Recommended sources of dramione fictions:
1. Tumblr: dramioneasks
2. Fanfiction: www.fanfiction.net
3. Hawthorn & Vine: http://dramione.org/

My recommended and favourited story so far: Isolation by Bex-chan
Contact me: pprraawwll@gmail.com
Line: Prawlnapa

Thursday, September 11, 2014

Part I เมืองบนฟ้า: Chap 7

“กินอะไรหน่อยมั้ยเกรนเจอร์” มัลฟอยถาม เขาเอาจานสีทองที่ศาสตราจารย์ มักกอนนากัลให้ติดตัวมาด้วย
 “เอาแต่อ่านหนังสือ กินอาหารก็น้อย หรือเธอกินหนังสือเป็นอาหารฮะ”

“เรื่องของฉัน นายยุ่งอะไรด้วย” เฮอร์ไมโอนี่ตอบขณะเดินเข้าไปในห้องพัก

“ก็เป็นห่วงถึงได้ยุ่ง ไม่งั้นฉันก็ปล่อยให้เธอจมกองหนังสือไปนานแล้ว” มัลฟอยพูดอย่างมีน้ำโหเดิน
ไปทิ้งตัวลงบนโซฟา ด้วยใบหน้าที่แดงเข้มกับคำพูดที่เพิ่งจะพูดออกไป ปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู

เขาเป็นห่วงเธอหรือเป็นไปไม่ได้น่า อย่างมัลฟอยเนี่ยนะ ไม่มีทาง แต่ดูท่าทางแล้ว…นี่เขากำลังงอนรึป่าวนี่

เธอเดินตรงไปที่มัลฟอย เขามองเธอด้วยสายตาที่แสดงถึงความไม่พอใจ

“เฮอะ นี่นายงอนฉันหรอ ฮ่า ฮ่า ไม่น่าเชื่อ”

“ใครบอกเธอ ฉันไม่ได้งอน” นั่นทำให้เขาหลบตาเธอ ด้วยใบหน้าที่แดงขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ต้องบอกก็รู้” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงหัวเราะต่อ แล้วหยิบจานสีทองในมือมัลฟอยขึ้นมา

“นายอาจไม่ได้เป็นห่วงฉันจริงก็ได้ นายแค่คิดอาหารที่อยากจะกินไม่ออก เหอๆ”

เฮอร์ไมโอนี่พูดกึ่งประชดหน่อยๆ มัลฟอยมองเธอด้วยความไม่พอใจ เขาส่ายหน้าน้อยๆ
กับการที่เธอชอบหาข้ออ้างมากลบเกลื่อนอยู่เรื่อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

“รายการอาหาร” เฮอร์ไมโอนี่พูดกับหนังสือ แล้วเธอก็เลือกรายการอาหารที่เธออยากกิน
 แล้วหันไปบอกจานสีทอง 

“กินด้วยกันมั้ยล่ะ”

. . . . . . . . .



เฮอร์ไมโอนี่มักจะพกหนังสือเล่มที่ได้มาติดตัวตลอด และมัลฟอยที่ไม่ยอมปล่อยให้จานสีทองห่างจากตาเขา 
แม้จะเป็นเวลารับประทานอาหารก็เถอะ เช้านี้ก็เช่นกัน อะไรๆก็เป็นไปเหมือนเช่นเดิม
 แต่พวกเขาก็สังเกตได้ว่ามีปริมาณคนเพิ่มขึ้นในห้องโถง ไม่ใช่เพื่อรับประทานอาหารเช้า
 แต่กลับยืนล้อมห้อง รวมทั้งหน้าประตูด้วย ทั้งสองรู้สึกถึงความผิดปกติ มันเรื่องอะไรกันนะ 
แม้กระทั่งรีแอนนอน เธอไม่มีรอยยิ้มร่าอย่างที่เคย แต่กลับเป็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวล

“เรามีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบ” เสียงของซันสตาร์ดังขึ้นเมื่อมัลฟอยวางช้อนส้อมลง

“เนื่องจากมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมืองนี้ และเราต้องช่วยชาวเมืองของเราให้รอดพ้นจากภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้น
 ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ทาง หนึ่ง ก็คือเราต้องการศิลาสีขาวบริสุทธิ์ที่ซ่อนอยู่ในภูเขา ภูฟารีนี้  และไม่มีใครเคยไปถึงที่นั่นแล้วกลับมา มันเป็นวิธีที่ยากเกินไป เสี่ยงเกินไป  เพราะมีอันตรายมากมายล้อมรอบ ดังนั้นเห็นทีว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล” เขาหยุดพูด แล้วมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยซึ่งนั่งอยู่ใกล้เขาที่สุด “วิธีที่สอง เลือดของพ่อมดและแม่มด
 เป็นยารักษาได้ผลดี ดังนั้นแล้ว..เธอสองคน..” เขาหมายถึงเฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอย  “ขอถามว่าเธอสองคนจะสละชีวิตแก่พวกเราชาวเมืองบนฟ้าได้หรือไม่”

นั่นเป็นคำถามที่ทำให้ทั้งสองอึ้งตะลึง 

“เอ่อ..อ่าา..” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ย อย่างตะกุตะกัก เริ่มที่จะหวาดกลัว “ม..ไม่มีวิธีอื่น แล้วหรือคะ
 หนูหมายความ หนูยินดีที่จะช่วยแต่นี่มันเกินไป เรามีอะไรอีกมากมายที่จะต้องทำกันหลังจากไปจากที่นี่ 
เอ่อ..อีกหลายอย่าง.. เอาเป็นว่าเราทำอย่างที่คุณบอกไม่ได้หรอกค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดจบท้ายหลังจากเห็น
สายตาของมัลฟอยที่ส่งซิกเป็นการบอกอะไรสักอย่าง ทั้งสองจับไม้กายสิทธ์แน่น 

“งั้นเห็นที เราต้องบังคับเธอละนะ” ซันสตาร์พูดแววตาเคร่งเครียดแต่น้ำเสียงต่างออกไป “จับเขาทั้งสองไว้”

ทันใดผู้ที่ยืนล้อมห้องก็ก้าวเข้ามาเตรียมจับกุมกับจังหวะเดียวกับที่ มัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่ ควักไม้กายสิทธ์ออกมา ร่ายเวทป้องกันตัว แล้วหนีออกไปนอกปราสาท เมื่อเห็นว่ายังมีคนวิ่งตามมา 
ทั้งสองก็ตรงเข้าสู่ป่า เฮอร์ไมโอนี่วิ่งสุดกำลัง ทั้งสะดุดหินบ้าง สะดุดขาตัวเองบ้าง 
วิ่งเข้ามาในป่าลึกพอควร เมื่อไม่มีใครตามมา จึงหยุดพักกัน 

“แย่ชะมัด นี่มันอะไรกัน ทัศนศึกษา ส่งเรามาสังเวยชีวิตชัดๆ แล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้” มัลฟอยถาม หอบด้วยความเหนื่อย

“ยังไงเราก็ต้องกลับไป” เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ต่างกัน

“กลับไป กลับไปให้มันฆ่าเรารึงัย”เขาพูดด้วยโทสะอันแรงกล้า

“ก็เราต้องได้ใบประกาศนียบัตรถึงจะกลับไปฮอกวอตส์ได้ และรถม้าจะไม่ออกเดินทางจนกว่าจะถึงเวลา”
 เฮอร์ไมโอนี่ตอบ

“แล้วจะเอายังไง บินกลับก็ได้นี่เรามีปีก”

“แต่เราจะหลงทาง” 

“แล้วจะให้ทำยังไง นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้”

“…มีทางเดียว ไปเอาศิลาสีขาวมา” เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างไม่แน่ใจ “ถึงยังไงเราพักกันก่อนเถอะแล้วค่อยคิดกัน”

“เฮ้อ เอางั้นก็ได้” มัลฟอยใจสงบลง ดวงตาเพ่งมองไปรอบทิศ อย่างระแวดระวัง แล้วกลับมามองนี่จานสีทอง
 แล้วพูดกับมันว่า ‘น้ำ’ ทันใดน้ำหนึ่งขวด กับแก้วอีกสองใบก็ปรากฏขึ้น เขาให้ เฮอร์ไมโอนี่แก้วหนึ่ง

“ขอบใจ”เฮอร์ไมโอนี่ตอบหยิบหนังสือที่ไม่เคยห่างมือเธอเลยขึ้นมา พึมพำว่า ‘ศิลาสีขาว’

แล้วค้นหาข้อมูลในหนังสือเล่มนั้น

“ศิลาสีขาว เป็นศิลาที่บริสุทธิ์ เห็นได้จากความขาวบริสุทธิ์ของมัน ช่วยรักษาโรคภัยต่างๆที่ไม่สามารถรักษา
ให้หายได้ด้วยวิธีการธรรมดา หาพบได้ให้ใน เขาภูฟารี ของอาณาจักรเมืองบนฟ้าเท่านั้น ซึ่งมีความอันตรายอย่างมาก หลายคนพยายามที่จะเข้าไป บางคนก็ไม่สามารถกลับออกมาได้ 
บางคนก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจในขณะที่ พยายามเข้าไปในปากถ้ำที่อยู่กึ่งกลางของภูเขา  หรือล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้ามาในป่า”

เฮอร์ไมโอนี่หยุดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป เธอมองเห็นปากถ้ำชัดเจน มัลฟอยมองตาม

“แต่ก็มีคนที่เคยเข้าไปถึง เขาผู้นั้นได้บันทึกไว้ว่า ‘ภายในเขาทางเดินวกวนเหมือนเขาวงกต  มีทางเข้าหลายเส้นทาง มันคงจะดีถ้าผมได้บินวนสำรวจรอบๆเขาภูฟารีก่อนที่จะเข้าไปลึกกว่านั้น
’ ชายผู้นั้นไม่ได้กลับออกมาอีก เขาได้ส่งบันทึกออกมากับนกที่เขานำไปด้วย ไม่มีใครได้พบเขาอีกจนบัดนี้ มีพวกฝ่ายมืดหลายต่อหลายคนที่อยากจะได้ศิลาสีขาวนี้ แต่ก็พบกับความล้มเหลว” เฮอร์ไมโอนี่อ่านต่อ

“เธอแน่ใจนะว่า เราจะไปกันจริงๆน่ะ” มัลฟอยถาม

“หรือเธอคิดว่ามีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้” มัลฟอยไม่ตอบ เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้น เธอบินขึ้นไปเหนือต้นไม้  เพื่อสังเกตให้แน่ใจ ว่าไม่มีใครตามพวกเธอมา แล้วจึงลงไปหามัลฟอยที่เฝ้ามองอย่างเคร่งเครียด

“ไม่มีใครตามเรามา ฉันคิดว่าซันสตาร์คงอยากจะให้เรา ไปเอาศิลามาให้เขา”

“แล้วทำไมเขาไม่ บอกเราดีๆด้วยล่ะ”

“เขาคงจะทดสอบอะไรเรามั้ง” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยความไม่แน่ใจ “เราจะไปกันต่อได้รึยัง”

“อืม”

ทั้งสองบินวนรอบๆเขาสำรวจทุกอย่างแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า (สำหรับเฮอร์ไมโอนี่) 

เฮอร์ไมโอนี่พบต้นสมุนไพร ที่เธออ่านเจอในหนังสือ ‘สมุนไพรต่างสรรพคุณ’ เธอเก็บมาสามต้นอ่อน บริเวณยอดเขา

“นั่นเธอจะเก็บมาทำไม” มัลฟอยขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เก็บมันใส่กระเป๋าสะพายของเธอ

“มันอาจจะเป็นประโยชน์ ต้นอ่อนของอันสการ์สามารถรักษาบาดแผลให้หายในพริบตา  ไม่เหลือแม้กระทั่งลอยแผล” 

“เธอน่าจะเอาไปฝาก พอตเตอร์นะ” มัลฟอยประชดแล้วพูดต่อ ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะโต้กลับ 
“ดูซิว่าฉันเจออะไร มีทางเข้าอยู่บนยอดเขา บางทีทางนี้อาจจะดีกว่าทางที่อยู่ตรงกลางเขาน่ะนะ” 

“ก็อาจเป็นอย่างนั้น แต่มันก็ไม่มีทางอื่นแล้วนี่”


ทั้งสองตัดสินใจเข้าไปข้างใน ซึ่งค่อนข้างมืด จึงต้องอาศัยแสงไฟจากไม้กายสิทธ์  พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางแยก ทางด้านซ้ายเป็นทางที่เดินผ่านไปได้ง่ายๆ ด้านขวานั้นลาดชัน
และอันตราย ส่วนตรงกลาง ไม่สามารถมองเห็นพื้น หรือไม่มีพื้นเลยก็ว่าได้

แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้พวกเขาเลือกทางตรงกลาง และก็เลือกจริงๆ เฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยยืนอยู่บนขอบพื้น ทำใจว่าจะโดดลงไปดีมั้ย ทั้งสองจับมือกันแน่น นั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่อุ่นใจขึ้น
 เธอจะไม่เป็นไรถ้ามีเขาอยู่ด้วย แล้วตัดสินใจกระโดดลงไปพร้อมกัน เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าขาจะถึงพื้น
 พวกเขาจึงกลางปีกบินไปมาอาศัยแสงจากไม้กายสิทธ์ ใช่ พวกเขาจึงเห็นว่ามันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ สูงมาก กำแพงเป็นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทั้งสองบินต่ำลงจนขาแตะพื้น ตรงกลางห้องนั้นมีบ่อน้ำขนาดย่อม 

เฮอร์ไมโอนี่มองลงไปในบ่อน้ำในขณะที่มัลฟอยมองไปรอบๆ ไม่มีทางออกอื่นอีก หรือว่าจะมาผิดทางนะ

“ว๊ายย!!” ทันใดเสียงเฮอร์ไมโอนี่ก็ร้องขึ้น มีรากไม้ที่ดูแข็งแรง แข็งแรงมาก มันมาจากบ่อน้ำนั้น มันพันรอบข้อเท้า เฮอร์ไมโอนี่ไว้แล้วออกแรงดึง หมายจะลากเธอลงไปในน้ำ และเธอก็ทำอะไรไม่ได้เลย
นอกจากดิ้นสุดแรง และไถลไปตามแรงลาก

มัลฟอยเห็นดังนั้น จึงรั้งเฮอร์ไมโอนี่ไว้ แต่ไม่เป็นผล เขาร่ายคาถาใส่มันแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย

“มัลฟอยปล่อยฉันเถอะ ไม่งั้นมันจะลากนายลงไปด้วยนะ” เฮอร์ไมโอนี่ร่ำร้อง ขณะที่ครึ่งตัวของเธอลงไปอยู่ในน้ำแล้ว แต่คำพูดของเธอก็ไม่ทำให้มัลฟอยปล่อยมือออกจากเธอเลย 
รากไม้นั่นมีแรงมหาศาล ทั้งสองจมหายลงไปในน้ำ ไม่มีใครทำอะไรได้  จะมีก็แต่มัลฟอยที่สามารถจะเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่เขาก็ไม่ทำ เขาตามเฮอร์ไมโอนี่ลงไป
 ถึงมันจะเป็นบ่อน้ำที่ไม่ใหญ่แต่มันก็ลึกพอดู ในที่สุดรากไม้นั่นก็ปล่อยเฮอร์ไมโอนี่
 ดูเหมือนมันจะนำทางมากกว่าจะทำอันตราย มันเป็นต้นไม้ที่ถูกปลูกอยู่ใต้น้ำ  รากที่ดึงพวกเขาลงมาชี้ไปที่ช่องแคบๆระหว่างหิน มัลฟอยฉุด เฮอร์ไมโอนี่ให้ว่ายไปทางนั้น ว่ายขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็โผล่พ้นน้ำ เฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดด้วยความเหนื่อย
 ในขณะที่มัลฟอยตะเกียดตะกาย เข้าหาฝั่ง เขาฉุดเฮอร์ไมโอนี่ขึ้น แล้วมองไปรอบๆ 

“เราพักกันที่นี่เถอะ” มัลฟอยกล่าว “ฉันเหนื่อย”

“เห็นด้วย” แล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็เสกไฟอุ่นๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น และทำให้เสื้อผ้า เปียกๆแห้งลงอย่างทันตาเห็น 
หลังจากนั้นก็นั่งทานอาหารกัน อาหารจากจานสีทอง

เฮอร์ไมโอนี่เอาหนังสือสุดหวงของเธอออกมาดูความเสียหาย มันไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย มหัศจรรย์

หลังจากผ่านความเหนื่อยล้ามา ความง่วงก็เข้ามาแทนที่ พวกเขาไม่รีรอจัดที่นอนหรอก นั่งอยู่ตรงไหนก็ล้มตัวลงนอนตรงนั้น ข้างๆกัน

. . . . . .  . .  . .

“เกรนเจอร์..เกรนเจอร์ ตื่นเถอะ ตื่น” เสียงหนึ่งปลุกเธอขึ้น

“อะไร” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเสียงงัวเงีย รู้สึกเนื้อตัวร้อนผ่าว เหมือนมีไข้

“เธอเป็นอะไรรึป่าว เห็นนอนกระสับกระส่าย”

“ป่าวนี่ ก็แค่หนาวๆ..”มัลฟอยรวบตัวเธอเข้าไปกอด ทำให้เธอตกใจ “จะทำอะ..”

“นี่เธอตัวร้อนนี่ ร้อนจี๋เลย”

“เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า ปล่อยฉันได้แล้ว” เธอพูดด้วยอาการขัดเขิน 

แต่มัลฟอยไม่ทำ เขานอนพิงกำแพงหิน แล้วให้เฮอร์ไมโอนี่นอนพิงเขา ในอ้อมกอดของเขา มันทำให้เธออุ่นขึ้นทั้งอุ่นกายและอุ่นใจ 

“ไม่ต้องพูดมาก นอนพักได้แล้ว” มัลฟอยพูดขัดเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังจะอ้าปากพูดกับเขา

“ฉันไม่ได้จะพูดอะไรมากมายนี่ แค่จะบอกว่า ขอบใจ” เธอเถียง “ถ้าฉันจะพูดมากก็เพราะนายนั่นแหละ”

“เออๆ ขอโทษ นอนได้แล้ว”

“ราตรีสวัสดิ์”

“อืม ฝันดี”

žŸ ž. . . .  . .


“เราจะไปทางไหนต่อล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถามหลังจากทานอาหารเสร็จ

“นั่นไง ทางเข้าออก ตรงสุดนั้นน่ะ” มัลฟอย ชี้ให้เธอดู เมื่อคืนเธอคงจะเหนื่อยมากเลยไม่ได้สังเกตรอบๆ
 “แล้วเธอค่อยยังช่วยรึยัง”

“ก็ดีขึ้น” เฮอร์ไมโอนี่ตอบหลังจากที่ได้กินยาที่มาจากจานสีทองนั่น เธอลุกขึ้นยืน สะพายกระเป๋า

“ขอบใจนายมาก”

“ไม่มีปัญหา ไปต่อกันได้แล้ว”

ทั้งสองออกมาก็เจอ รางรถไฟลาดเอียงลงไป กับรถลาก ซึ่งพวกเขาตัดสินใจขึ้นไป สายรัดนีรภัยพันรอบตัวของงพวกเขาราวกับมีชีวิต แล้วมันก็วิ่งเหมือนจู่ๆมันก็มีชีวิตขึ้นมา
 มันวิ่งด้วยความเร็วสูง ตื่นเต้น หวาดเสียว เหมือนกำลังเล่นรถไฟเหาะตีลังกา แต่ไม่ตีลังกา
 มันวิ่งด้วยความเร็ว เร็วมากนั่นพอทนสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ เพราะเธอเคยเล่นมาแล้ว แต่กับมัลฟอยนี่สิน่าเป็นห่วง เส้นทางวกวน เกินกว่าจะจำได้ เมื่อสิ้นสุดการเดินทางด้วยรถลากนี่ 
มัลฟอยถึงกับเซ หมดแรง เขาทรุดนั่งลงกับพื้น ทำให้เฮอร์ไมโอนี่หัวเราะ

“หัวเราะอะไรยัยบ๊อง ฉันล่ะสงสัยว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลยรึยัง”

“ไม่หรอก ฉันเคยนั่งมามากกว่านี้ แบบตีลังกาน่ะ”

“เหอะ นี่เธอกำลังป่วยอยู่นะ”

“แต่ฉันไม่ได้อยากจะป่วยนี่ สงสัยฉันคงต้องพานายไปสวนสนุกของมักเกิ้ลบ่อยๆ แล้วหายมึนรึยัง”
 เฮอร์ไมโอนี่สังเกตหน้าซีดๆ ของเขาที่เมื่อครู่ ซีดเขียวลงไปอีก แต่ก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว

“อืม ฉันว่า พวกคนที่ไม่สามารถออกจากที่นี่ได้เนี่ย คงจะหัวใจวายเพราะเจ้านี่มากกว่า” 
เขาลุกขึ้นยืนด้วยอาการโซเซ

เบื้องหน้าเป็นประตูใหญ่ทึบ ใส่กลอนไว้แน่นหนา แต่ก็ไม่ยากสำหรับเฮอร์ไมโอนี่  พวกเขาต้องบินขึ้นไปอีก บินผ่านรูบนพื้นหินและก็พบ ถ้ำที่เต็มไปด้วยผลึกหินสีขาวบริสุทธิ์
 ทำให้บริเวณนั้นสว่างขึ้น

“ว้าว ในที่สุดเราก็พบมัน” เฮอร์ไมโอนี่พูด “แต่เราคงเอามันออกไปถือให้ใครต่อใครเห็นไม่ได้หรอกนะ 
มันเป็นของที่ใครๆก็อยากได้ ยกเว้นฉันล่ะ”

“เอาใส่นี่ก็ได้มั้ง” มัลฟอยยื่นกระจกบานเล็ก ที่เฮอร์ไมโอนี่เคยเห็นตอนช่วงปิดเทอม

“เยี่ยมเลย มันเป็นที่ซ่อนที่ดีมาก” และแล้วศิลาสีขาวก้อนขนาดเท่ากำมือก็หายเข้าไปอยู่ในกระจก
 “เออ ฉันฝากเก็บกระเป๋าเข้าไปด้วยสิขี้เกียจแบก”

“ได้” มัลฟอยกล่าว “ฉันว่าเข้ามาในนี้ มันไม่เห็นจะมีอะไรยากเลยนี่ ทำไมถึงไม่มีใครสามารถกลับออกไปได้ล่ะ” 

“นายคงไม่ได้สังเกตนะ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูด เธอกำลังยืนจ้องแผ่นไม้แผ่นหนึ่งที่ติดแน่นอยู่กับพื้นถ้ำ
ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

“สังเกตอะไร” เขาถามแล้วขยับตามเธอ สิ่งที่เขาเห็นบนแผ่นไม้นั่นก็คือลายลักษณ์อักษรที่สลักไว้ว่า 
‘ซันสตาร์ ไฮแลนด์’ “หมายความว่าไง”

“ก็หมายความว่า ซันสตาร์เคยมาที่แล้ว ฉันว่าชายคนที่เข้ามาและไม่สามารถกลับออกไปอีก
 ตามที่ในหนังสือบอกน่ะ คือ ซันสตาร์ไงล่ะ”

“แล้วทำไมมันถึงบอกไว้ว่า เขาไม่สามารถออกไปได้ล่ะ”

“เขาโกหกน่ะสิ ถ้ามันเข้าออกกันได้ง่ายๆ พวกฝ่ายมืดคงจะเอาศิลาสีขาวไปเกลี้ยงแล้วล่ะ ไปกันต่อเถอะ”

“แล้วเราจะออกไปทางไหนล่ะ” มัลฟอยถามขึ้น

“ทางเดิมไง”

“แต่..”

“ไม่เอาน่า สนุกดีออก” เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่ามัลฟอยจะไม่ขึ้นไปบนรถลากนั่นอีก “ก็ได้ ไปอีกทางก็ได้”

ทั้งสองบินขึ้นไปอีก จนพบอุโมงค์ที่โผล่ออกมาจากกำแพง ทั้งสองคลานเข้าไปแล้วสไลท์ลื่นไปตามทางจนกระทั่งตกลงในน้ำ รอบๆไม่มีพื้นหินหรือพื้นดินเลย แต่ทันใดใต้น้ำนั้นมีบางสิ่งเกิดขึ้น
 สัตว์ใดที่อาศัยอยู่ใต้น้ำคงจะรู้แล้วว่ามีผู้มาเยือน มันจึงโผล่มาทักทาย งูตัวใหญ่ยักษ์โผล่หัวออกจากน้ำ มองดูผู้มาเยือนแปลกหน้าที่แสดงอาการบ่งบอกว่าหวาดกลัวแค่ไหนที่ได้เห็นมัน 

TBC

No comments:

Post a Comment