจะพูดประโยคนั้นออกมาได้” เขาพูดรอดไรฟันออกมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นและโบกสะบัดแรงๆ ร่างของมัลฟอยกระเด็นหวือออกไปทันทีราวกับถูกบางสิ่งกระแทกใส่อย่างแรง เฮเดสก้าวตามร่างของเขาไปติดๆ แสงสีเขียวสว่างเรืองรองอยู่ในมือของเขา

“ไม่ต้องกลัวไป มัลฟอย ความตายที่ฉันจะมอบให้กับแกน่ะมันรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึกเลย แกจะไม่เจ็บปวดแม้สักนิดเดียว” แสงสีเขียวพุ่งวาบออกจากมือของเฮเดสและกระแทกใส่ร่างของมัลฟอยจนหมุนคว้างก่อนจะตกลงกระแทกบนพื้นหญ้า เสียงร้องครางเบาๆดังออกมาจากปากของเขา

“แกทำไม่ได้อย่างที่พูดนี่ เฮเดส” มัลฟอยพูดเยาะๆขณะที่เงยหน้าขึ้น ผมสีทองที่เคยเรียบแปล้นั้นตกลู่ลงมาปรกใบหน้าที่ซีดเซียว เลือดสีแดงเข้มไหลปรี่ออกมาจากมุมปาก เขาถ่มเลือดทิ้งก่อนจะค่อยๆยันตัวให้ลุกขึ้นยืน

“ไหนแกบอกว่าจะให้ฉันตายแบบไม่เจ็บปวดและรวดเร็วไง” ไม้กายสิทธิ์ในมือตวัดอย่างรวดเร็ว 

“สตูเปฟาย!"

แสงสีเขียวเจิดจ้าพุ่งออกจากปลายไม้เข้าใส่ร่างของเฮเดส เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมๆกัน ม่านพลังสีเงินรูปครึ่งวงกลมแผ่ขยายออกจากฝ่ามือทั้งสองข้าง แสงจากไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอยแตกกระจายเมื่อกระทบกับม่านพลังนั้น ร่างของเฮเดสเซถอยหลังไปสองสามก้าวเพราะแรงปะทะ มัลฟอยจ้องมองดูเขาด้วยดวงตาที่โกรธเกรี้ยวก่อนจะตวัดไม้ของเขาอีกครั้ง

“อะวาดา เค…..” มัลฟอยชะงักคาถาค้างเมื่อออโรร่าวิ่งเข้ามากางแขนขวางทางของเขาไว้ 

“หลีกไป ไทม์คีปเปอร์” มัลฟอยตวาดแต่ออโรร่ากลับส่ายหน้า

“ได้โปรดอย่าใช้คาถานั้นเลยมัลฟอย” ออโรร่าอ้อนวอน แต่มัลฟอยกลับชี้ไม้กายสิทธิ์ของเขาตรงไปยังร่างของเธออย่างไม่สนใจ

“ถ้าเธอไม่หลีกไปฉันจะกำจัดทั้งเธอและพี่ของเธอไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว”

“ถ้าเธอต้องการแบบนั้น ฉันก็ยินดี มัลฟอย” ออโรร่าตอบด้วยสีหน้าที่ไม่หวาดหวั่น “เฮเดสอาจจะทำไม่ดีกับเธอ แต่เขาคือพี่ชายของฉัน”

“ทำไม่ดีกับฉันเรอะ!" มัลฟอยตะโกนเสียงดัง “พี่ชายของเธอคิดฆ่าฉัน เขาวางยาเกรนเจอร์มิหนำซ้ำยังคิดพาเธอลงไปใต้ทะเลสาบนั่นอีก นั่นน่ะไม่เรียกว่าไม่ดีหรอก แต่เรียกว่าเลวเลยทีเดียว”

“แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวแล้วนะ” ออโรร่าตอบพลางหันไปทางเฮอร์ไมโอนี่ มัลฟอยและเฮเดสหันไปมองดูหญิงสาวที่กำลังสะบัดหน้าของตัวเองอย่างมึนงงพร้อมๆกัน 

“ที่นี่ที่ไหน แล้วเกิดอะไรขึ้น” เธอถามออกมาเบาๆ มัลฟอยยิ้มน้อยๆต่างกับเฮเดสที่มีสีหน้าขึ้งโกรธ

“ออโรร่า น้องกล้าดียังไงถึงได้ถอนคำสาบและล้างพิษน้ำยาออกจากเลือดของเฮอร์ไมโอนี่!" 

“พอทีเถอะพี่ชายที่รัก เลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาได้แล้ว หน้าที่ที่พวกเราได้รับมอบมานั้นจบสิ้นไปตั้งนานแล้ว ถึงเวลาที่เราสองคนจะกลับไปกันเสียที” ออโรร่าร้องตอบแต่เฮเดสกลับโต้

“พี่ไม่ยอมกลับไปที่นั่นโดยไม่มีผู้หญิงคนนั้น” เขาชี้มือไปยังเฮอร์ไมโอนี่ ร่างของหญิงสาวกระตุกและเลื่อนไปหาเฮเดสราวกับถูกลาก มัลฟอยสะบัดไม้กายสิทธิ์ของเขาทันที 

ตูม!

เสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อแสงสีแดงสว่างสาบออกมาจากไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอย มันระเบิดพื้นที่เฮเดสยืนอยู่จนแตกกระจาย ร่างสูงเซถลาและล้มลงทันที 

“เกรนเจอร์มานี่!" มัลฟอยรีบวิ่งเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่พร้อมๆกับร้องเรียกเสียงดัง ราวกับตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันทีด้วยความหวาดกลัวแกมตกใจ ร่างของเฮเดสค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เงาที่ทอดยาวไปพื้นแลดูมืดทะมึนเมื่อมันทาบไปบนร่างของมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ สีหน้าของชายหนุ่มนั้นซีดขาวราวกับกระดาษ ดวงตามีสีแดงดั่งเลือดเช่นเดียวกับริมฝีปากของเขา 

“แก เจ้ามัลฟอย แกขัดขวางทุกๆอย่างที่ฉันทำ แกไล่เจ้าปีเตอร์ เพ็ตทริกรูว์ออกไปจากปราสาทแทนที่มันจะวิ่งตรงเข้าไปในห้อง
ของดัมเบิลดอร์อย่างที่ฉันแนะนำ แกแย่งเฮอร์ไมโอนี่ไปจากฉัน แกชิงเอาความไว้วางใจในตัวของออโรร่าที่มีต่อฉันไป” 
แขนทั้งสองข้างของเฮเดสกางออกช้าๆ ร่างทั้งร่างของเขาค่อยๆเปล่งแสงเรืองรองออกมา แสงนั้นมีสีเขียวสดและเริ่มเคลื่อน
ไหวราวกับมีชีวิต 


“แก จงตายเสียเถอะ เดรโก มัลฟอย” เฮเดสพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและแตกพร่า แสงสีเขียวที่ห่อหุ้มทั่วร่างของเขาค่อยๆ
แปรเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างรวดเร็ว รูปร่างที่ดูเหมือนงูนับร้อยๆตัวเลื้อยวนไปบนร่างของเฮเดส ทันทีทีเขาขยับมือของเขา 
แสงรูปงูนั้นก็พุ่งเขาหามัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่อย่างดุร้ายและรวดเร็ว 

“อย่า!" เสียงออโรร่าร้องตะโกนห้ามแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งเข้าใส่จิตรูปอสรพิษที่เฮเดสสร้างขึ้น หลายตัวถูกพลังของออโรร่ากระแทกใส่จะแตกสลายในขณะที่อีกหลายตัวยังคงพุ่งเข้าหามัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ 

“แกกล้าโจมตีฉันทั้งๆที่มีเฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่ด้วย นี่เรอะความรักของแกน่ะ เฮเดส” มัลฟอยร้องตะโกนถามขณะที่ตวัดไม้กายสิทธิ์ในมือไปมา เสียงระเบิดดังไม่ขาดสายเมื่อแสงเหล่านั้นกระแทกเข้าใส่พลังของเฮเดส มัลฟอยร้องอุทานออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกพลังของเฮเดสจู่โจม เขารู้สึกร้อนราวกับถูกนาบด้วยโลหะที่โดนไฟเผาจนแดงฉาน ผิวเนื้อที่ถูกพลังนั้นไหม้เป็นรอยในทันที เฮอร์ไมโอนี่มองดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่ตกใจ

“มัลฟอย!"

"ฉันไม่เป็นอะไร” เขากัดฟันตอบ “เธอหลบข้างหลังฉันไว้เกรนเจอร์ เจ้างูนั่นมันเหมือนไฟดีๆนี่เอง” เขาพึมพำก่อนจะหมุนไม้กายสิทธิ์ของเขา ละอองไอน้ำในอากาศก่อตัวขึ้นและวนอยู่รอบๆตัวของมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ ราวกับก้อนเมฆที่หนาทึบ จิตอสรพิษของเฮเดสที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มละอองไอน้ำนั้นบิดไปมาก่อนจะแตกสลายกลายเป็นควันสีขาวเหมือนถ่านไฟร้อนๆที่โดนน้ำ เฮเดสมองดูด้วยสีหน้าที่กราดเกรี้ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“อยากจะรู้นักว่าไอ้เมฆหมอกที่แกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันจิตของข้ามันจะเป็นยังไงถ้ากลายเป็นไอน้ำเดือดๆ” 

สิ้นคำแสงสีเขียวที่ห่อหุ้มรอบตัวของเฮเดสก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงจัดราวกับหินละลาย มันหมุนวนอยู่เหนือศีรษะของเขาก่อนจะพุ่งเข้าใส่มัลฟอย เมฆหมอกที่ห่อหุ้มตัวคนทั้งคู่เริ่มร้อนขึ้นทันที เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจและเจ็บปวด

“ฉันร้อน มัลฟอย!" 

ชายหนุ่มกัดฟันของตัวเองขณะที่โบกไม้กายสิทธิ์ของเขาอีกครั้ง กระแสลมกรรโชกอย่างรุนแรงพัดมาจากทางทะเลสาบพาให้ละอองไอน้ำเดือดๆกระจายหายไป มัลฟอยหันไปมองดูเฮอร์ไมโอนี่ด้วยความเป็นห่วง

“เป็นยังไงบางเกรนเจอร์” เขาถาม เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มแห้งๆ

“ฉันไม่เป็นอะไร” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างอย่างตกใจก่อนจะร้องออกมาด้วเสียงอันดัง

“มัลฟอย! ระวัง!"

แสงสีแดงพุ่งวาบมาจากเฮเดสและกระแทกเข้าใส่ร่างของมัลฟอยอย่างแรง ร่างของชายหนุ่มกระเด็นไปไกลและนอนแน่นิ่ง เลือดไหลรินออกมาจากศรีษะของเขา เฮอร์ไมโอนี่รีบลุกขึ้นทันที

“มัลฟอย” 

น้ำเสียงที่เรียกนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยในตัวของชายหนุ่มอย่างที่สุดก่อนจะวิ่งเข้าไปหาเขา เฮเดสมองภาพของคนทั้งสองนิ่ง ความรู้สึกริษยาเข้าครอบคลุมหัวใจของเขา ความเกลียดชังนั้นมีอยู่เปี่ยมล้นเต็มหัวอก ชายหนุ่มจากทะเลสาบย่างสามขุมเข้าไปหาเฮอร์ไมโอนี่ทันทีพร้อมๆกับกางมือออก

“เฮอร์ไมโอนี่!" 

หญิงสาวหันขวับมามองดูเฮเดสทันที เธอหยิบไม้กายสิทธิ์ของมัลฟอยมาถือไว้และชี้ตรงไปยังเขา

“ถ้าเธอเข้ามาใกล้ฉันอีกนิ้ว รับรองได้เลยว่าฉันจะฉีกเธออกเป็นชิ้นๆเลย เฮเดส!" เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยใบหน้าที่โกรธจัด เฮเดสชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้ม

“คนแบบเธอไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นได้แน่ๆ เฮอร์ไมโอนี่” เขาขยับตัวเล็กน้อย พื้นดินข้างๆตัวระเบิดขึ้น เศษดินและใบหญ้ากระจายไปจนทั่ว เฮอร์ไมโอนี่ชี้ไม้กายสิทธิ่ไปยังเฮเดสก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“เธออาจจะพูดถูก เฮเดส คนแบบฉันไม่มีทางทำเรื่องร้ายๆแบบนั้นแน่ๆ แต่ถ้าเพื่อปกป้องคนที่ฉันรักแล้วล่ะก็ ฉันยินดีที่จะทำเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งจะทำได้” 

เฮเดสถึงกับยืนนิ่งขึงขณะที่มองดูหญิงสาวเบื้องหน้า ความรู้สึกของเขานั้นเต็มไปด้วยความสับสนเหลือประมาณ ทั้งรัก ทั้งแค้นทั้งริษยาและเกลียดชัง ชายหนุ่มบีบมือของตัวเองแน่น

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอยู่ในนรกด้วยกันเลยก็แล้วกัน” เฮเดสพูดขึ้นในที่สุด พร้อมๆกับยกมือขึ้น “ไม่ต้องกลัว

เฮอร์ไมโอนี่ สำหรับคนที่ฉันรักแล้ว ความตายที่มอบให้จะไม่ทรมานและเจ็บปวดแค่แปลบในหัวใจน้อยๆเท่านั้น” มือที่ยกขึ้นค่อยๆกำลงอย่างช้าๆราวกับกำลังบีบสิ่งของบางสิ่ง เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ไม้กายสิทธิ์ในมือร่วงหล่นลงขณะที่เธอยกขึ้นกุมหัวใจของเธอไว้ 

“เมื่อไม่ได้ร่างกาย ขอเพียงแค่หัวใจของเธอก็แล้วกัน เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์” เฮเดสพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบไร้ความรู้สึก มือของเขากำแน่นขึ้นทีละน้อย เฮอร์ไมโอนี่ล้มตัวลงนอนบนพื้นเคียงข้างกับมัลฟอยและบิดตัวไปมา เสียงออโรร่าร้องห้าม

“หยุดนะพี่!"

เฮเดสนั้นไม่เพียงไม่ฟังเสียงร้องห้ามของน้องสาว มืออีกข้างหนึ่งของเขายกขึ้นพร้อมๆกับร่างของออโรร่าที่ลอยสูงขึ้นอย่างช้าๆ มือทั้งสองข้างของเธอกุมลำคอของตัวเองไว้ราวกัพยายามแกะมือที่มองไม่เห็นบีนเค้นเธออยู่

“ในเมื่อทุกอย่างไม่สมหวัง ฉันก็จะทำลายมันให้หมดทุกๆคน รวมทั้งโลกพ่อมดนี่ด้วย ฉันจะช่วยให้เจ้าแห่งศาสตร์มืดฟื้นคืนกลับมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง หลังจากนั้นคอยกำจัดมันหลังสุด ให้พวกมันได้รับความเจ็บปวดและขมขื่นอย่างที่ฉันเคยได้รับมาก่อน”

เฮเดสพูดด้วยความคั่งแค้น เขาชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากมัลฟอย

“แกมันก็แค่เด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่เลี้ยงดูจากพ่อแม่เท่านั้นเอง เฮเดส” ร่างในชุดสีดำของมัลฟอยค่อยๆลุกขึ้น เขาซวนเซไปมาเล็กน้อยก่อนจะยืนตัวตรง

“หัวใจของแกน่ะมันดำมืดยิ่งกว่าเสื้อผ้าที่แกใส่อยู่ในตอนนี้เสียอีก เจ้าโฮมุนครุส!" น้ำเสียงที่มัลฟอยใช้นั้นเต็มไปด้วยความหยามเหยียด เฮเดสถลึงตาจ้องมองดูเขา

“ผู้หญิงที่แกรักกำลังจะตายอยู่ต่อหน้าแกแล้ว ยังจะมาทำเป็นปากดีอยู่อีกหรือ มัลฟอย”

“ฉันยอมตายแทนเธอได้เสมอ เฮเดส” มัลฟอยตอบพร้อมกับกางแขนทั้งสองของเขาออก “แกผ่านยุคสมัยมามาก แกคงจะรู้จักท่านเมอร์ลินสินะ พ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดน่ะ”

“เชอะ เจ้าพ่อมดแก่ที่ต้องตายเพราะความไว้วางใจในตัวของศิษย์ตนเองน่ะเรอะ” เฮเดสหัวเราะเยาะ แต่

มัลฟอยกลับยิ้ม

“ที่ฉันถามน่ะไม่ใช่เรื่องราวของเขา แต่เป็นคาถาต่างหาก เฮเดส คาถาบทหนึ่งที่รุนแรงมากจนขนาดที่ผู้ใช้อาจจะตายได้” มัลฟอยพูดขณะที่พยายามรวบรวมสมาธิของเขาไว้ที่หัวใจ ไม้กายสิทธิ์ในมือส่งแสงสีทองเรืองรองออกมา เฮเดสชะงักทุกอย่างที่เขากำลังกระทำอยู่ ร่างของออโรร่าร่วงลงมานอนที่พื้นในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่คลายความเจ็บปวดลง 

“แกหมายถึงอะไร” เขาถามมัลฟอย อีกฝ่ายยิ้มกว้างก่อนจะเปล่งคำพูดที่ดังก้องกังวานออกมา

“คิทามาล!"

คลื่นพลังอันมหาศาลแผ่กระจายออกไปโดยรอบ เสียงออโรร่าร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ร่างของเธอหายวับไปกับตาก่อนจะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าพี่ชายของเธออย่างรวดเร็วและกอดเขาไว้แน่น เธอปล่อยพลังทั้งหมดที่มีอยู่ให้กลายเป็นเกราะกำบังร่างพี่ชายอันเป็นที่รักของเธอก่อนที่คลื่นพลังจะกระแทกเข้าใส่ เฮเดสมองดูน้องสาวของเขาอย่างตื่นตระหนก หัวใจที่คั่งแค้นคลายลงกลายเป็นความห่วงใย

“ออโรร่า!" 

เฮเดสร้องตะโกนเสียงดังเมื่อคลื่นพลังจากมัลฟอยนั้นอัดเข้าใส่ร่างของน้องสาวจนเซถลา เลือดสีเขียวเข้มไหลปรี่ออกมาจากปากของเธอทันที ร่างที่ผอมบางล้มลงนอนแทบเท้าของเฮเดสและแน่นิ่งไปพร้อมๆกับเสียงร้องเรียกชื่อของเธอที่ดังมาจากพี่ชายที่เธอปกป้อง เฮเดสทรุดตัวลงนั่งและคว้าร่างน้องสาวที่อ่อนปวกเปียกของน้องสาวมาประคองกอดไว้แนบอกพร้อมกับร่ำไห้โดยไม่สนใจมัลฟอยที่ค่อยๆล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเช่นเดียวกัน

“มัลฟอย” 

เฮอร์ไมโอนี่ร้องเรียกเขาอย่างตกใจพลางเขย่าร่างของมัลฟอย ใบหน้าของหญิงสาวนั้นซีดเผือดเมื่อพบว่าลมหายใจของชายหนุ่มนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึก เฮอร์ไมโอนี่กอดร่างของมัลฟอยไว้แน่น

“มัลฟอย อย่าตายนะ” 

เฮเดสเงยหน้าขึ้นจากร่างของออโรร่า เขากัดฟันตนเองแน่นก่อนจะยกมือของตนขึ้น เสียงหวานนุ่มหูดังขึ้นมาจากท้องทะเลสาบเบื้องหลังพร้อมๆกับมือของใครคนหนึ่งยึดแขนของเขาไว้แน่นราวกับห้าม

“พอทีเถอะ” 

น้ำตาของเฮเดสไหลรินอาบแก้มเขาหันไปมองดูร่างงามในชุดสีเงินยวงที่ลอยเลื่อนอยู่เหนือผิวน้ำกลางทะเลสาบ 

“ท่าน…” 

เสียงของเฮเดสนั้นแหบแห้งเขาหันกลับมาก้มลงมองดูร่างของออโรร่าในอ้อมกอดแล้วซบใบหน้าของเขาลง

“ผลแห่งความชิงชังของเจ้าทำให้เจ้าต้องพบกับความรันทดเช่นนี้ เฮเดส” นางแห่งทะเลสาบเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา ร่างงามเลื่อนลอยเข้าหาฝั่งอย่างช้าๆและหยุดลงเหนือร่างของมัลฟอย หัตถ์ที่เรียวงามโบกไปมาสองสามครั้ง ละอองสีเงินแวววาวระยิบระยับโปรยปรายลงมาจากมือนั้น มันค่อยๆซึมผ่านเข้าไปในผิวของมัลฟอย ลมหายใจที่แผ่วเบาค่อยๆแรงขึ้นเป็นลำดับ เฮอร์ไมโอนี่มองดูร่างของนางแห่งทะเลสาบด้วยความรู้สึกกึ่งทึ่งกึ่งไม่เชื่อจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยขึ้น

“เขาปลอดภัยแล้ว”

หญิงสาวละสายตาจากนางและมองดูมัลฟอยในอ้อมกอด เขาขยับตัวน้อยๆก่อนจะส่งเสียงร้องครางออกมาเบาๆและลุกขึ้นช้าๆด้วยอาการมึนงง

“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามออกมาเบาๆ นางแห่งทะเลสาบยิ้มน้อยๆก่อนตอบ

“ท่านเมอร์ลินเคยสั่งห้ามไว้เมื่อนานมาแล้วมิใช่หรือว่า ห้ามใช้คาถาโบราณนั่นในโลกปัจจุบันนี่ เดรโก มัลฟอย”

มัลฟอยมองดูนางแห่งทะเลสาบแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบ

“เธอเป็นใครกัน” เขาถามเสียงห้วนก่อนจะหันไปทางเฮเดส คิ้วสีจางขมวดยุ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงอยู่ ไม้กายสิทธิ์ในมือขยับไปมาอย่างเตรียมพร้อม

“เขาไม่มีหัวใจที่จะทำร้ายพวกท่านแล้ว อย่าได้กลัวเกรงไปเลยมัลฟอย” นางแห่งทะเลสาบพูดยิ้มๆ
 มัลฟอยหันหน้าไปทางนางก่อนจะตอบ

“ฉันไม่ได้กลัวเจ้านั่น แต่ฉันกำลังแปลกใจว่าทำไมมันถึงรอดมาได้”

“เพราะความรัก” เสียงทุ้มต่ำดังตอบกลับมาจากทางริมฝั่งทะเลสาบ
 มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่เลื่อนสายตาไปมองดูทันที ทั้งสองเบิกตากว้างอย่างตระหนกเมื่อเห็น
เงาจางๆของใครบางคนกำลังยืนยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“เมอร์ลิน”

“ท่านตายไปแล้วไม่ใช่หรือ”

มัลฟอยถามอย่างสงสัย เงาร่างอันเรือนลางนั้นยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบ

“จิตของเรายังคงซึมซับอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ เมื่อใดที่ประชาชนเดือดร้อน
 เราจะออกมามอบความช่วยเหลือแก่พวกเขา เช่นเดียวกันกับท่าน เดรโก มัลฟอย”

เงาร่างนั้นหยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ

“ท่านกำลังสงสัยในเวทย์ที่ท่านใช้เมื่อครู่ว่าทำไมจึงไม่อาจทำร้ายเฮเดสได้ใช่หรือไม่”

“ท่านเคยบอกกับฉันว่าเทย์นี้สามารถทำลายความชั่วได้ทุกอย่าง แล้วทำไมเจ้านั่นถึงได้รอด” 
มัลฟอยถามห้วนๆ เมอร์ลินหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดีก่อนจะตอบ

“เพราะหัวใจรักระหว่างพี่น้องที่ปกป้องคุ้มครองเขาไว้ หัวใจอันยิ่งใหญ่ของออโรร่าที่ต้องการคุ้มครองพี่ชายของนาง”

“แล้วทำไมพลังนั่นถึงมีผลกับออโรร่า นางไม่ได้มีจิตใจที่ชั่วร้ายเหมือนพี่ชายนี่” เฮอร์ไมโอนี่ถาม เมอร์ลินยิ้มเศร้าๆ

“เพราะนางมีสายเลือดแห่งความมืดไหลวนอยู่น่ะสิ” ชายชราตอบ 
“สายเลือดแห่งความมืดอันบริสุทธิ์ของพ่อมดซัลธาซ่าร์ สลิธีรินที่สร้างพวกเขาขึ้นมา”

“สายเลือดแห่งคำสาป สายเลือดแห่งความตาย” เสียงนางแห่งทะเลสาบกล่าวเบาๆ 
มัลฟอยมองดูร่างของออโรร่าในอ้อมกอดของเฮเดส เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นเธอขยับเล็กน้อย 

“นั่น เธอยังไม่ตายนี่เกรนเจอร์!" เขาร้องเสียงดัง เฮเดสนั้นรีบมองดูน้องสาวของตนพลางร้องเรียก 

“ออโรร่า”

หญิงสาวขยับตัวน้อยๆก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

“พี่ชาย”

เธอมองไปรอบๆก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่มัลฟอย

“มัลฟอย” หญิงสาวยกมือที่อ่อนระโหยของตนเองขึ้น มัลฟอยทำท่าอิดเอื้อนที่จะต้องเดินเข้า
ไปหาเธอแต่เพราะสายตาขอร้องแกมบังคับของเฮอร์ไมโอนี่ที่จ้องมายังเขาทำให้ชายหนุ่มต้อง
เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธออย่าเสียไม่ได้


“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนี่” เขาพูดห้วนๆแต่ออโรร่ากลับส่ายหน้า

“เวทย์นั่นทำลายพลังของฉันเกือบทั้งหมด การคงรูปของฉันคงจะมีได้อีกไม่นานนัก
 เวลาของฉันกำลังจะหมดลงแล้วมัลฟอย” เธอหอบหายใจน้อยๆก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองดูพี่ชายที่กำลังกอดเธอไว้แน่น

“พี่ชายที่รัก น้องอยากให้พี่ละความชิงชังที่พี่มีมาโดยตลอดไปให้หมดแล้วกลับไปยังที่ที่เราจากมา”

“พี่จะพาน้องกลับไป ออโรร่า” เฮเดสพูดเสียงแห้ง ออโรร่ายิ้ม

“ฉันรักพี่มากที่สุด” สายตาของเธอเลื่อนกลับไปทางมัลฟอย

“และเธอคือคนที่ทำให้ฉันรู้จักกับคำว่าความรักที่แตกต่างไปจากความรักที่มีต่อพี่ชายของฉัน มัลฟอย” 

ทั้งมัลฟอยและเฮเดสต่างพากันนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดของออโรร่า เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคนทั้งสอง

“ฉันกำลังจะกลับไปยังที่ของฉันแล้ว แต่มีบางอย่างที่ฉันอยากจะขอให้พี่ทำเพื่อฉัน”

“เธอต้องการให้พี่ทำอะไร ออโรร่า” เฮเดสตอบทันที หญิงสาวยิ้มขณะที่มองดูใบหน้าพี่ชายของเธอ

“ขวดน้ำยานั่น ทิ้งมันไปเสียเถิด พี่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ”
 ออโรร่าพูดเบาๆ เฮเดสเม้มปากของตัวเองก่อนจะดึงขวดน้ำยาใบเล็กจิ๋วออกมาถือไว้ 

โพล๊ะ!

เสียงขวดแก้วใบนั้นแตกกระจาย น้ำยาสีฟ้าเรืองรองค่อยๆซึมหายลงไปบนผิวดิน 
ทิ้งไว้แต่เพียงแสงระยิบระยับของเศษแก้วที่แตกละเอียดไว้บนหญ้า ออโรร่ายิ้มอย่างดีใจก่อนจะถอนหายใจน้อยๆ

“สำหรับเธอทั้งสองคน อย่าให้ความแตกต่างของชนชั้นมาแบ่งแยกหัวใจของพวกเธอให้แตกออกจากกัน
 ความรักและความเชื่อใจเท่านั้นที่จะทำให้โลกเวทมนต์ของพวกเธอรอดพ้นจากความมืดไปได้
 แม้ความรักของเธอทั้งสองคนจะไม่ราบรื่นและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ฉันก็ขอให้พวกเธอจงยึดมั่น
ในความสัมพันธ์ที่มีอยู่อย่างเหนียวแน่นอย่าได้สั่นคลอน”


ออโรร่าหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมๆกับประโยคสุดท้ายที่แผ่วเบาราวกระซิบ

“บางครั้งคนสองคนอาจจะเกิดมาคู่กัน แต่ไม่อาจครองคู่กันได้” 

เสียงของออโรร่าแผ่วเบาและเงียบหายไป เฮเดสนั้นก้มหน้าลงไปซบกับร่างของน้องสาวของตัวเอง
 เสียงสะอื้นเบาๆดังออกมา มัลฟอยและเฮอร์ไมนี่มองดูด้วยความรู้สึกหดหู่ ชายหนุ่มหันหน้าไป
ทางต้นโอ๊คริมทะเลสาบอีกครั้ง แต่เงาร่างอันเลือนรางของเมอร์ลินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เขาจึงหันมาทางนางแห่งทะเลสาบอีกครั้ง

“ได้เวลาที่จะต้องลากลับแล้ว เฮเดส” นางเอ่ยขึ้น เฮเดสผงกศีรษะรับก่อนจะค่อยๆลุก
ขึ้นพร้อมกับร่างที่ขาวซีดของออโรร่าในอ้อมแขน 

“ลาก่อน ตลอดกาล เฮอร์ไมโอนี่”

เฮเดสกล่าวเบาๆโดยไม่หันหน้ามามอง ร่างของคนทั้งสามค่อยๆเลื่อนหายลงไปในทะเลสาบอย่างช้าๆ
 จนในที่สุดเหลือเพียงระลอกคลื่นน้อยๆที่เคลื่อนมากระทบฝั่ง มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ยืนมองดูด้วย
ความรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้คือความฝัน 

“พวกเราก็กลับเข้าไปในงานเลี้ยงกันเถอะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นในที่สุด มัลฟอยหันมามองหน้าเธอแล้วถอนหายใจ

“คิดถึงเจ้าครัมมากขนาดนั้นเลยหรือ เกรนเจอร์” 

“นาย!"

เฮอร์ไมโอนี่ร้องออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะระบายลมหายใจหนักๆ

“เฉพาะวันนี้ได้ไหมมัลฟอยที่เธอจะไม่ใช้คำพูดประชดประชันฉัน” เธอมองหน้าชายหนุ่มนิ่ง มัลฟอยยักไหล่น้อยๆ

“ถ้าเธอขอ ฉันก็จะทำ” เขาตอบสั้นๆ หญิงสาวยิ้มน้อยๆก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพาดบนไหล่ของเขาและเบียดตัวเข้าไปหา

“ก้มหน้าลงมาหน่อยได้ไหม มัลฟอย” เธอกระซิบบอกเสียงแผ่ว
 หัวใจของมัลฟอยเต้นระรัวด้วยความคาดไม่ถึง เขาค่อยๆโน้มใบหน้าของตัวเองลงไปหาเฮอร์ไมโอนี่ 
หญิงสาวประทับรอยจูบที่แสนอ่อนโยนบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา มัลฟอยขมวดคิ้วน้อยๆ

“แค่แก้มเท่านั้นเองหรือ” เขาท้วงเบาๆ 

“สำหรับคำขอบคุณ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วนี่” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยใบหน้าที่มีสีจัดเมื่อ
มัลฟอยโอบรัดรอบเอวของเธอแล้วกอดไว้แน่น

“แต่นี่สำหรับคนที่ฉันรัก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนจะบรรจงแนบริมฝีปากของเขาลงบนริม
ฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่ มือของเขาไล้เลื่อนไปบนแผ่นหลังของหญิงสาว ไม่ใช่เพราะความปรารถนา แต่มาจากความหวงแหน 


“เธอคือคนที่ฉันรักยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลกนี้ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์”

“เธอเองก็เช่นเดียวกัน เดรโก มัลฟอย” 

ทั้งคู่ตระกองกอดกันอย่างแนบแน่นท่ามกลางหมู่ดาวและสายลมที่พัดมาจากทะเลสาบ 
เสียงกระซิบแผ่วๆดังแว่วมาจากใต้พื้นท้องน้ำก่อนจะเลือนหายไปกับระลอกคลื่นที่พริ้วกระทบฝั่ง

“คนสองคนอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัน แต่ชะตาของคนทั้งสองนั้นอาจจะไม่สามารถครองคู่กันได้”

 

END

Next: Candle in the Dark 




No comments:

Post a Comment